1.ปฏิปทาให้เกิดบุญ แบบพราหมณ์ 1.1 ปฏิปทาอัน มียัญเป็นเหตุ คือ ย่อมบูชายัญเองบ้าง ให้คนอื่นบูชาบ้าง 1.2.ปฏิปทาอัน มีบุญเป็นเหตุ คือ บวชเป็นบรรพชิต ฝึกแต่คนเดียว ทำตนให้สงบแต่คนเดียว ทำตนให้ดับไปแต่คนเดียว (สำเร็จคนเดียว) 2.ปฏิปทาแบบพระศาสดา - พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ รู้แจ้งโลก เป็นศาสดา ของเทวดา และมนุษย์ เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดำเนินไปแล้วตามมรรคนี้ ทำธรรม อันยอดเยี่ยมซึ่งเป็น ที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนประชาชนให้รู้ตาม ผู้ปฏิบัติได้เแล้ว ทั้งผู้อื่นต่าง ปฏิบัติเพื่อมีมากกว่าร้อย มีมากกว่าพัน มีมากกว่าแสน (สำเร็จมากมาย) พระอานนท์ ถามพราหมณ์ ว่า ปฏิปทา ๒ อย่างนี้ ท่านชอบใจปฏิปทาอย่างไหน.. คารวพราหมณ์กลับเลี่ยง กล่าวแต่ว่า ท่านทั้ง ๒ นี้เราควรบูชา เราควรสรรเสริญ (ตอบไม่ตรงคำถาม) แม้ครั้งที่ 2 แม้ครั้งที่ 3 พระผู้มีพระภาคเกรงว่าสังคารวพราหมณ์ จะเสียหน้า ที่ถูกอานนท์ถามปัญหาที่ชอบ แต่นิ่งเสีย ไม่เฉลย ถึง ๓ ครั้ง ถ้ากระไรเราควรจะช่วยเหลือ จึงได้ตรัสถามพราหมณ์ว่า วันนี้พวกท่านมาประชุมสนทนากั นด้วยเรื่องอะไร พราหมณ์ตอบว่า เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ว่าเมื่อก่อนภิกษุที่แสดง อิทธิปาฏิหาริย์ได้ มีน้อยมาก และ อุตริมนุษยธรรม(ธรรมชั้นสูง) มีมากมาย ทุกวันนี้ภิกษ ที่แสดงปาฏิหาริย์ได้มีมากมายและ อุตริมนุษยธรรม มีน้อยมาก จากนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสงธรรมเรื่อง ปาฏิหาริย์ ว่า มี ๓ อย่าง คือ 1. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ เป็นอัศจรรย์ 2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจ เป็นอัศจรรย์ 3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอน เป็นอัศจรรย์ ทรงตรัสถามพรามหมณ์ว่า ปาฏิหาริย์ทั้ง ๓ อย่างนี้ ท่านชอบปาฏิหาริย์อย่างไหน ซึ่งงามกว่าและ ประณีตกว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บรรดาปาฏิหาริย์ทั้ง ๓ อย่างนี้ ที่ภิกษุบางรูป พร่ำสอนอยู่ อย่างนี้ว่า... - จงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนี้ - จงมนสิการอย่างนี้ อย่าได้มนสิการอย่างนี้ - จงละสิ่งนี้เสีย จงเข้าถึงสิ่งนี้ ทั้งดีกว่าและประณีตกว่า (คือคำสอน หรือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์) สุดท้ายของการสนทนา สัง. นอกจากท่านพระโคดมแล้ว ยังมีภิกษุอื่นอีกหรือ มีอยู่หรือ ที่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ พ. ดูกรพราหมณ์ ไม่ใช่มีร้อยเดียว สองร้อย สามร้อย.. ที่แท้ภิกษุผู้ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง มีอยู่มากมาย สัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภิกษุเหล่านั้นอยู่ไหน พ. ดูกรพราหมณ์ อยู่ในหมู่ภิกษุนี้เองแหละ ขอเป็นอุบาสกในธรรมวินัยของตถาคต สัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือน บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง ... ฉะนั้นข้าพระองค์นี้ ขอถึง ท่านพระโคดม กับทั้ง พระธรรม และ พระภิกษุสงฆ์ เป็นสรณะ ...
ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต หน้าที่ ๑๖๒ สังคารวสูตร [๕๐๐] ครั้งนั้นแล สังคารวพราหมณ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ ชื่อว่าพราหมณ์ ย่อมบูชายัญเองบ้าง ให้คนอื่นบูชาบ้าง ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในบรรดาบุคคลเหล่านั้น ผู้ที่บูชายัญเองและ ผู้ที่ใช้ให้ คนอื่นบูชา ทุกคนชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทา เป็นเหตุให้เกิดบุญ อันมียัญเป็นเหตุ ซึ่งมีกำเนิดแต่สรีระเป็นอันมาก อนึ่ง ผู้ใดออกจากสกุลใด บวชเป็นบรรพชิต ฝึกแต่คนเดียว ทำตนให้สงบแต่ คนเดียว ทำตนให้ดับไปแต่คนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นั้นชื่อว่ามี ปฏิปทาเป็นเหตุ ให้เกิดบุญอันมีบรรพชาเป็นเหตุ ซึ่งมีกำเนิดแต่สรีระอันเดียว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ถ้ากระนั้นเราจักขอถามท่านในข้อนี้ ท่านจงเฉลยปัญหานั้น ตามที่ท่านเห็นควร ดูกรพราหมณ์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไป ดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระตถาคตอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า เราดำเนินไปแล้วตามมรรคนี้ ตามปฏิปทา นี้ ทำธรรมอันยอดเยี่ยมซึ่งเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้ว สอนประชาชนให้รู้ตามมาเถิด ถึงท่านทั้งหลายก็จงปฏิบัติตามอาการที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติได้แล้ว ก็จักทำธรรม อันยอดเยี่ยมซึ่งเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งของตนแล้ว เข้าถึงอยู่ พระศาสดาพระองค์นี้ทรงแสดงธรรมไว้ ดังนี้ ทั้งผู้อื่นต่างปฏิบัติเพื่อความ เป็นอย่างนั้น ก็ผู้แสดงและผู้ปฏิบัตินั้น มีมากกว่าร้อย มีมากกว่าพัน มีมากกว่าแสน ดูกรพราหมณ์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ปุญปฏิปทา ซึ่งมีบรรพชาเป็นเหตุนั้น ย่อมจะมีกำเนิดแต่สรีระเดียว หรือมีกำเนิด แต่สรีระเป็นอันมาก ฯ สัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นดังตรัสมาฉะนี้ ปุญปฏิปทาที่มีบรรพชา เป็นเหตุนี้ ย่อมมีกำเนิดแต่สรีระเป็นอันมากฯ เมื่อสังคารวพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้ แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้ถามสังคารวพราหมณ์ว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาปฏิปทา ๒ อย่างนี้ ท่านชอบใจปฏิปทาอย่างไหน ซึ่งมีความ ต้องการน้อยกว่า มีความริเริ่มน้อยกว่า แต่ว่ามีผลและอานิสงส์มากมาย เมื่อท่าน พระอานนท์ ถามอย่างนี้ สังคารวพราหมณ์ได้กล่าวว่า ท่านพระโคดม ฉันใด ท่านพระอานนท์ ก็ฉันนั้น ท่านทั้ง ๒ นี้เราควรบูชา เราควรสรรเสริญ แม้ครั้งที่ ๒ ท่านพระอานนท์ได้ถามว่า ดูกรพราหมณ์ เรามิได้ถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านควรบูชาใคร หรือว่าท่านควรสรรเสริญใคร แต่เราถามท่านอย่างนี้ว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาปฏิปทา ๒ อย่างนี้ ท่านชอบปฏิปทาอย่างไหน ซึ่งมี ความต้องการน้อยกว่า มีความริเริ่มน้อยกว่า แต่ว่ามีผลและอานิสงส์มากมาย ถึงครั้งที่ ๒ สังคารวพราหมณ์ ก็ได้กล่าวว่าท่านพระโคดมฉันใด ท่านพระอานนท์ ก็ฉันนั้น ท่านทั้ง ๒ นี้ เราควรบูชา เราควรสรรเสริญ แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรพราหมณ์ เรามิได้ถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านควรบูชาใคร ท่านควรสรรเสริญใคร แต่เราถามท่านอย่างนี้ว่า ดูกรพราหมณ์ บรรดาปฏิปทา ๒ อย่างนี้ ท่านชอบปฏิปทา อย่างไหน ซึ่งมีความต้องการน้อยกว่า มีความริเริ่มน้อยกว่าแต่ว่ามีผลและ อานิสงส์มากมาย ถึงครั้งที่ ๓ สังคารวพราหมณ์ ก็ได้กล่าวว่า ท่านพระโคดมฉันใด ท่านพระอานนท์ก็ฉันนั้น ท่านทั้ง ๒ นี้ เราควรบูชา เราควรสรรเสริญ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า สังคารวพราหมณ์ ถูกอานนท์ถาม ปัญหาที่ชอบแล้ว นิ่งเสีย ไม่เฉลยถึง ๓ ครั้งแล ถ้ากระไรเราควรจะช่วยเหลือ จึงได้ตรัสถามสังคารวพราหมณ์ว่า ดูกรพราหมณ์ วันนี้พวกที่มานั่งประชุมกันในราชบริษัท ในราชสำนักได้พูด สนทนากันขึ้นในระหว่างว่าอย่างไร สังคารวพราหมณ์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ วันนี้พวกที่มานั่งประชุมกันในราชบริษัทในราชสำนัก ได้พูดสนทนากันขึ้น ในระหว่างว่า เขาว่า เมื่อก่อนภิกษุที่แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้มีน้อยมาก และ อุตริมนุษยธรรม มีมากมาย ทุกวันนี้ภิกษุที่แสดงปาฏิหาริย์ได้มีมากมาย และอุตริมนุษยธรรม มีน้อยมาก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ทุกวันนี้พวกที่มานั่งประชุมกันในราชบริษัท ในราชสำนัก ได้พูดสนทนากันขึ้นในระหว่างว่าดังนี้แล ฯ พ. ดูกรพราหมณ์ ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ เป็นอัศจรรย์ ๑ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจ เป็นอัศจรรย์ ๑ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอน เป็นอัศจรรย์ ๑ ดูกรพราหมณ์ ก็อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นไฉน ดูกรพราหมณ์ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอันมาก คือคนเดียว เป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดิน เหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนดินก็ได้ เหาะไปในไปอากาศ เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรพราหมณ์ นี้เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ ดูกรพราหมณ์ ก็อาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นไฉน ดูกรพราหมณ์ ภิกษุบางรูปใน ธรรมวินัยนี้ พูดดักใจได้โดยนิมิตว่า ใจของท่านเป็น อย่างนี้ ใจของท่านเป็นแม้ด้วย ประการฉะนี้ จิตของท่านเป็นแม้ด้วยประการฉะนี้ว่า ถึงหากเธอจะพูดดักใจกะคน เป็นอันมากก็ดี คำที่เธอพูดนั้นก็เป็นเช่นนั้น หาเป็น อย่างอื่นไปไม่ ดูกรพราหมณ์ ก็ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พูดดักใจโดยนิมิตไม่ได้เลย ก็แต่ว่า พอได้ยิน เสียงมนุษย์ อมนุษย์ หรือเทวดาเข้าแล้ว ย่อมพูดดักใจได้ว่า ใจของท่าน เป็นอย่างนี้ ใจของท่านเป็นแม้ด้วยประการฉะนี้ จิตของท่านเป็น แม้ด้วยประการฉะนี้ ถึงหากเธอจะพูดดักใจกะคนเป็นอันมากก็ดี คำที่เธอพูดนั้นก็เป็น เช่นนั้น หาเป็นอย่างอื่นไม่ ดูกรพราหมณ์ ก็ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พูดดักใจโดยนิมิตไม่ได้เลย ถึงได้ยิน เสียง มนุษย์ อมนุษย์ หรือเทวดาเข้าแล้ว ก็พูดดักใจไม่ได้เลย แต่ว่าพอได้ยินเสียง วิตก วิจาร ของบุคคลผู้ตรึกตรองเข้าแล้ว ย่อมพูดดักใจได้ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้ ใจของท่าน เป็นแม้ด้วยประการฉะนี้จิตของท่าน เป็นแม้ด้วยประการฉะนี้ ถึงหากเธอ จะพูดดักใจ กะคนเป็นอันมากก็ดี คำที่เธอพูดนั้นก็เป็นเช่นนั้น หาเป็นอย่างอื่นไปไม่ ดูกรพราหมณ์ ก็ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พูดดักใจโดยนิมิตไม่ได้เลย ถึงได้ยิน เสียง มนุษย์ อมนุษย์หรือเทวดาเข้าแล้ว ก็พูดดักใจไม่ได้ ถึงได้ยินเสียง วิตกวิจาร ของ บุคคล ผู้ตรึกตรองเข้าแล้วก็พูดดักใจไม่ได้ ก็แต่ว่า กำหนดรู้ใจของผู้ที่เข้าสมาธิ อันไม่มี วิตก วิจาร ด้วยใจ ของตนว่า ท่านผู้นี้ตั้งมโนสังขารไว้ด้วยประการใด จักตรึก วิตกชื่อโน้น ในลำดับจิตนี้ด้วยประการนั้น ถึงหากเธอจะพูดดักใจกะคน เป็นอันมากก็ดี คำที่เธอพูดนั้น ก็เป็นเช่นนั้น หาเป็นอย่างอื่นไปไม่ ดูกรพราหมณ์ นี้เรียกว่าอาเทสนา ปาฏิหาริย์ ฯ ดูกรพราหมณ์ ก็อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นไฉน ดูกรพราหมณ์ ภิกษุบางรูปในธรรม วินัยนี้ พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ว่า จงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนี้ จงมนสิการอย่างนี้ อย่าได้มนสิการอย่างนี้ จงละสิ่งนี้ จงเข้าถึง สิ่งนี้อยู่ ดูกรพราหมณ์นี้เรียกว่า อนุสาสนี ปาฏิหาริย์ ดูกรพราหมณ์ ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้แล ดูกรพราหมณ์บรรดาปาฏิหาริย์ทั้ง ๓ อย่างนี้ ท่านชอบปาฏิหาริย์อย่างไหน ซึ่งงามกว่าและประณีตกว่า สัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บรรดาปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนั้น ปาฏิหาริย์ที่ภิกษุบางรูป ในธรรมวินัยนี้ ฯลฯ ใช้อำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดังนี้นั้นผู้ใดแสดง อิทธิปาฏิหาริย์นี้ได้ แสดงฤทธิ์เป็นอันมาก ผู้นั้นย่อมชอบใจปาฏิหาริย์นั้น ปาฏิหาริย์ ที่ผู้ใดแสดงได้ และเป็นของผู้นั้นนี้ ย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนกับรูปลวง ปาฏิหาริย์ที่ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พูดดักใจได้ยิน โดยนิมิตว่าใจของท่านเป็น เช่นนี้ ใจของท่านเป็นแม้ด้วยประการฉะนี้ จิตของท่านเป็นแม้ด้วยประการฉะนี้ ถึงเธอจะพูดดักใจกะชน เป็นอันมากก็ดี คำที่เธอพูดนั้นก็เป็นเช่นนั้นหาเป็นอย่างอื่นไม่ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พูดดักใจโดยนิมิต ไม่ได้เลย ... แต่ว่าพอได้ยินเสียง มนุษย์ อมนุษย์หรือเทวดาเข้าแล้วก็พูดดักใจได้ ... แม้ว่าได้ยิน เสียงมนุษย์ อมนุษย์ หรือเทวดาเข้าแล้ว พูดดักใจไม่ได้ แต่ว่าได้ยินเสียงวิตกวิจาร ของบุคคลผู้ตรึกตรอง เข้าแล้ว ก็พูดดักใจได้ ...ถึงได้ยินเสียงวิตกวิจารของบุคคล ผู้ตรึกตรองเข้าแล้ว ก็พูด ดักใจไม่ได้ แต่ว่ากำหนดรู้ใจของผู้อื่นที่เข้าสมาธิ อันไม่มี วิตกวิจารด้วยใจของตนว่า ท่านผู้นี้ตั้งมโนสังขารด้วยประการใด จักตรึกวิตกชื่อโน้น ในลำดับจิตนี้ ด้วยประการ นั้น ถึงหากเธอจะพูดดักใจกะคนเป็นอันมากก็ดี คำที่เธอ พูดนั้น ก็เป็นเช่นนั้น หาเป็นอย่างอื่นไปไม่ผู้ใดแสดงปาฏิหาริย์นี้ได้ ผู้นั้นย่อมชอบใจ ปาฏิหาริย์นั้น ปาฏิหาริย์ที่ผู้ใดแสดงได้ และเป็นของผู้นั้นนี้ ย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนกับ รูปลวง ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บรรดาปาฏิหาริย์ทั้ง ๓ อย่างนี้ ปาฏิหาริย์ที่ภิกษุบางรูป ในธรรมวินัยนี้ พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ว่า จงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนี้ จงมนสิการอย่างนี้ อย่าได้มนสิการอย่างนี้ จงละสิ่งนี้เสีย จงเข้าถึงสิ่งนี้อยู่ควร แก่ข้าพระองค์ ทั้งดีกว่าและประณีตกว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีที่ท่านพระโคดมตรัสดีแล้ว และ ข้าพระองค์ จะจำไว้ว่า ท่านพระโคดมประกอบด้วย ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ เพราะท่าน พระโคดม แสดงฤทธิ์ได้เป็นอันมาก ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เพราะท่านพระโคดมกำหนดรู้ใจของผู้ที่เข้สมาธิ อันไม่มีวิตกวิจารด้วยใจของ พระองค์ ว่าท่านผู้นี้ ตั้งมโนสังขารไว้ด้วยประการใด จักตรึกวิตก ชื่อโน้นในลำดับจิตนี้ ด้วยประการนั้น เพราะท่านพระโคดมทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ว่าจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ ตรึกอย่างนี้ จงมนสิการ อย่างนี้ อย่ามนสิการอย่างนี้ จงละสิ่งนี้เสีย จงเข้าถึง สิ่งนี้อยู่ พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านได้กล่าววาจาที่ควรนำไปใกล้เราแน่แท้เทียวแลเออ ก็เราจักพยากรณ์แก่ท่านว่าเพราะเราแสดงฤทธิ์ ได้เป็นอันมากฯลฯ ใช้อำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรพราหมณ์ เพราะเรากำหนดรู้ใจ ของผู้ที่เข้าสมาธิ อันไม่มี วิตกวิจาร ด้วยใจของตนว่า ท่านผู้นี้ตั้งมโนสังขารไว้ด้วยประการใด จักตรึกวิตกชื่อ โน้น ในลำดับจิตนี้ด้วยประการนั้น เพราะเรา พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ว่าจงตรึกอย่างนี้ อย่าตรึกอย่างนี้ จงมนสิการอย่างนี้ อย่ามนสิการอย่างนี้ จงละสิ่งนี้เสีย จงเข้าถึง สิ่งนี้ อยู่ สัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็แม้ภิกษุอื่นรูปหนึ่งผู้ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้นอกจากท่านพระโคดม มีอยู่หรือ พ. ดูกรพราหมณ์ ไม่ใช่มีร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่สามร้อยไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้อย ที่แท้ภิกษุผู้ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ มีอยู่มากมายทีเดียว ฯ สัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็บัดนี้ ภิกษุเหล่านั้นอยู่ไหน พ. ดูกรพราหมณ์ อยู่ในหมู่ภิกษุนี้เองแหละ สัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือน บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือ ส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักมองเห็นรูป ฉะนั้นข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
จบพราหมณวรรคที่ ๑