เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 อาการแห่งการตรัสรู้ .. บรรลุ ฌาน 1 2 3 4 จากนั้นบรรลุวิชชา 3 760
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

760

อาการแห่งการตรัสรู้ (หลังมาเสวยข้าว มธุปายาส จากนางสุชาดา)
บรรลุฌานที่ ๑ ครั้นเรากลืนกินอาหารหยาบ ทำกายให้มีกำลัง เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุฌานที่ ๑  มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิด แต่วิเวกแล้วแลอยู่.

บรรลุฌานที่ ๒ เพราะสงบวิตก วิจารเสียได้ จึงบรรลุ ฌานที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน เป็นที่เกิดสมาธิ แห่งใจ ไม่มีวิตกวิจารมี แต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่.

บรรลุฌานที่ ๓ เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย นามกาย จึงบรรลุ ฌานที่ ๓ อันเป็นฌาน ที่พระอริยเจ้ากล่าวว่าผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่ อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข แล้วแลอยู่.

บรรลุฌานที่ ๔ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไป แห่งโสมนัสและ โทมนัส ในกาลก่อน จึงได้บรรลุ ฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็น ธรรมชาติ บริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่. 


จากนั้นจึงบรรลุ วิชชา 3
๑.บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกถึงขันธ์ในอดีต-ระลึกชาติ)
เรานั้นระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ คือระลึกได้ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติ สามชาติ สี่ชาติ ห้าชาติ บ้าง สิบชาติ ยี่สิบชาติ สามสิบชาติ สี่สิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง ตลอดหลาย สังวัฏฏกัปป์ หลายวิวัฏฏกัปป์ หลายสังวัฏฏกัปป์และ วิวัฏฏกัปป์บ้าง นี่เป็น วิชชาที่ ๑ ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามแรกแห่งราตรี

๒. จุตูปปาตญาณ (รู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)
เรามีจักขุทิพย์ บริสุทธิ์กว่าจักขุของสามัญมนุษย์ ย่อมแลเห็นสัตว์ทั้งหลาย จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลวทราม ประณีต มีวรรณะดี มีวรรณะเลว มีทุกข์ มีสุข. เรารู้แจ้งชัด หมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรม ว่า "ผู้เจริญทั้งหลาย ! สัตว์เหล่านี้ หนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต พูดติเตียนพระอริยเจ้า ทั้งหลาย เป็น มิจฉาทิฎฐิ ประกอบการงานด้วย อํานาจ มิจฉาทิฎฐิ เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ล้วนพากันเข้าสู่อบายทุคติวินิบาตนรก นี้เป็น วิชชาที่ ๒ ที่เราได้ บรรลุแล้ว ในยามกลางแห่งราตรี

๓ .อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว)
ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้วก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตพ้นแล้ว เรารู้ชัดว่าชาติ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ต้องทำได้ทำ สําเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก นี่เป็นวิชชาที่ ๓ ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามปลาย แห่งราตรี

อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว

 
 


พุทธประวัติจากพระโอษฐ์

หน้า115-117

760-1
อาการแห่งการตรัสรู้


         ราชกุมาร ! ครั้นเรากลืนกินอาหารหยาบ ทำกายให้มีกำลังได้แล้ว เพราะสงัด จากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุ ฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิด แต่วิเวกแล้วแลอยู่.

         เพราะสงบวิตก วิจารเสียได้ จึงบรรลุ  ฌานที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน เป็นที่เกิดสมาธิแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจารมี แต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่.

         เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย นามกาย จึงบรรลุ ฌานที่ ๓ อันเป็นฌาน ที่พระอริยเจ้ากล่าวว่าผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่ อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข แล้วแลอยู่.

         และเพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไป แห่งโสมนัสและ โทมนัส  ในกาลก่อน จึงได้บรรลุ ฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็น ธรรมชาติ บริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่. 

..........................................................................................................


บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกถึงขันธ์ในอดีต-ระลึกชาติ)

         เรานั้น ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสเป็น ธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิต ไปเฉพาะต่อ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

          เรานั้นระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ คือระลึกได้ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติ สามชาติ สี่ชาติ ห้าชาติ บ้าง สิบชาติ ยี่สิบชาติ สามสิบชาติ สี่สิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง ตลอดหลายสังวัฏฏกัปป์ หลายวิวัฏฏกัปป์ หลายสังวัฏฏกัปป์และ วิวัฏฏกัปป์บ้าง ว่าเมื่อเราอยู่ในภพโน้น มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ มีอาหาร อย่างนั้น เสวยสุและทุกข์เช่นนั้น ๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น

          ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้เกิดในภพโน้น มีชื่อ โคตร วรรณะ อาหาร อย่างนั้นๆ ได้เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้น ๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น ๆ ๆ ๆ แล้ว มาเกิดในภพนี้. เรานั้นระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ พร้อม ทั้งอาการและลักขณะดังนี้.

          ราชกุมาร ! นี่เป็น วิชชาที่ ๑ ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามแรกแห่งราตรี

          อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่าง เกิดขึ้นแทนแล้ว เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่โดยควร. 

..........................................................................................................

จุตูปปาตญาณ
(รู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)


          เรานั้น ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส  เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ จุตูปปาตญาณ.

          เรามีจักขุทิพย์ บริสุทธิ์กว่าจักขุของสามัญมนุษย์ ย่อมแลเห็นสัตว์ทั้งหลาย จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลวทรามประณีต มีวรรณะดี มีวรรณะเลว มีทุกข์ มีสุข.

          เรารู้แจ้งชัด หมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรม ว่า "ผู้เจริญทั้งหลาย ! สัตว์เหล่านี้ หนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต พูดติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็น มิจฉาทิฎฐิ ประกอบการงานด้วยอํานาจ มิจฉาทิฎฐิ เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ล้วนพากันเข้าสู่อบายทุคติวินิบาตนรก.

          ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฎฐิ ประกอบการงานด้วยอํานาจ สัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์."

          เรามี จักขุทิพย์บริสุทธิ์ล่วงจักขุสามัญมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์ผู้จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลว ประณีต มีวรรณะดี วรรณะทราม มีทุกข์ มีสุข. รู้ชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมได้ ฉะนี้.
          ราชกุมาร ! นี้เป็น วิชชาที่ ๒ ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามกลางแห่งราตรี

          อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่าง เกิดขึ้น แทนแล้ว เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่โดยควร. 

..........................................................................................................

อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว)

          เรานั้น ครั้นจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสเป็น ธรรมชาติ อ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ก็น้อมจิตไป เฉพาะต่อ อาสวักขยญาณ เราย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า "นี่ทุกข์ นี่เหตุแห่งทุกข์ นี่ความดับไม่ เหลือแห่งทุกข์ นี่ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์ และเหล่านี้ เป็นอาสวะ ทั้งหลาย นี้เหตุแห่งอาสวะทั้งหลาย นี้ความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย นี้เป็นทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย."

          เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นจาก กามาสวะ ภวาสวะ และ อวิชชาสวะ. ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้วก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตพ้นแล้ว เรารู้ชัดว่าชาติ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ต้องทำได้ทำสําเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความ (หลุดพ้น) เป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก.

          ราชกุมาร ! นี่เป็น วิชชาที่ ๓ ที่เราได้บรรลุแล้วในยามปลายแห่งราตรี

          อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่าง เกิดขึ้นแทนแล้ว เช่นเดียวกับที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีเพียร เผาบาป มีตนส่งไป แล้วแลอยู่ โดยควร.

 


 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์