เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
นครสูตร : ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ เรามีความคิดอย่างนี้ว่าโลกนี้ถึง ความลำบาก 690
 
  (เนื้อหาพอสังเขป)

ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มี ความคิดอย่างนี้ว่า โลกนี้ ถึงความลำบากหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ ...ไม่มีผู้ใดทราบชัดซึ่งธรรมเป็นที่สลัดออก จากกองทุกข์ คือ ชรา และ มรณะนี้ได้เลย เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ ชรา และมรณะจึงมี เพราะอะไร เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ

เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติแลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ

รานั้นได้มีความคิดว่าเมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึงมี ... ตัณหาจึงมี ...เวทนาจึงมี ... ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี ... เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็น ปัจจัย จึงมีนามรูป เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อ นามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แล ได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจาก นามรูป ได้เลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ

ดูกรภิกษุทั้งหลายจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลาย ที่เรา ไม่เคยได้ฟังมา ในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้ ฯ

 
 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้า ๙๓


๕. นครสูตร

[๒๕๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมาว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มี ความคิดอย่างนี้ว่า โลกนี้ถึงความลำบากหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้นไม่มีผู้ใดทราบชัดซึ่งธรรมเป็นที่สลัดออกจากกองทุกข์ คือ ชรา และ มรณะนี้ได้เลย เมื่อไรหนอธรรมเป็นที่สลัดออกไปจากกองทุกข์ คือชรา และมรณะนี้ จึงจักปรากฏ ฯ

[๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า

เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ ชรา และมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
พราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น

จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติแลมีอยู่
ชราและมรณะจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ

เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอ แลมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึงมี ... ตัณหาจึงมี ...เวทนาจึงมี ... ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี ... เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เรานั้นได้ มีความคิดดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แล ได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจาก นามรูป ได้เลยด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ

กล่าวคือ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลายจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ทั้งหลาย ที่เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้ ฯ

[๒๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไรหนอแลไม่มีอยู่ ชรา และ มรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคาย ของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับเรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี ... ภพจึงไม่มี ... อุปาทานจึงไม่มี ... ตัณหาจึงไม่มี ... เวทนาจึงไม่มี ... ผัสสะจึงไม่มี ... สฬายตนะจึงไม่มี ... นามรูปจึงไม่มี ... เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ

เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มีวิญญาณ จึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ

เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า มรรคนี้เราได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ

ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญาวิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรม ทั้งหลาย ที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่าเหตุให้ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้ฯ

[๒๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษเมื่อเที่ยวไปในป่าทึบ ได้พบมรรคาเก่า หนทาง เก่า ที่คนก่อนๆ เคยเดินไปมา เขาเดินตามทางนั้นไป เมื่อกำลังเดินตามทางนั้นไป เมื่อกำลังเดินตามทางนั้นอยู่ พบนครเก่า พบราชธานีโบราณ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยสวน ป่าไม้ สระโบกขรณีมีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อนๆ เคยอยู่อาศัยมา

ครั้งนั้นแล บุรุษคนนั้นจึงกราบทูลแด่พระราชา หรือเรียนแก่ราชมหาอำมาตย์ว่า ขอเดชะ พระองค์จงทราบเถิด พระพุทธเจ้าข้าข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเที่ยวไปในป่า ได้พบมรรคาเก่าหนทางเก่าที่คนก่อนๆ เคยเดินไปมาข้าพระพุทธเจ้าได้เดินตามทาง นั้นไป

เมื่อกำลังเดินตามทางนั้นอยู่ได้พบนครเก่า พบราชธานีโบราณ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยสวน ป่าไม้ สระโบกขรณี มีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อนๆ เคย อยู่อาศัยมาขอพระองค์ จงทรงสร้างพระนครนั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า

ลำดับนั้น พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ จึงสร้างเมืองนั้นขึ้น สมัยต่อมา เมืองนั้น เป็นเมืองมั่งคั่งและสมบูรณ์ขึ้น มีประชาชนเป็นอันมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น และ เป็นเมืองถึงความเจริญไพบูลย์ แม้ฉันใด

ภิกษุทั้งหลาย เราได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ ก่อนๆ เคยเสด็จไป ก็มรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เคย เสด็จไปนั้น เป็นไฉน คือมรรคาอันประกอบด้วย องค์ ๘ อันประเสริฐนี้แล ได้แก่สัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ

นี้แลมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปแล้ว
เราก็ได้เดินตามหนทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางเก่านั้น เมื่อกำลังเดินตามหนทางนั้นไปได้รู้ชัดซึ่งชราและมรณะ เหตุเกิดขึ้นแห่งชราและมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และได้รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับชราและมรณะ

เมื่อเรากำลังเดินตามทางอันประเสริฐ ซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางเก่านั้น ไปอยู่ ได้รู้ชัดซึ่งชาติ ฯลฯ ได้รู้ชัดซึ่งภพ ...ได้รู้ชัดซึ่งอุปาทาน ... ได้รู้ชัดซึ่งตัณหา ... ได้รู้ชัดซึ่งเวทนา ... ได้รู้ชัดซึ่งผัสสะ ... ได้รู้ชัดซึ่งสฬายตนะ ... ได้รู้ชัดซึ่งนามรูป ... ได้รู้ชัดซึ่งวิญญาณ ... ได้รู้ชัดซึ่งสังขารทั้งหลาย เหตุเกิดขึ้น แห่งสังขาร ความดับแห่งสังขาร และได้รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่อง ให้ถึงความดับ แห่งสังขาร ครั้นได้รู้ชัดซึ่งทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนั้นแล้ว เราจึงได้บอกแก่พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ของเราจึงได้เจริญแพร่หลาย กว้างขวาง มีชนเป็นอันมากรู้ เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ประกาศได้เป็น อย่างดี ดังนี้แล ฯ




 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์