เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
อริยสัจสี่ อันมีรอบ(ปริวัฏฏ์)สาม มีอาการสิบสอง..ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว 798
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

อันมีรอบ (ปริวัฏฏ์)สาม มีอาการสิบสอง
ญาณในอริยสัจสี่ (3รอบ 12อาการ)

1. ทุกข์    
(๑) ทุกข์นี้ ควรรู้    (๒) ทุกข์นี้ ควรกำหนดรู้     (๓) ทุกข์นี้ กำหนดรู้แล้ว
2. สมุทัย   (๑) สมุทัยนี้ ควรรู้  (๒) สมุทัยนี้ ควรละ           (๓) สมุทัยนี้ ละแล้ว
3. นิโรธ     (๑) นิโรธนี้ ควรรู้   (๒) นิโรธนี้ ควรทำให้แจ้ง   (๓) นิโรธนี้ ทำให้แจ้งแล้ว
4. มรรค    (๑) มรรคนี้ ควรรู้   (๒) มรรคนี้ ควรทำให้เจริญ  (๓) มรรคนี้ ทำให้เจริญแล้ว

ญาณทั้ง ๓ คือ
    สัจจญาณ (๑) ญาณที่รู้ว่า นี้ คืออะไร
    กิจจญาณ (๒) ญาณที่รู้ว่า ต้องทำกิจอะไรกับสิ่งที่รู้
    กตญาณ (๓) ญาณที่รู้ว่า ได้กระทำกิจนั้นจบสิ้นแล้ว

ก่อนมีญาณ
ภิกษุ ท. ! ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อันมีรอบ (ปริวัฏฏ์) สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่ เหล่านี้ ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เราอยู่เพียงใด ตลอดกาลเพียงนั้น เรายังไม่ปฏิญญาว่า ได้ตรัสรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

หลังมีญาณ เห็นอริยสัจอันมี 3 รอบ แห่งอาการสิบสอง
(ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา และแสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว)
ภิกษุ ท. ! เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อันมีรอบสาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่ เหล่านี้ เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา เมื่อนั้น เราปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ....ญาณและทัสสนะ ได้เกิดขึ้นแก่เรา ว่า “ความหลุดพ้นของเราไม่กลับ กำเริบ ความเกิดนี้เป็นความเกิด ครั้งสุดท้าย บัดนี้ ความเกิดอีกอย่างไม่มี”

 
 


อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย หน้า ๑๕๓๒


การจบกิจแห่งอริยสัจ
กำหนดด้วยความสมบูรณ์แห่งญาณสาม



๑. ภิกษุ ท
. ! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา และแสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
   ๑. นี้ เป็นความจริงอันประสริฐคือ ทุกข์
        (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ) ว่า
   ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์นี้ ควรกำหนดรอบรู้
       (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ) ว่า

   ๓.ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์นี้ เราได้กำหนดรอบรู้แล้ว
       (นี้ ท่านเรียกกันมา กตญาณ)
........................................................................

๒. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเราได้เกิดขึ้นแล้วในธรรมที่เราไม่เคย
ได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
    ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์
         (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ) ว่า
   ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ ควรละเสีย
         (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ) ว่า
    ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ เราได้ละเสียแล้ว
         (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ)
........................................................................

๓. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้วในธรรมที่เราไม่เคย ได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
   ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์
          (นี้ ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ) ว่า
   ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำให้แจ้ง
          (นี้ ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ) ว่า
   ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว
          (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ)
........................................................................

๔. ภิกษุ ท. ! ดวงตา ฯลฯ แสงสว่างของเรา ได้เกิดขึ้นแล้วในธรรมที่เราไม่เคย ได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ว่า
   ๑. นี้ เป็นความจริงอันประเสริฐ คือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์
         (นี้ท่านเรียกกันว่า สัจจญาณ) ว่า
   ๒. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ ควรทำ
           ให้เจริญ
(นี้ท่านเรียกกันว่า กิจจญาณ) ว่า
   ๓. ความจริงอันประเสริฐคือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้
          เราได้ทำให้เจริญแล้ว (นี้ ท่านเรียกกันว่า กตญาณ)

.............................................................................................................................

ภิกษุ ท. ! ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อันมีรอบ (ปริวัฏฏ์) สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เราอยู่เพียงใด ตลอดกาลเพียงนั้น เรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.

ภิกษุ ท. ! เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง อันมีรอบสาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา เมื่อนั้น เราปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์. ก็แหละ ญาณและทัสสนะ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ว่า “ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ ความเกิดนี้เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย บัดนี้ ความเกิดอีกอย่างไม่มี” ดังนี้.

 


พุทธวจน

อริยสัจสี่ มีสามรอบ มีสิบสองอาการ

พระองค์ตรัสเล่ากับพระปัญจวัคคีย์ ว่าตอนที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆนั้น ได้พิจารณาว่า
หากญาณทัสสนะ คือ เครื่องรู้เห็นตามเป็นจริงของพระองค์ อันมี ปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง ในอริยสัจจ์ทั้งสี่ ยังไม่เป็นญาณทัสสนะที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี ก็ยังไม่ปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อม ต่อเมื่อเป็นญาณทัสสนะที่บริสุทธิ์ สะอาดด้วยดี ก็ปฏิญญาว่าเป็นผู้ได้ตรัสรู้

ญาณทั้ง ๓ คือ

(สัจจญาณ) ญาณที่รู้ว่า นี้ คืออะไร
(กิจจญาณ) ญาณที่รู้ว่า ต้องทำกิจอะไรกับสิ่งที่รู้
(กตญาณ) ญาณที่รู้ว่า ได้กระทำกิจนั้นจบสิ้นแล้ว

ญาณทั้ง ๓ รู้เห็นตามเป็นจริงในอริยสัจสี่

๑. นี้ คือทุกข์
๒. ทุกข์นี้ ควรกำหนดรอบรู้,
๓. ทุกข์นี้ เราได้กำหนดรอบรู้แล้ว

๑. นี้ คือเหตุให้เกิดทุกข์
๒. เหตุให้เกิดทุกข์นี้ ควรละเสีย
๓. เหตุให้เกิดทุกข์นี้ เราได้ละเสียแล้ว

๑. นี้ คือความดับไม่เหลือของทุกข์
๒ ความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้ ควรทำให้แจ้ง
๓. ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว

๑. นี้ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์
๒. ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้ ควรทำให้เจริญ
๓. ความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ทำให้เจริญแล้ว

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์