พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า98-103
758-1
ทรงพยายามในเนกขมัมจิต และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรัสรู้
(สมถะสมาธิ- หลีกออกจากกาม)
อานนท์ ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ความรู้ได้ เกิดขึ้นแก่เราว่า เนกขัมมะ (ความหลีกออกจากกาม) เป็นทางแห่งความสำเร็จ ปวิเวก(ความอยู่สงัดจากกาม)เป็นทางแห่งความสำเร็จดังนี้ แต่แม้กระนั้น จิตของเรา ก็ยังไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไปในเนกขัมมะ ทั้งที่เราเห็นอยู่ว่า
นั่นสงบ.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่าอะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้จิต ของเราเป็นเช่นนั้น.
..................................................................................
(สมาธิ ชั้นรูปสัญญาทั้ง๔ )
(สงบจากกาม จึง บรรลุฌานที่๑)
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในกามทั้งหลาย เป็นสิ่งที่เรายัง มองไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่งการออกจากกาม เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของเราจึงเป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่าถ้ากระไรเราได้เห็นโทษ ในกามทั้งหลาย แล้วนำมาทำการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ในการหลีกออกจากกามแล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะ ที่จะทำให้จิตของเรา พึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปในเนกขัมมะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนกขัมมะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ.
อานนท์ ! เมื่อเป็นเช่นนั้น เราแล เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุฌานที่ ๑ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่
อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วย วิหารธรรม คือฌานที่ ๑ นี้ การทำในใจตามอำนาจ แห่งสัญญาที่เป็นไปในทางกาม ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่.
ข้อนั้นยังเป็นอาพาธ (ในทางจิต) แก่เราเหมือนผู้มีสุข แล้วยังมีทุกข์เกิดขึ้น ขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกำจัดอาพาธข้อนั้น เสีย ถ้ากระไรเรา เพราะสงบ วิตกวิจารเสียได้ พึงบรรลุฌานที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใส แห่งจิตใน ภายใน ทำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตก วิจาร มีแต่ปีติ และสุขอันเกิดแต่ สมาธิแล้ว แลอยู่เถิด ดังนี้.
อานนท! แม้กระนั้นจิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไปในอวิตกธรรม (คือฌานที่ ๒) นั้น ทั้งที่เราเห็นอยู่ ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่ทำให้จิต ของเราเป็นเช่นนั้น.
..................................................................................
(สงบวิตกวิจาร จึงบรรลุฌานที่๒)
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในวิตกธรรม เป็นสิ่งที่เรายังมอง ไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่ง อวิตกธรรม เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของ เราจึง เป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในวิตก แล้วนำมา ทำการคิดนึก ในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ในอวิตกธรรมแล้ว พึงเสพในอานิสงส์ นั้นอย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะที่จะทำให้จิตของ เราพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้หลุดออก ไปในอวิตกธรรม โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในอวิตกธรรม (คือฌานที่ ๒) นั้น โดยที่เห็น อยู่ว่านั่น สงบ.
อานนท์ ! เมื่อเป็นเช่นนั้น เราแล เพราะสงบวิตกวิจาร เสียได้ จึงบรรลุฌาน ที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใสแห่ง จิตในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์ อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่.
อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วย วิหารธรรม คือ ฌานที่ ๒ นี้ การทำในใจตามอำนาจแห่ง สัญญา ที่เป็นไป ในวิตกก็ยัง เกิดแทรกแซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นอาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา เหมือนผู้มีสุข แล้วยัง มีทุกข์เกิดขึ้น ขัดขวาง เพราะอาพาธฉันใดก็ฉันนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกำจัดอาพาธข้อนั้นเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะความจาง ไปแห่งปีติ พึงอยู่อุเบกขา มีสติแลสัมปชัญญะ และพึงเสวยสุข ด้วยนามกาย บรรลุฌานที่ ๓ อันฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่ อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขแล้วแลอยู่เถิด ดังนี้.
อานนท์ ! แม้กระนั้น จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออก ไปใน นิปปีติกฌาน (คือฌานที่ ๓) นั้น ทั้งที่เราเห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้จิต ของเราเป็นเช่นนั้น.
..................................................................................
(สงบจากปิติ จึงบรรลุฌานที่๒)
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในปีติ เป็นสิ่งที่เรายังมอง ไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่ง นิปปีตกฌาน เรายังไม่เคย ได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของเราจึงเป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในปีติ แล้วนำมา ทำการคิดนึกในข้อ นั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ในนิปปีติกฌานแล้ว พึงเสพในอานิสงส์ นั้นอย่าง ทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะที่จะทำให้จิตของเราพึงแล่นไปพึง เลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปในนิปปีติกฌาน โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใสตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปในนิปปีติกฌาน (คือฌานที่ ๓) นั้น โดยที่เห็นอยู่ ว่านั่น สงบ.
อานนท์ ! เมื่อเป็นเช่นนั้น เราแลเพราะความจางไปแห่งปีติ จึงเกิดอุเบกขา มีสติแล สัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่ ๓ อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้า กล่าวว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขแล้วแลอยู่.
อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมคือฌานที่ ๓ การทำในใจตามอํานาจ แห่งสัญญา ที่เป็นไปในปีติ ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นอาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา เหมือนผู้มีสุข แล้วยังมีทุกข์เกิดขึ้นขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกําจัดอาพาธข้อนั้นเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส แลโทมนัสในกาล ก่อน พึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์และสุข มีแต่ความที่สติ เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้.
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในอุเปกขาสุข เป็นสิ่งที่เรา ยังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นํามาทําการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่งอทุกขมสุข เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของเรา จึงเป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในอุเปกขาสุข แล้วนํามา ทําการคิดนึก ในข้อนั้น ให้มาก ได้รับอานิสงส์ในอทุกขมสุขแล้ว พึงเสพ นอานิสงส์นั้น อย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละจะเป็นฐานะ ที่จะทําให้จิตของเราพึง แล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้หลุดออกไป ในอทุกขมสุขโดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปในอทุกขมสุข (คือฌานที่ ๔) นั้น โดยที่เห็น อยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! เมื่อเป็นเช่นนั้น เราแล เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไป แห่ง โสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน จึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความ ที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
อานนท์ ! แม้เมื่อ เราอยู่ด้วย วิหารธรรมคือฌานที่ ๔ นี้ การทำในใจตามอำนาจแห่ง สัญญา ที่เป็นไป ในอุเบกขา ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นการอาพาธ (ในทางจิต)แก่เรา เหมือนผู้มีสุข แล้วยังมีทุกข์เกิด ขึ้นขัดขวางเพราะอาพาธฉันใด ก็ฉันนั้น.
..................................................................................
(พ้นรูปสัญญา กำหนดหมายในรูป จึงเข้าสมาธิ ชั้นอรูป)
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกำจัดอาพาธข้อนั้นเสีย
ถ้ากระไร เรา เพราะผ่านพ้นรูปสัญญา (ความกำหนดหมายในรูป)โดยประการทั้งปวงได เพราะความ ตั้งอยู่ ไม่ได้แห่งปฏิฆสัญญา(ความกำหนดหมายอารมณ์ ที่กระทบใจ) เพราะไม่ได้ทำ ในใจ ซึ่งความกำหนดหมายในภาวะต่าง ๆ (นานัตตสัญญา) พึงบรรลุ อากาสานัญจา ยตนะ อันมีการทำในใจว่า "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด" แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้.
อานนท์ ! แม้กระนั้น จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ในอากาสานัญจายตนะนั้น ทั้งที่เราเห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้น แก่เราสืบไปว่า อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทําให้จิตของเรา เป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในรูปทั้งหลาย เป็นสิ่งที่เรา ยังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทําการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่ง อากาสานัญจายตนะ เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของเรา จึงเป็นเช่นนั้น.
(เห็นโทษในรูปทั้งหลาย บรรลุอากาสา-)
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในรูปทั้งหลาย แล้วนำมาทำ ทําการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ใน อากาสนัญจายตนะแล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้น อย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะที่จะทําให้จิตของเรา พึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้หลุดออกไป ในอากาสานัญจายตนะ โดยที่เห็นอยู่ว่า นั่นสงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึง แล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปในอากาสนัญจายตนะนั้น โดยที่เห็นอยู่ว่า นั่น สงบ.
อานนท์ ! เมื่อเป็นเช่นนั้น เราแล เพราะผ่านพ้นรูปสัญญาโดยประการทั้งปวงเสียได้ เพราะความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่ได้ทำในใจซึ่งนานัตตสัญญา จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด" แล้วแลอยู่.
อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรม คืออากาสานัญจายตนะนี้ การทําในใจตาม อํานาจ แห่งสัญญา ที่เป็นไปในรูป ทั้งหลายก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นการ อาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา เหมือนผู้มีสุข แล้วยังมีทุกข์เกิดขึ้นขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น.
....................................................................
(พ้นอากาสา- บรรลุวิญญานัญจา-)
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เพื่อกำจัดอาพาธข้อนั้นเสีย ถ้ากระไรเรา เพราะผ่านพ้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว พึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำ ในใจว่า "วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด" แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้.
อานนท์ ! แม้กระนั้นจิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ไม่หลุดออกไป ใน วิญญาณัญจายตนะนั้น ทั้งที่เราเห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่าอะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทําให้จิต ของเรา เป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในอากาสานัญจายตนะ เป็นสิ่ง ที่เรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่งวิญญา ณัญจายตนะ เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคย รู้รสเลย จิตของเราจึงเป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในอากา สานัญจายตนะ แล้วนำมา ทำการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ใน วิญญาณัญจายตนะ แล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะที่จะทำให้จิต ของเราพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปใน วิญญาณัญจายตนะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้ว อย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปใน วิญญาณัญจายตนะนั้นโดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ
อานนท์ ! เราแลผ่านพ้น อากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงบรรลุ วิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า" "วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด" แล้วแลอยู่.
อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ ด้วยวิหารธรรมคือวิญญาณัญจายตนะนี้ การทำในใจ ตามอำนาจ แห่งสัญญาที่ เป็นไปในอากาสานัญจายตนะ ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นการอาพาธ (ในทางจิต) แก่เรา เหมือนผู้มีสุข แล้วยังมีทุกข์เกิดขึ้น ขัดขวางเพราะอาพาธฉันใดก็ฉันนั้น.
....................................................................
(พ้นวิญญานัญจา - บรรลุอากิญจัญญา-)
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกำจัดอาพาธข้อนั้นเสีย ถ้ากระไร เพราะผ่านพ้นวิญญา ณัญจายตนะโดยประการ ทั้งปวงเสียแล้ว พึงบรรลุ อากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า "อะไรๆไม่มี" แล้วแลอยู่เถิดดังนี้.
อานนท์ ! แม้กระนั้นจิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใสไม่ ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ในอากิญจัญญายตนะนั้น ทั้งที่เราเห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่าอะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้จิต ของเรา เป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในวิญญญาณัญจายตนะ เป็นสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์ แห่งอากิญจัญญายตนะ เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของเราจึงเป็น เช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษใน วิญญาณัญจายตนะ แล้วนำมาทำการ คิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ใน อากิญจัญญายตนะแล้วพึงเสพ ในอานิสงส์ นั้นอย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะที่จะทำให้จิตของเราพึงแล่นไป พึงเลื่อมใสตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปใน อากิญจัญญายตนะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้น แล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใสตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปใน อากิญจัญญายตนะนั้น โดยที่เห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! เราแล ผ่านพ้นวิญญา ณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ อันมีการทํา ในใจว่า "อะไร ๆ ไม่มี" แล้วแลอยู่.
อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรม คือ อากิญจัญญายตนะนี้ การทำในใจตามอำนาจ แห่งสัญญา ที่เป็นไปในวิญญา ณัญจายตนะ ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่.
ข้อนั้นยังเป็น การอาพาธ (ในทางจิต)แก่เรา เหมือนผู้มีสุขแล้วยังมีทุกข์เกิดขึ้น ขัดขวางเพราะ อาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น.
....................................................................
(พ้นอากิญจัญญา- บรรลุเนวสัญญา-)
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกำจัดอาพาธ ข้อนั้นเสีย ถ้ากระไร เราเพราะผ่านพ้นอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว พึงบรรลุ เนวสัญญานาสัญญายตนะ๑ แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้.
อานนท์ ! แม้กระนั้นจิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป
ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ทั้งที่เราเห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เรา สืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทําให้จิต ของเราเป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในอากิญจัญญายตนะ เป็นสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของเรา จึงเป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษใน อากิญจัญญายตนะ แล้วนำมาทำ การคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ ในเนวสัญญานา สัญญายตนะแล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้น แหละจะเป็นฐานะ จะทำให้จิตของเราพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น โดยที่เห็นอยู่ว่า นั่นสงบ.
อานนท์ ! เราแล ผ่านพ้นอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงบรรลุ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วแลอยู่.
อานนท์ ! แม้เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมคือ เนวสัญานาสัญญายตนะนี้ การทำในใจ ตามอำนาจแห่งสัญญา ที่เป็นไปในอากิญจัญญายตนะ ก็ยังเกิดแทรกแซงอยู่. ข้อนั้นยังเป็นการอาพาธ (ในทางจิต)แก่เราเหมือนผู้มีสุข แล้วยังมีทุกข์เกิดขึ้น ขัดขวาง เพราะอาพาธ ฉันใดก็ฉันนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า เพื่อกำจัดอาพาธข้อนั้นเสีย ถ้ากระไรเรา ผ่านพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว พึงบรรลุสัญญา เวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่เถิด ดังนี้.
อานนท์ ! แม้กระนั้นจิต ของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ในสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น ทั้งที่เราเห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
....................................................................
(พ้นเนวสัญญา- หลุดเข้าไปในสัญญาเวทยิตนิโรธ)
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้น แก่เรา สืบไปว่าอะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้จิต ของเราเป็นเช่นนั้น.
อานนท์ ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเพราะว่า โทษ ในเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่ง สัญญาเวทยิตนิโรธ เราก็ยังไม่เคยได้รับเลย ยังไม่เคยรู้รสเลย จิตของเราจึงเป็น เช่นนั้น.
อานนท์ ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้าหากเราได้เห็นโทษในเนวสัญญานา สัญญายตนะ แล้วนำมาทำการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ใน สัญญาเวท ยิตนิโรธ แล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างทั่วถึงไซร้ ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะที่จะทำ ให้จิตของเรา
พึงแล่นไป พึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้หลุดออกไป ใน สัญญาเวทยิตนิโรธ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่นสงบ.
อานนท์ ! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไป จึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไปในสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น โดยที่เห็นอยู่ว่า นั่นสงบ.
อานนท์ เราแล ผ่านพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่ (ไม่มีอาพาธอะไรๆอีกต่อไป).
อนึ่งอาสวะทั้งหลายได้ ถึงความสิ้นไปรอบ เพราะเราเห็น (อริยสัจจ์สี่ )ได้ด้วยปัญญา
|