(ฉบับหลวง)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๕
๘. โลกายติกสูตร
[๑๗๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ฯลฯ
[๑๗๖] ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า
พระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวง มีอยู่หรือหนอ ฯ
ภ. ดูกรพราหมณ์ ข้อที่ว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่นี้
เป็นทิฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่ง โลกที่หนึ่ง
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวง ไม่มีอยู่หรือ ฯ
ภ. ดูกรพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่นี้
เป็นทิฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่ง โลกที่สอง
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันหรือ ฯ
ภ. ดูกรพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันนี้
เป็นทิฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่ง โลกที่สาม
โล. พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันหรือ ฯ
ภ. ดูกรพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันนี้
เป็นทิฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่ง โลกที่สี่
ดูกรพราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าใกล้ส่วนสุด ทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ก็เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณ จึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
[๑๗๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว โลกายติกพราหมณ์ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทาง ให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็น รูปดังนี้ ฉันใดพระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรม และ ภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะขอท่านพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
(ฉบับมหาจุฬา)
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ] หน้า ๙๕
โลกายติกสูตร
ว่าด้วยพราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ
[๔๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้ รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ นั่ง ณ ที่สมควร ครั้นแล้ว พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ท่านพระโคดม สิ่งทั้งปวงมีหรือ
พราหมณ์ ข้อที่ว่า ‘สิ่งทั้งปวงมี’ นี้ เป็นโลกายตะข้อที่ ๑
ท่านพระโคดม ก็สิ่งทั้งปวงไม่มีหรือ
พราหมณ์ ข้อที่ว่า ‘สิ่งทั้งปวงไม่มี’ นี้ เป็นโลกายตะข้อที่ ๒
ท่านพระโคดม สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันหรือ
พราหมณ์ ข้อที่ว่า ‘สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน’ นี้ เป็นโลกายตะข้อที่ ๓
ท่านพระโคดม ก็สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันหรือ
พราหมณ์ ข้อที่ว่า ‘สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกัน’ นี้ เป็นโลกายตะข้อที่ ๔
ตถาคตไม่เข้าไปใกล้ที่สุด ๒ อย่างนั้น
ย่อมแสดงธรรมโดยสายกลางว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วยประการฉะนี้
อนึ่ง
เพราะอวิชชาดับไปไม่เหลือด้วย วิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วยประการฉะนี้
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ‘ท่านพระโคดม พระภาษิตของพระองค์ชัดเจน ไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดม พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ ผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต’
โลกายติกสูตรที่ ๘ จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คัมภีร์โลกายตะ หมายถึงคัมภีร์ ที่ว่าด้วยศิลปะแห่งการเอาชนะผู้อื่น โดยการอ้างทฤษฎี และประเพณี ทางสังคม
มาหักล้างสัจธรรม มุ่งแสดงให้เห็นว่าตนฉลาดกว่า มิได้มุ่งสัจธรรม แต่อย่างใด
(ที.สี.อ. ๒๕๖/๒๒๓,สํ.นิ.อ. ๒/๔๘/๘๖)
|