เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 ปริวีมังสนสูตร ทุกข์นี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย ทุกข์นี้แลมีชาติเป็นเหตุ
                      มีชาติเป็นสมุทัย ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ ความดับแห่งชราและมรณะ
685
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

ภิกษุ พึงพิจารณาเพื่อความสิ้นทุกข์ โดยชอบ
เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

ทุกข์นี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด หนอแล
.....
ทุกข์นี้แลมีชาติเป็นเหตุ มีชาติเป็นสมุทัย
มีชาติเป็นกำเนิด มีชาติเป็นแดนเกิด
....
ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดชรา และ มรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ ความดับแห่งชราและมรณะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติ
เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง
เพื่อความดับแห่งชราและมรณะ ฯ

 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐


ปริวีมังสนสูตร

            [๑๘๘] ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ด้วยเหตุเท่าไรหนอแล ภิกษุเมื่อพิจารณา พึงพิจารณาเพื่อความสิ้นทุกข์ โดยชอบ โดยประการทั้งปวง

ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มี พระภาคเป็นที่ตั้ง มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่ง ได้โปรดเถิด พระพุทธเจ้าข้าขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด

ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

[๑๘๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้  เมื่อพิจารณาย่อมพิจารณาว่า

ทุกข์ คือ ชรา และมรณะ มีประการต่างๆ มากมาย เกิดขึ้นในโลก
ทุกข์นี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด หนอแล
เมื่ออะไรมีชรา และมรณะจึงมี
เมื่ออะไรไม่มี ชรา และมรณะจึงไม่มี


ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่าทุกข์คือชรา และมรณะมีประการต่างๆ มากมาย เกิดขึ้นในโลก
ทุกข์นี้แลมีชาติเป็นเหตุ มีชาติเป็นสมุทัย
มีชาติเป็นกำเนิด มีชาติเป็นแดนเกิด
เมื่อชาติมี ชราและมรณะจึงมี
เมื่อชาติไม่มีชราและมรณะจึงไม่มี


ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดชรา และ มรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ ความดับแห่งชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทา อันสมควรที่ให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรม อันสมควร


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งชราและมรณะ

[๑๙๐] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า
ก็ชาตินี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด
เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี เมื่ออะไรไม่มีชาติจึงไม่มี


ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
ชาติมีภพเป็นเหตุ มีภพเป็นสมุทัย
มีภพเป็นกำเนิด มีภพเป็นแดนเกิด
เมื่อภพมี ชาติจึงมี เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี


ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชาติ ย่อมรู้ประจักษ์
เหตุเกิดแห่งชาติ ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งชาติ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควร ที่ให้ถึงความดับแห่งชาติ
และย่อมเป็น ผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุนี้เราเรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งชาติ ฯ

[๑๙๑] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา
ย่อมพิจารณาว่า ก็ภพนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ

ก็อุปาทานนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็ตัณหานี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็เวทนานี้ มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็ผัสสะนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็สฬายตนะนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุฯลฯ
ก็วิญญาณนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ


ก็สังขารนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี สังขารจึงมี เมื่ออะไรไม่มี สังขารจึงไม่มี

ภิกษุนั้นเมื่อพิจารณาย่อมรู้ประจักษ์ว่า สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นสมุทัย มีอวิชชาเป็นกำเนิดมีอวิชชาเป็นแดนเกิด เมื่ออวิชชามี สังขารจึงมี เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์สังขาร ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งสังขาร ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งสังขาร ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับ แห่งสังขาร และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร

ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งสังขาร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลตกอยู่ในอวิชชา
ถ้าสังขารที่เป็นบุญปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบุญ
ถ้าสังขารที่เป็นบาปปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบาป

ถ้าสังขารที่เป็น อเนญชาปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึ งอเนญชา ฯ

[๑๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล
ภิกษุละอวิชชาได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ในกาลนั้น
ภิกษุนั้นก็ไม่ทำกรรมเป็นบุญ
ไม่ทำกรรมเป็นบาป
ไม่ทำกรรมเป็นอเนญชา


เพราะสำรอกอวิชชาเสีย เพราะมีวิชชาเกิดขึ้น
เมื่อไม่ทำเมื่อไม่คิด ก็ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
เมื่อไม่ถือมั่น ก็ไม่สะดุ้งกลัว เมื่อไม่สะดุ้งกลัว
ก็ปรินิพพานเฉพาะตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ภิกษุนั้น
ถ้า เสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า  

สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง อันตนไม่ยึดถือแล้ว ด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา

ถ้า เสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
ทุกขเวทนานั้น ไม่เที่ยง อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา
อันตนไม่เพลิดเพลินแล้ว ด้วยตัณหา

ถ้า เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลินแล้ว ด้วยตัณหา

ภิกษุนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา ก็วางใจเฉยเสวยไป ถ้าเสวยทุกขเวทนาก็วางใจ เฉย เสวยไป ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็วางใจเฉยเสวยไป ภิกษุนั้นเมื่อเสวยเวทนา ที่ปรากฏทางกาย ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย เมื่อเสวยเวทนา ที่ปรากฏ ทางชีวิต ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต รู้ชัดว่าเวทนาทั้งปวง อันตัณหา ไม่เพลิดเพลินแล้วจักเป็นของเย็น สรีรธาตุจักเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น เบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต เพราะความแตกแห่งกาย ฯ

[๑๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผา หม้อวางไว้ที่พื้นดิน อันเรียบ ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงหายไป กระเบื้องหม้อยังเหลืออยู่ที่พื้นดินนั้นนั่นแหละ แม้ฉันใดภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย ก็รู้ชัดว่าเราเสวย เวทนาที่ปรากฏทางกาย เมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนา ที่ปรากฏทางชีวิต รู้ชัดว่าเวทนาทั้งปวงอันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็น สรีรธาตุจักเหลืออยู่ ในโลกนี้เท่านั้นเบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต เพราะความแตกแห่งกาย ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ

[๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุผู้ขีณาสพ พึงทำกรรมเป็นบุญบ้าง ทำกรรมเป็นบาปบ้าง ทำกรรมเป็นอเนญชาบ้าง หรือหนอ ฯ ภิกษุทั้งหลายทูลว่า ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้าฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสังขารไม่มี โดยประการทั้งปวง
เพราะสังขารดับวิญญาณ พึงปรากฏหรือหนอ ฯ

ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อวิญญาณไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะวิญญาณดับนามรูป พึงปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อนามรูปไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะนามรูปดับสฬายตนะ พึงปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสฬายตนะไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะพึงปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อผัสสะไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะผัสสะดับเวทนา พึงปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะเวทนาดับตัณหาพึง ปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะตัณหาดับอุปาทาน พึงปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่ออุปาทานไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะอุปาทานดับ ภพ พึงปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อภพไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะภพดับ ชาติพึงปรากฏ หรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง
เพราะชาติดับ ชราและมรณะ พึงปรากฏหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

[๑๙๕] ดีละๆ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อนั้นไว้อย่างนั้นเถิด พวกเธอจงน้อมใจไปสู่ข้อนั้นอย่างนั้นเถิด จงหมดความเคลือบแคลงสงสัย ในข้อนั้น
เถิด นั่นเป็นที่สุดทุกข์ ฯ

จบสูตรที่ ๑
 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์