เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  นันทสูตร พระพุทธเจ้าพาเจ้าชาย นันทะ ไปดูนางอัปสรถึงชั้นดาวดึงส์ เพื่อให้เลิกความตั้งใจที่จะ   อภิเษกกับสาวชนบท เมื่อถึงแล้วบอกว่าสาวชนบทเหมือน นางลิง งามไม่ถึงเสี้ยวของ นางอัปสร 732
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

เจ้าชายนันท ศากยะตระกูล พระญาติกับพระพุทธเจ้า เข้ามาบวชด้วยความจำใจ เนื่องจากกำลัง จะอภิเษก สมรส กับ นางกัลยาณีชนบท แต่ด้วยความเกรงใจพระพุทธเจ้า อยู่ได้ไม่นานก็จะขอลาสิกขา เนื่องจากไม่สามารถ ประพฤติพรหมจรรย์ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถามเหตุผล ก็ได้บอกว่า ได้รู้จักกับ นางสากิยานี หญิงในชนบท และ กำลังจะทำพิธีอภิเษก  

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจาก พระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่า เทวดา ชั้นดาวดึงส์ เหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขน ที่คู้หรือ พึงคู้แขน ที่เหยียดฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระนันทะว่า เธอเห็นนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านี้ผู้มีเท้าดุจนกพิราบหรือไม่ เธอคิดว่า นางสากิยานี กับนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ ใครหนอมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า

น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
นางลิง ผู้มีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้ หูและจมูกขาด ฉันใด นางสากิยานี ผู้ชนบท กัลยานี ก็ฉันนั้นแล เมื่อเทียบกับนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่งเสี้ยว

จากนั้นพระภูมีพระภาค ตรัสว่า เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อให้ได้นางอัปสร ประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจ นกพิราบ ครั้งนั้นแล ภิกษุผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ ย่อมร้องเรียก(ล้อ)ท่านพระนันทะว่าเป็นลูกจ้าง พระผู้มีพระภาค (จ้างบวช) พระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาเพื่อให้ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุนางอัปสร ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบฯ

ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังกับวาทะล้อเลียนต่างๆนานา จึงหลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ไม่นานนัก ก็กระทำ ให้แจ้งซึ่งที่สุด แห่งพรหมจรรย์ อันยอดเยี่ยม ไม่นานจึงสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ 

พระนันทะได้เข้าเฝ้า กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าพระองค์ขอปลดเปลื้องพระผู้มีพระภาค จากการ รับรองเพื่อ ให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ผู้มีเท้าดุจนกพิราบ ...ดูกรนันทะ เมื่อใดแล จิตของเธอ หลุดพ้นแล้ว จาก อาสวะ ทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้น เราพ้นแล้วจากการรับรองนี้ ฯ

พระนันทะ ได้เป็น เอตทัคคะ ผู้เลิศในอินทรีย์สังวร (สำรวม)ที่พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้ง เป็นหนึ่งใน เอตทัคคะ 74 ท่าน ของพุทธศาสนา

 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต หน้าที่ ๗๔ – ๗๗

นันทสูตร

          [๖๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคโอรสของพระมาตุจฉา ได้บอกแก่ภิกษุ เป็นอันมากอย่างนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์ อยู่ได้ ผมจะบอกคืนสิกขาลาเพศครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะ พระภาดาของพระผู้มี พระภาค โอรสของพระมาตุจฉา ได้บอกแก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์ ผมจะบอกคืนสิกขาลาเพศ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า มาเถิด ภิกษุเธอจงเรียกนันทภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูกรท่านนันทะพระศาสดา รับสั่งให้หาท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วเข้าไปหาท่านพระนันทะถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าว กะท่านพระนันทะว่า

ดูกรท่านนันทะ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระนันทะรับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามท่านพระนันทะว่า

ดูกรนันทะ ได้ยินว่าเธอได้บอกแก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ฯลฯ ผมจักบอกคืน สิกขาลาเพศ ดังนี้จริงหรือท่าน พระนันทะกราบทูลว่าจริงพระเจ้าข้า ฯ

          พ. ดูกรนันทะ ท่านไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักไม่สามารถทรงพรหมจรรย์ ไว้ได้จักบอกคืนสิกขาลาเพศเพื่อเหตุไรเล่า ฯ

น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ออกจากเรือน นางสากิยานี ผู้ชนบทกัลยาณี มีผมอันสางไว้กึ่งหนึ่งแลดูแล้ว ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอพระลูกเจ้า พึงด่วนเสด็จกลับมา ข้าพระองค์ระลึกถึงคำของนางนั้นจึงไม่ยินดี ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์ไว้ได้ จักบอกคืนสิกขาลาเพศ ฯ

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจาก พระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขน ที่คู้หรือ พึงคู้แขน ที่เหยียดฉะนั้น ฯ

          [๖๘] ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีเท้าดุจนกพิราบมาสู่ที่บำรุง ของท้าวสักกะจอมเทพ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระนันทะว่า ดูกรนันทะ เธอเห็นนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านี้ผู้มีเท้าดุจนกพิราบหรือไม่ ท่านพระนันทะทูลรับว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรนันทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นางสากิยานี ผู้ชนบทกัลยานี หรือ นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ไหนหนอแล มีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า ฯ

น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิง ผู้มีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้ หูและจมูกขาด ฉันใด นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยานีก็ฉันนั้นแล เมื่อเทียบกับนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่งเสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว ไม่เข้าถึง เพียงการ เอาเข้าไปเปรียบว่าหญิงนี้เป็นเช่นนั้น ที่แท้นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ มีรูปงามกว่า น่าดูกว่าและน่าเลื่อมใสกว่าพระเจ้าข้า ฯ

พ. ยินดีเถิดนันทะ อภิรมย์เถิดนันทะ เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อให้ได้นางอัปสร ประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์ เพื่อให้ได้นาง อัปสร ประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้ ข้าพระองค์จักยินดีประพฤติพรหมจรรย์ พระเจ้าข้า ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจาก เทวดา ชั้นดาวดึงส์ ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน เหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียบแขนที่คู้ หรือ คู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น

ภิกษุทั้งหลายได้สดับข่าวว่า ท่านพระนันทะ พระภาดาของพระผู้มีพระภาค โอรสของ พระมาตุจฉา ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุแห่ง นางอัปสร ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค เป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

          [๖๙] ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ ย่อมร้องเรียก ท่านพระนันทะด้วยวาทะว่าเป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าผู้อันพระผู้มีพระภาค ทรงไถ่ มาว่า ได้ยินว่าท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง ได้ยินว่าท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มี พระภาคทรงไถ่มา ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสรได้ยินว่า พระผู้มี พระภาค ทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบฯ

          ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า เป็นลูกจ้าง และ ด้วยวาทะว่าเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาค ทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย จึงหลีกออก จากหมู่ อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ไม่นานนัก ก็กระทำ ให้แจ้งซึ่งที่สุด แห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็น บรรพชิต โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัด ว่าชาติสิ้น แล้ว พรหมจรรย์อยู่ จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้วกิจอื่น เพื่อความเป็น อย่างนี้ มิได้มี ก็ท่านพระนันทะได้ เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ ทั้งหลาย ฯ

          [๗๐] ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่งมีวรรณะงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว ข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

          ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญท่านพระนันทะ พระภาดาของพระผู้มีพระภาค โอรสของพระมาตุจฉา ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้ญาณก็ได้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคว่า พระนันทะทำให้แจ้ง ซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ฯ

          ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป ท่านพระนันทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์ เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ผู้มีเท้าดุจนกพิราบ ข้าพระองค์ขอปลดเปลื้องพระผู้มีพระภาค จากการรับรองนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรนันทะ แม้เราก็กำหนดรู้ใจของเธอด้วยใจของเราว่า นันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ใน ปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ แม้เทวดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะ พระภาดาของพระผู้มีพระภาคโอรสของพระมาตุจฉา ทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา อันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

ดูกรนันทะ เมื่อใดแล จิตของเธอหลุดพ้นแล้วจาก อาสวะ ทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้น เราพ้นแล้วจากการรับรองนี้ ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ภิกษุใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว ย่ำยีหนาม คือกามได้แล้ว ภิกษุนั้นบรรลุถึงความ สิ้นโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์

จบสูตรที่ ๒

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์