เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 สุสิมสูตร : สุสิมปริพาชกเข้ามาบวชเพื่อหวังได้ลาภ และมีฤทธิ์ ครั้นได้ฟังคำสอนแล้วเปลี่ยนใจ 703
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

สุสิมปริพาชก เข้ามาบวชในพุทธศาสนา เพื่อหวังได้ให้เทวดาและมนุษย์เคารพนับถือ หวังว่าจะได้ กลับไปสอนปริพาชกในสำนักเดียวกัน

สุสิม ได้ยินว่าภิกษุเป็นอันมากอวดอ้างพระอรหัตผลว่า  รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ฯ จึงได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านรู้เห็น อย่างนี้ ย่อมบรรลุอิทธิวิธี คือคนเดียวเห็นหลายคนได้ หลายคนเป็นคนเดียวได้ ทำไห้ปรากฏก็ได้ ไม่ปรากฏก็ได้ เดินทะลุกำแพง เดินในน้ำได้ ฯลฯ

ภิกษุตอบว่า หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่หลุดพ้นด้วยปัญญา

สุสิมิเกิดความสงสัย จึงเข้ากราบทูลถามพระพุทธเจ้า

พ. ดูกรสุสิมะ
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
สุ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
สุ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
..................ฯลฯ...................

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
สุ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควรหรือหนอที่จะ ตามเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
สุ. ข้อนี้ไม่สมควร พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสุสิมะ เพราะเหตุนั้นแล
รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี รูปทั้งหมดนั่น อันเธอพึงเห็น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเราฯ

......เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย วิญญาณ ก็ตรัสอย่างเดียวกันกับรูป .....

พ. ดูกรสุสิมะ อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขารทั้งหลาย แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้น ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้วย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ
..................ฯลฯ...................
ลำดับนั้นเอง ท่านสุสิมะหมอบลงแทบพระบาททั้งสอง ของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้าโทษได้ตกถึงข้า พระองค์ เท่าที่โง่ เท่าที่หลง เท่าที่ไม่ฉลาด ข้าพระองค์บวช ขโมยธรรม ในธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสดีแล้วอย่างนี้ ขอพระผู้มีพระภาค จงรับโทษ ไว้ โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไป ของข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า

 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้า ๑๑๖ – ๑๒๔

๑๐. สุสิมสูตร


          [๒๗๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์ สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค อันเทวดา และ มนุษย์ทั้งมวลสักการะ เคารพ นับถือ บูชายำเกรง ทรงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขารเป็นปัจจัยแก่คนไข้ แม้ภิกษุสงฆ์อันเทวดา และมนุษย์ทั้งมวล ก็สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และเภสัชบริขาร เป็นปัจจัยแก่คนไข้

แต่พวกปริพาชกเดียรถีย์อื่น อันเทวดา และมนุษย์ทั้งมวลไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา ไม่ยำเกรง ไม่ได้จีวรบิณฑบาตเสนาสนะ และเภสัชบริขารเป็นปัจจัย แก่คนไข้

          [๒๘๐] สมัยนั้นแล สุสิมปริพาชก อาศัยอยู่ ณ พระนครราชคฤห์กับปริพาชก บริษัท เป็นอันมาก ครั้งนั้นแล บริษัทของสุสิมปริพาชก ได้กล่าวกะสุสิมปริพาชกว่า มาเถิด ท่านสุสิมะ ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักของพระสมณโคดม ท่านเรียนธรรม แล้ว พึงบอกข้าพเจ้าทั้งหลาย พวกข้าพเจ้าเรียนธรรมนั้น แล้วจักกล่าว แก่ คฤหัสถ์ ทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเราก็จักมีเทวดา และมนุษย์ ทั้งมวล สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง จักได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และ เภสัชบริขาร เป็นปัจจัย แก่คนไข้ ฯ สุสิมปริพาชก ยอมรับคำบริษัทของตน แล้วเข้าไปหาท่าน พระอานนท์ ถึงที่อยู่

ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึก ถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นสุสิมปริพาชกนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า

ท่านพระอานนท์ ผมปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้

          [๒๘๑] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์พาสุสิมปริพาชก เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น ท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า สุสิมปริพาชกผู้นี้กล่าวอย่างนี้ว่าท่านพระอานนท์ ผมปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้สุสิมปริพาชกบวช สุสิมปริพาชก ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว

          [๒๘๒] สมัยนั้นแล ได้ยินว่า ภิกษุเป็นอันมากอวดอ้างพระอรหัตผล ในสำนัก พระผู้มี พระภาคว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี

ท่านสุสิมะได้ฟังมาว่า ภิกษุเป็นอันมากอวดอ้างพระอรหัตผล ในสำนักพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ทันใดนั้นเอง ท่านสุสิมะก็เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับภิกษุเหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่าน สุสิมะ นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า

ได้ยินว่าท่านทั้งหลายอวดอ้าง พระอรหัตผล ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ข้าพระองค์ ทั้งหลายรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้จริงหรือฯ ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า จริงอย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ

          [๒๘๓] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อม บรรลุอิทธิวิธี หลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียว ก็ได้ ทำให้ปรากฏ ก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขา ไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไป ในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตก เหมือนเดินบ แผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพ มาก ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอด พรหมโลกก็ได้ บ้างหรือหนอ

ภิ. หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านผู้มีอายุ

          [๒๘๔] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมได้ยิน เสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์ และเสียงมนุษย์ทั้งที่อยู่ไกล และใกล้ ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ บ้างหรือหนอ

ภิ. หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านผู้มีอายุ

          [๒๘๕] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นได้ด้วยใจ คือจิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะหรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ  จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น บ้างหรือหนอ

ภิ. หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านผู้มีอายุ

          [๒๘๖] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมระลึก ถึงชาติ ก่อน ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัป เป็นอันมาก บ้าง ตลอด วิวัฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏกัปวิวัฏกัป เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่อ อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้นมีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขและ ทุกข์ อย่างนั้น มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้ไป เกิดในภพโน้น ในภพนั้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขและ ทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุ เพียงเท่านั้น ครั้นจุติจาก ภพนั้น แล้วมาเกิดในภพนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ บ้างหรือหนอ

ภิ. หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านผู้มีอายุ

          [๒๘๗] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเห็น หมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไป ตามกรรมว่า

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยะเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายเพราะกาย แตกดับไป ก็เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ส่วนสัตว์เหล่านั้น ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจ สัมมาทิฐิ เมื่อตายเพราะกายแตกดับไป ก็เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้ บ้างหรือหนอ

ภิ. หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านผู้มีอายุ

          [๒๘๘] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อม ถูกต้อง อารูปวิโมกข์อันสงบ ก้าวล่วงรูปวิโมกข์ทั้งหลายด้วยกาย บ้างหรือหนอ

ภิ. หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านผู้มีอายุ

          [๒๘๙] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย คำตอบนี้ และการไม่เข้าถึงธรรมเหล่านี้ มีอยู่ในเรื่องนี้ในบัดนี้ อาวุโส เรื่องนี้ เป็นอย่างไรแน่

ภิ. ท่านสุสิมะ ผมทั้งหลายหลุดพ้นได้ด้วยปัญญา

สุ. ผมไม่เข้าใจเนื้อความแห่งคำที่ท่านทั้งหลาย กล่าวโดยย่อนี้โดยพิสดารได้ ขอท่านทั้งหลาย จงกล่าวแก่ผม เท่าที่ผมจะพึงเข้าใจเนื้อความแห่งคำ ที่ท่านทั้งหลาย กล่าวโดยย่อนี้ โดยพิสดารเถิด

ภิ. ท่านสุสิมะ ท่านพึงเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่ผมทั้งหลายก็หลุดพ้นได้ ด้วยปัญญา

          [๒๙๐] ครั้งนั้นแล ท่านสุสิมะลุกจากอาสนะแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านสุสิมะ นั่งเรียบร้อยแล้ว กราบทูลถ้อยคำที่สนทนา กับภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด แด่พระผู้มี พระภาค

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

สุสิมะ ธรรมฐิติญาณ เกิดก่อน ญาณในพระนิพพาน เกิดภายหลัง

พระสุสิมะกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจเนื้อความแห่งคำ ที่พระองค์ตรัสไว้โดยย่อนี้ โดยพิสดารได้ ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสแก่ข้าพระองค์ เท่าที่ข้าพระองค์จะพึงเข้าใจ เนื้อความแห่ง พระดำรัส ที่พระองค์ตรัสโดยย่อนี้ โดยพิสดารเถิด

          [๒๙๑] พ. ดูกรสุสิมะ เธอจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม โดยแท้จริงแล้ว ธรรมฐิติญาณ เกิดก่อน ญาณในพระนิพพานเกิดทีหลัง สุสิมะ เธอจะเข้าใจความ ข้อนั้นอย่างไร

รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง
สุ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
สุ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควรหรือหนอที่จะ
ตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

สุ. ข้อนี้ไม่สมควร พระเจ้าข้า

พ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง
สุ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
สุ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควรหรือหนอที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
สุ. ข้อนี้ไม่สมควร พระเจ้าข้า

พ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง
สุ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
สุ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควรหรือหนอที่จะตาม เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
สุ. ข้อนี้ไม่สมควร พระเจ้าข้า

พ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง
สุ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
สุ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควรหรือหนอที่จะตาม เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
สุ. ข้อนี้ไม่สมควร พระเจ้าข้า

พ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง
สุ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
สุ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควรหรือหนอที่จะ ตามเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
สุ. ข้อนี้ไม่สมควร พระเจ้าข้า


          [๒๙๒] พ. ดูกรสุสิมะ เพราะเหตุนั้นแล

รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดีอยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี รูปทั้งหมดนั่น อันเธอพึงเห็น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเราฯ

เวทนา อย่างใด อย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดีในที่ใกล้ก็ดี เวทนาทั้งหมดนั่น อันเธอพึงเห็นด้วยปัญญา อันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

สัญญา อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดีในที่ใกล้ก็ดี สัญญาทั้งหมดนั่น อันเธอพึงเห็นด้วย ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

สังขารทั้งหลาย อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี   ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี สังขารทั้งหลายทั้งหมดนั่น อันเธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดีในที่ใกล้ก็ดี วิญญาณทั้งหมดนั่น อันเธอพึงเห็นด้วยปัญญา อันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา  นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

          [๒๙๓] พ. ดูกรสุสิมะ อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขารทั้งหลาย แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นเมื่อหลุดพ้น ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้วย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

          [๒๙๔] พ. ดูกรสุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทานหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ... เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ... เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ... เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๒๙๕] พ. ดูกรสุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะภพดับ ชาติจึงดับหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. ... เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ... เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ... เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ...เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ... เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ... เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับหรือ
สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า
          
          [๒๙๖] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขา ไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปบนอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพ มาก ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ บ้างหรือหนอ
สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๒๙๗] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมได้ยินเสียงสองชนิด คือเสียงทิพย์ และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกล และอยู่ใกล้ ด้วยทิพยโสตธาตุอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์บ้างหรือหนอ
สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๒๙๘] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่น ได้ด้วยใจ คือจิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ ฯลฯ จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่าจิตไม่หลุดพ้นบ้างหรือหนอ
สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๒๙๙] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้ เป็นอันมาก คือชาติหนึ่งบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้ง อาการ ทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ บ้างหรือหนอ
สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๓๐๐] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ ฯลฯ ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม บ้างหรือหนอ
สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๓๐๑] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมถูกต้องอารูปวิโมกข์อันสงบ ก้าวล่วงรูปวิโมกข์ทั้งหลาย ด้วยกายบ้างหรือหนอ
สุ. มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๓๐๒] พ. ดูกรสุสิมะ คำตอบนี้และการไม่เข้าถึงธรรมเหล่านี้มีอยู่ในเรื่องนี้ ในบัดนี้ เรื่องนี้เป็นอย่างไรแน่

ลำดับนั้นเอง ท่านสุสิมะหมอบลงแทบพระบาททั้งสอง ของพระผู้มีพระภาค ด้วย เศียรเกล้า ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้าโทษได้ตกถึงข้า พระองค์ เท่าที่โง่ เท่าที่หลง เท่าที่ไม่ฉลาด ข้าพระองค์บวช ขโมยธรรม ในธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสดีแล้วอย่างนี้ ขอพระผู้มีพระภาค จงรับโทษ ไว้ โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไป ของข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า

          [๓๐๓] พ. เอาเถิด สุสิมะ โทษได้ตกถึงเธอ เท่าที่โง่ เท่าที่หลง  เท่าที่ไม่ฉลาด เธอบวชขโมยธรรม ในธรรมวินัย ที่เรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ เปรียบเหมือนเจ้าหน้าที่ จับโจร ผู้ประพฤติผิดมาแสดงตัวแก่พระราชา แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้สมมติเทพ โจรคนนี้ ประพฤติผิดแด่พระองค์ ขอพระองค์ จงทรงลงอาชญา ตามที่พระองค์ ทรงพระประสงค์ แก่โจรคนนี้เถิด พระราชาพึงรับสั่ง ให้ลงโทษโจรนั้น อย่างนี้ว่า

ท่านทั้งหลายจงไปมัดบุรุษนี้ไพล่หลังให้มั่นด้วยเชือกที่เหนียว แล้วเอามีดโกน โกนหัวเสีย พาเที่ยวตระเวน ตามถนน ตามทางสี่แยก ด้วยฆ้อง  ด้วยกลองเล็กๆ ให้ออกทางประตู ด้านทักษิณ แล้วจงตัดศีรษะ เสียข้าง ด้านทักษิณของเมือง ราชบุรุษมัดโจรนั้นไพล่หลัง อย่างมั่นคง ด้วยเชือกที่เหนียว แล้วเอามีดโกนโกนหัว พาเที่ยวตระเวนตามถนน ตามทางสี่แยกด้วยฆ้อง ด้วยกลองเล็กๆ พาออก ทางประตูด้านทักษิณ พึงตัดศีรษะ เสียข้างด้านทักษิณของเมือง สุสิมะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน บุรุษนั้น ต้องเสวยทุกข์และโทมนัส อันมีกรรมนั้น เป็นเหตุ หรือหนอ

สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          [๓๐๔] พ. ดูกรสุสิมะ บุรุษนั้นต้องเสวยทุกข์และโทมนัสอันมีกรรมนั้นเป็นเหตุ แต่การบวชของเธอ ผู้ขโมยธรรม ในธรรมวินัย ที่ตถาคตกล่าวดีแล้วอย่างนี้ นี้ยังมีผล รุนแรง และเผ็ดร้อนกว่านั้น และยังเป็นไป เพื่อวินิบาต แต่เพราะเธอเห็นโทษ โดยความเป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรม เราจึงรับโทษนั้นของเธอ ผู้ใดเห็นโทษ โดยความเป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป ข้อนี้เป็นความเจริญ ในวินัย ของพระอริยะ


 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์