เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  สัมปสาทนียสูตร พระสารีบุตรชื่นชมพระศาสดา ว่าไม่มีใครเหนือว่า ทรงแย้งว่าเธอมีญาณหยั่งรู้หรือ 668
 
  (เนื้อหาพอสังเขป)

พระสารีบุตรกราบทูลฯว่า ข้าพระองค์เลื่อมใส ในพระผู้มีพระภาค อย่างนี้ว่า ทั้งอดีต อนาคต และ ปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่จะมีความรู้ ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทา พระสัมโพธิญาณ

พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า สารีบุตร เธอกล่าว อาสภิวาจา นี้ประเสริฐแท้ เธอบันลือสีหนาท โดยคิดเอาเองหรือ เธอมีญาณ หยังรู้ หรือว่าพระพุทธเจ้าในอดีตและอนาคต จะมีพระปัญญา อย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้  จึงกล่าวเช่นนั้น

สา. ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า

ก็เธอไม่มีเจโตปริยญาณ ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีในอดีต อนาคต และปัจจุบันเหล่านั้น เหตุไฉน เธอจึงหาญกล่าว อาสภิวาจาอันประเสริฐนี้

จากนั้น พระสารีบุตร ได้แจงเหตุผลโดยแยบคาย แสดงถึงภูมิปัญญาอันเป็นเลิศ ว่าทำไมจึงกล่าว อาสภิวาจา เช่นนั้น

แต่ข้าพระองค์ก็ทราบอาการ ที่เป็นแนวของธรรมได้ เปรียบคนยามเฝ้าประตูเมือง นั้นเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก ยอมให้แต่คนที่รู้จักเข้าไป คอยตรวจดูทางแนว กำแพงรอบๆ โดยที่สุดแม้พอแมวลอดออกมาได้ ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้ ฉันนั้น

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอดีตทั้งสิ้น
....ทรงละนิวรณ์ ๕ ตั้งมั่นสติปัฏฐาน ๔ เจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริงจึงได้ตรัสรู้พระอนุตร สัมมาสัมโพธิญาณ
....ทรงแสดงธรรมในฝ่ายกุศลธรรม คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗
....ทรงแสดงธรรมใน อริยมรรคด้วยองค์ ๘ ทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะสิ้นไป
....ทรงแสดงธรรมในฝ่ายอายตนะ ภายใน และภายนอก อย่างละ ๖ เหล่านี้
....ทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔
ฯลฯ
 
 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๖



๕. สัมปสาทนียสูตร (๒๘)


          [๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี เขตเมือง นาลันทา ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใส ในพระผู้มีพระภาค อย่างนี้ว่า ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่จะมี ความรู้ ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทาง พระสัมโพธิญาณ ฯ

          พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร เธอกล่าว อาสภิวาจา นี้ประเสริฐแท้ เธอบันลือสีหนาท ซึ่งเธอถือเอาโดยเฉพาะว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์ เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันไม่มีสมณะ หรือพราหมณ์อื่น ที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาค ในทางพระสัมโพธิญาณ

          [๗๔] ดูกรสารีบุตร เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมด ซึ่งได้มีแล้วในอดีต ว่าพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ได้มีศีล อย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ

          สา. ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า

          ดูกรสารีบุตร ก็เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมม สัมพุทธเจ้า ทั้งหมด ซึ่งจักมีในอนาคต ว่า พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จักมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ

          ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า

          ดูกรสารีบุตร ก็เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้เราผู้เป็น พระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า อยู่ ณ บัดนี้ว่า พระผู้มีพระภาคมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญา อย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้มีวิมุตติอย่างนี้ ได้ละหรือ

          ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า

          ดูกรสารีบุตร ก็เธอไม่มีเจโตปริยญาณ ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มี ในอดีต อนาคต และปัจจุบันเหล่านั้น เหตุไฉน เธอจึงหาญกล่าวอาสภิวาจาอัน ประเสริฐนี้ บันลือสีหนาท ซึ่งเธอถือเอาโดยเฉพาะว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใส ในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มี สมณะ หรือ พราหมณ์อื่น ที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาค ในทางพระสัมโพธิญาณ

(จากนั้น พระสารีบุตร ได้แจงเหตุผลโดยแยบคาย แสดงถึงภูมิปัญญาอันเป็นเลิศ ว่าทำไมจึงกล่าว อาสภิวาจา เช่นนั้น)

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงว่าข้าพระองค์จะไม่มีเจโตปริยญาณในพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีในอดีต อนาคต และปัจจุบันก็จริง แต่ข้าพระองค์ก็ทราบ อาการ ที่เป็นแนวของธรรมได้ เปรียบเหมือนเมืองชายแดนของพระราชา มีป้อม แน่นหนา มีกำแพง และเชิงเทินมั่นคงมีประตูๆเดียว คนยามเฝ้าประตู ที่เมือง นั้นเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก ยอมให้ แต่คน ที่รู้จักเข้าไป เขาเที่ยว ตรวจดูทางแนวกำแพงรอบๆ เมืองนั้นไม่เห็นที่ต่อหรือ ช่องกำแพง โดยที่สุดแม้พอแมว ลอดออกมาได้ จึงคิดว่าสัตว์ที่มีร่างใหญ่ จะเข้ามา สู่เมืองนี้ หรือจะออกไป สัตว์ทั้งหมดสิ้น จะต้องเข้าออกทางประตูนี้เท่านั้น ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ก็ทราบอาการที่เป็นแนวของธรรมได้ ฉันนั้น

          พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มีแล้วในอดีตทั้งสิ้นล้วนทรงละ นิวรณ์  ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา ล้วนมีพระมนัสตั้งมั่นแล้วใน สติปัฏฐาน ๔ เจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง จึงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิ ญาณ แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมี ในอนาคตทั้งสิ้น ก็จักต้อง ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา จักมีพระมนัส ตั้งมั่น แล้ว ในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง จึงจะได้  ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

          ถึงแม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ บัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา มี พระมนัสตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญสัมโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง จึงได้ ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าพระองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ เพื่อฟังธรรม พระองค์ทรงแสดง ธรรมอย่างยอดเยี่ยม ประณีตยิ่งนักทั้งฝ่ายดำ ฝ่ายขาว พร้อมด้วยอุปมาแก่ข้าพระองค์ พระองค์ทรงแสดงธรรมอย่างยอดเยี่ยมประณีตยิ่งนัก ทั้งฝ่ายดำฝ่ายขาว พร้อมด้วย อุปมาด้วยประการใดๆ ข้าพระองค์ก็รู้  ยิ่งในธรรมนั้นด้วยประการนั้นๆ ได้ถึงความ สำเร็จธรรมบางส่วนในธรรมทั้งหลายแล้ว จึงเลื่อมใสในพระองค์ว่า พระผู้มีพระภาค เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว
.................................................................................................................

          [๗๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งได้แก่กุศลธรรม  เหล่านี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยมในกุศลธรรมทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ย่อมทรงรู้ยิ่ง ธรรมข้อนั้นได้หมดสิ้น เมื่อทรงรู้ยิ่งธรรมข้อนั้นได้หมดสิ้น ก็ไม่มีธรรม ข้ออื่น ที่จะทรงรู้ ยิ่งขึ้นไป ซึ่งสมณะหรือพราหมณ์อื่นรู้ยิ่งแล้วจะมีความรู้ยิ่งไปกว่า พระองค์ในฝ่าย กุศลธรรม ทั้งหลาย
.................................................................................................................

          [๗๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในฝ่ายบัญญัติอายตนะ อันได้แก่อายตนะ ภายใน และอายตนะภายนอกอย่างละ ๖ เหล่านี้ คือ จักษุกับรูป โสตกับเสียง ฆานะ กับกลิ่น ชิวหากับรส กายกับโผฏฐัพพะมนะกับธรรมารมณ์ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในฝ่าย บัญญัติอายตนะ พระผู้มีพระภาคย่อมทรงรู้ยิ่งธรรมข้อนั้นได้หมดสิ้น เมื่อทรงรู้ยิ่งธรรม ข้อนั้นได้หมดสิ้น ก็ไม่มีธรรมข้ออื่นที่จะทรงรู้ยิ่งขึ้นไปซึ่งสมณะ หรือพราหมณ์อื่น รู้ยิ่งแล้วจะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระองค์ ในฝ่ายบัญญัติอายตนะ
.................................................................................................................

          [๗๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มี พระภาค ทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้ คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑

ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่างเดียว แต่ ไม่รู้สึกตัว อยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๒        

ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา แต่ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดานี้ เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๓    

ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๔      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์
.................................................................................................................

          [๗๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มี พระภาคทรง แสดงธรรม ในวิธีแห่งการดักใจคน วิธีแห่งการดักใจคน ๔ อย่าง เหล่านี้ คือ คนบางคนในโลกนี้ ดักใจได้ด้วยนิมิตว่า ใจของท่านอย่างนี้ ใจของท่าน  เป็นอย่างนี้จิตของท่าน เป็นดังนี้ เขาดักใจได้มากอย่างทีเดียวว่า เรื่องนั้นต้องเป็น  เหมือนอย่างนั้นแน่นอน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี้วิธีแห่งการดักใจคนข้อที่ ๑
.................................................................................................................

ยังอีกข้อหนึ่ง บางคนในโลกนี้ มิได้ดักใจได้ด้วยนิมิต ต่อได้ฟังเสียงของมนุษย์ หรือ อมนุษย์ หรือเทวดาทั้งหลายแล้ว จึงดักใจได้ว่า ใจของท่าน อย่างนี้ ใจของท่าน เป็นอย่างนี้จิตของท่าน เป็นดังนี้ เขาดักใจได้มากอย่างทีเดียว ว่า เรื่องนั้นต้องเป็น เหมือนอย่างนั้นแน่นอน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี้วิธีแห่งการ ดักใจคนข้อที่ ๒
.................................................................................................................

ยังอีกข้อหนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ มิได้ดักใจได้ด้วยนิมิต ทั้งมิได้ฟังเสียงของ มนุษย์ หรืออมนุษย์หรือเทวดาทั้งหลาย ดักใจได้เลย ต่อได้ฟังเสียงละเมอ ของผู้วิตก วิจารจึงดักใจได้ว่า ใจของท่านอย่างนี้ ใจของท่านเป็นอย่างนี้ จิตของท่านเป็นดังนี้ เขาดักใจได้มากอย่างทีเดียวว่า เรื่องนั้นต้องเป็นเหมือนอย่างนั้น แน่นอน  เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี้วิธีแห่งการดักใจคนข้อที่ ๓
.................................................................................................................

ยังอีกข้อหนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ มิได้ดักใจได้ด้วยนิมิต มิได้ฟังเสียง ของมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือเทวดาทั้งหลาย ดักใจได้เลย ทั้งมิได้ฟังเสียงละเมอของ ผู้วิตกวิจาร ดักใจได้เลย แต่ย่อมกำหนดรู้ใจของผู้ได้สมาธิซึ่งยังมีวิตกวิจารด้วยใจได้ว่า มโน สังขารของท่านผู้นี้ ตั้งอยู่ด้วยประการใด เขาจะต้องตรึกถึงวิตกชื่อนี้ ในลำดับจิต
ขณะนี้ ด้วยประการนั้น เขาดักใจได้มากอย่างทีเดียวว่า เรื่องนั้นต้อง เป็นเหมือน อย่างนั้นแน่นอน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี้วิธีแห่งการดักใจคนข้อที่ ๔ ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในวิธีแห่งการดักใจคน
.................................................................................................................

          [๗๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาคทรง แสดงธรรมในทัศนสมาบัติ ทัศนสมาบัติ ๔ อย่างเหล่านี้ คือ
สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียร ที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบแล้ว ได้บรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมพิจารณา กายนี้แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังห่อหุ้มโดยรอบ เต็มไปด้วย ของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ  เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืดไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อมันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร นี้ทัศนสมาบัติ ข้อที่ ๑
.................................................................................................................

ยังอีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย มนสิการโดยชอบแล้ว ได้บรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วย่อมพิจารณากาย นี้แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไปแต่ปลายผมลงมา มีหนังห่อหุ้มโดย รอบ เต็มไปด้วยของ ไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน   เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลด น้ำเหลืองเลือด     เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เธอพิจารณาเห็น กระดูกก้าวล่วงผิวหนังเนื้อ และเลือดของบุรุษเสีย นี้ทัศนสมาบัติข้อที่ ๒
.................................................................................................................

ยังอีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย มนสิการ โดยชอบแล้ว ได้บรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว  ย่อมพิจารณากายนี้ แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังห่อหุ้มโดยรอบเต็มไปด้วยของ ไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้ามหัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลด น้ำเหลืองเลือด เหงื่อ มันข้น   น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เธอพิจารณาเห็นกระดูกก้าวล่วง   ผิวหนังเนื้อและเลือดของบุรุษเสีย และย่อมรู้ กระแสวิญญาณของบุรุษ ซึ่งขาดแล้วโดยส่วนสอง คือทั้งที่ตั้งอยู่ในโลกนี้ ทั้งที่ตั้งอยู่ในปรโลกได้ นี้ทัศนสมาบัติ ข้อที่ ๓
.................................................................................................................

ยังอีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียร เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย มนสิการโดยชอบ แล้วได้บรรลุเจโตสมาธิที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้ แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังห่อหุ้มโดยรอบ เต็มไปด้วยของ ไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ  ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้ามหัวใจ ตับ พังผืด ไต  ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลดน้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เธอย่อมพิจารณา เห็นกระดูก ก้าวล่วง ผิวหนังเนื้อและเลือดของบุรุษเสีย และย่อมรู้กระแสวิญญาณของบุรุษ ซึ่งขาดแล้ว โดยส่วนสอง คือทั้งที่ไม่ตั้งอยู่ ในโลกนี้ ทั้งที่ไม่ตั้งอยู่ใน  ปรโลก นี้ทัศนสมาบัติข้อที่ ๔ ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยมในทัศนสมาบัติ
.................................................................................................................

          [๘๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในฝ่ายบุคคลบัญญัติ บุคคล ๗ พวกเหล่านี้ คือ อุภโตภาควิมุตติ ๑ ปัญญาวิมุตติ ๑ กายสักขิ ๑ ทิฏฐิปัตตะ ๑ สัทธาวิมุตติ ๑ ธรรมานุสารี ๑ สัทธานุสารี ๑ ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่ายบุคคลบัญญัติ
.................................................................................................................

          [๘๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในฝ่ายธรรม เป็นที่ตั้งมั่น โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ คือ สติสัมโพชฌงค์ ๑ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ๑ วิริยสัมโพชฌงค์ ๑ ปีติ  สัมโพชฌงค์ ๑ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ๑สมาธิสัมโพชฌงค์ ๑ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยมในฝ่ายธรรมที่ตั้งมั่น

.................................................................................................................
          [๘๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือ  พระผู้มีพระภาค
๒. ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิปทาที่ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว ฯ
๓. สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิปทาที่ปฏิบัติได้สะดวก แต่รู้ได้ช้า ฯ
๔. สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิปทาที่ปฏิบัติได้สะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในปฏิปทา ๔ นั้น ปฏิปทาที่ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า นี้ นับว่าเป็นปฏิปทาที่ทราม เพราะประการทั้งสอง คือ เพราะปฏิบัติลำบากและเพราะรู้ได้ช้า อนึ่งปฏิปทาที่ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็วนี้ นับว่าเป็นปฏิปทาที่ทราม  เพราะปฏิบัติลำบาก ปฏิปทาที่ปฏิบัติได้สะดวกแต่รู้ได้ช้านี้ นับว่าเป็นปฏิปทาที่ทราม  เพราะรู้ได้ช้า ส่วนปฏิปทา ที่ปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็วนี้ นับว่าเป็นปฏิปทาประณีต เพราะประการทั้งสอง คือ เพราะปฏิบัติสะดวก และเพราะรู้ได้เร็ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยมในฝ่ายปฏิปทา
.................................................................................................................

          [๘๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในฝ่ายภัสสสมาจาร (มรรยาทเกี่ยวด้วยคำพูด) คนบางคนในโลกนี้ ไม่กล่าววาจาเกี่ยวด้วยมุสาวาท ไม่กล่าววาจาส่อเสียด อันทำ ความแตกร้าวกัน ไม่กล่าววาจาอันเกิดแต่ความแข่งดีกัน ไม่มุ่งความชนะ กล่าวแต่วาจา ซึ่งไตร่ตรองด้วยปัญญา อันควรฝังไว้ในใจตามกาลอันควร ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ นี้เป็นข้อธรรมที่เยี่ยมในฝ่ายภัสสสมาจาร
.................................................................................................................

          [๘๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในฝ่ายศีลสมาจารของบุรุษ คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีสัจจะ มีศรัทธา ไม่เป็นคนพูดหลอกลวง ไม่พูดเลียบเคียง ไม่พูดหว่านล้อม ไม่พูดและเล็ม ไม่แสวงหาลาภด้วยลาภ เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ทำความสม่ำเสมอประกอบ ชาคริยานุโยค ไม่เกียจคร้าน ปรารภความเพียร เพ่งฌาน มีสติ พูดดี และมีปฏิภาณมีคติ มี ปัญญาทรงจำ มีความรู้ ไม่ติดอยู่ในกาม มีสติ มีปัญญารักษาตน เที่ยวไป ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยมในฝ่ายศีลสมาจารของบุรุษ
.................................................................................................................

          [๘๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมในฝ่ายอนุสาสนวิธี อนุสาสนวิธี ๔ อย่างเหล่านี้ คือทรงแสดงธรรมในฝ่ายปฏิปทา ปฏิปทา ๔ เหล่านี้ คือ

     ๑. ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิปทาที่ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า ฯ  ๑. พระผู้มีพระภาค ย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ  พระองค์ว่าบุคคลนี้เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป

     ๒. พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะพระองค์ ว่าบุคคลนี้ เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักเป็นพระสกทาคามี จักมาสู่โลกนี้อีกคราวเดียว เท่านั้นแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และ  เพราะราคะโทสะและ โมหะเบาบาง

     ๓. พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ  พระองค์ว่าบุคคลนี้ เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักเป็นพระอนาคามีผู้เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น ไม่ต้องกลับมาจากโลกนั้น เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป

     ๔. พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะพระองค์ ว่า บุคคลนี้เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักได้บรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะ มิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไป จักทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง  ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยมในฝ่ายอนุสาสนวิธี
.................................................................................................................

          [๘๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มี พระภาค ทรงแสดงธรรม ในฝ่ายวิมุตติญาณของบุคคลอื่น คือ

     ๑. พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ พระองค์ ว่าบุคคลนี้ จักเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอัน จะตรัสรู้ ในเบื้องหน้า เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป

     ๒. พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ พระองค์ ว่าบุคคลนี้ จักเป็นพระสกทาคามี จักมาสู่โลกนี้อีกคราวเดียวเท่านั้นแล้ว จักทำที่สุด แห่งทุกข์เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และเพราะราคะโทสะและโมหะเบาบาง ฯ

     ๓.
พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ  พระองค์ ว่าบุคคลนี้ จักเป็นพระอานาคามี ผู้อุปปาติกะปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น ไม่ ต้องกลับมาจากโลกนั้น เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป

     . พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะพระองค์ ว่าบุคคลนี้ จักได้บรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป จักทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่ายวิมุตติญาณของบุคคลอื่น
.................................................................................................................

          [๘๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มี พระภาค ทรงแสดงธรรมใน ฝ่ายสัสสตวาทะ สัสสตวาทะ ๓ เหล่านี้ คือ สมณะหรือ พราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียร ที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบแล้ว บรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน ได้หลายประการ คือตามระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติบ้างว่า ในภพ โน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

          ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุ เพียงเท่านั้น

          ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาบังเกิดในภพนี้ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัย อยู่ใน กาลก่อน ได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ

          ด้วยประการฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้กาลที่เป็นอดีตได้ว่า โลกพินาศแล้ว หรือเจริญขึ้นแล้ว อนึ่ง ข้าพเจ้ารู้กาลที่เป็นอนาคตได้ว่า โลกจัก พินาศ หรือ จักเจริญขึ้น อัตตา และ โลกเที่ยง คงที่ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่น ดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้ นี้เป็นสัสสตวาทะข้อที่ ๑
.................................................................................................................

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังอีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียร เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ  เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกขันธ์ ที่เคยอาศัย อยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ  คือตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ สังวัฏกัป วิวัฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้างว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตร อย่างนั้น  มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนด อายุเพียงเท่านั้น

          ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคย อาศัยอยู่ ในกาลก่อนได้ หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้กาล ที่เป็นอดีตได้ว่า โลกพินาศแล้ว หรือเจริญขึ้น แล้ว อนึ่ง ข้าพเจ้ารู้กาลที่เป็นอนาคตได้ว่า โลกจักพินาศ หรือจักเจริญขึ้น อัตตา และ โลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้ นี้เป็นสัสสตวาทะข้อที่ ๒
.................................................................................................................

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังอีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียร เครื่องเผา กิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ เนืองๆ  อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการ โดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัย อยู่ในกาลก่อน หลายประการ คือตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏกัปวิวัฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้างว่า ในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ อย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุ เพียงเท่านั้น

          ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ใน กาลก่อน ได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เขา กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้กาล ที่เป็นอดีตได้ว่า โลกพินาศแล้ว หรือเจริญขึ้นแล้ว     

          อนึ่ง ข้าพเจ้ารู้กาลที่เป็นอนาคตได้ว่า โลกจักพินาศ หรือจักเจริญขึ้น อัตตา และ โลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมเที่ยวไปย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้ นี้เป็นสัสสตวาทะข้อที่ ๓ ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยมในฝ่าย สัสสตวาทะ
.................................................................................................................

          [๘๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มี พระภาค ทรงแสดงธรรม ในฝ่ายบุพเพนิวาสานุสติญาณ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมณะ หรือ พราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัย ความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียร ที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความ ไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้ว บรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ ในกาล ก่อนได้หลายประการ คือตามระลึกได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติ บ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัป บ้าง หลายวิวัฏกัปบ้าง หลายสังวัฎวิวัฏกัป บ้างว่า ในภพโน้น เราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

          ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มี   อาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

          ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัย อยู่ในกาลก่อน ได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์ทั้งหลายที่มีชาติอันไม่อาจนับได้ ด้วยวิธีคำนวณ หรือ วิธีนับ ก็ยังมีอยู่ แม้ภพซึ่งเป็นที่ๆ เขาเคยอาศัยอยู่ คือ รูปภพ อรูปภพ  สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญี นาสัญญีภพ [ที่ไม่อาจนับได้] ก็ยังมี ย่อมตามระลึก ถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่าย บุพเพนิวาสานุสติญาณ
.................................................................................................................

          [๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือ  พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรม ในฝ่ายรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่อง เผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท  อาศัยมนสิการโดยชอบแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว เขาย่อมเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ว่า

          สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

          ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วย กายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้

          เขาย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกตาย ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไป ตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรม ที่เยี่ยม ในฝ่ายรู้จุติ และอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย
.................................................................................................................

          [๙๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรม ในฝ่ายอิทธิวิธี อิทธิวิธี ๒ อย่างเหล่านี้ คือ

    
๑. ฤทธิ์ที่ประกอบด้วยอาสวะ ประกอบด้วยอุปธิ ไม่เรียกว่าเป็นของ พระอริยะ มีอยู่

     ๒. ฤทธิ์ที่ปราศจากอาสวะ ปราศจากอุปธิ เรียกว่าเป็นของพระอริยะ มีอยู่ ฯ
๑. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤทธิ์ที่ประกอบด้วยอาสวะ ประกอบด้วยอุปธิ ที่ไม่เรียกว่า เป็นของพระอริยะนั้นเป็นไฉน คือสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียร เครื่องเผากิเลส อาศัย ความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาทอาศัยมนสิการโดยชอบแล้ว บรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว เขาได้บรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคน ก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฎก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดิน เหมือนในน้ำ ก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือน เดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศ เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจ ทางกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ฤทธิ์ที่ประกอบด้วยอาสวะ ประกอบด้วยอุปธิ ไม่เรียกว่าเป็นของ พระอริยะ

          ๒. ส่วนฤทธิ์ที่ปราศจากอาสวะ ปราศจากอุปธิ ที่เรียกว่าเป็นของ พระอริยะ นั้นเป็นไฉน คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้

ถ้าหวังอยู่ว่า เราพึงมีสัญญาในสิ่งปฏิกูล ว่าไม่ปฏิกูลอยู่ ก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญา ในสิ่งปฏิกูลนั้นว่า ไม่ปฏิกูลอยู่

ถ้าหวังอยู่ว่า เราพึงมีสัญญาในสิ่งไม่ปฏิกูลว่า เป็นสิ่งปฏิกูลอยู่ ก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญา ในสิ่งไม่ ปฏิกูลนั้นว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่ ถ้าหวังอยู่ว่า เราพึงมีสัญญาในสิ่งทั้งที่ปฏิกูล และไม่ปฏิกูล ว่าไม่ปฏิกูลอยู่ ก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญาในสิ่งทั้งที่ปฏิกูล และไม่ปฏิกูลนั้นว่า ไม่ปฏิกูลอยู่

ถ้าหวังอยู่ว่า เราพึงมีสัญญาในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่ ก็ย่อมเป็นผู้มีสัญญา ในสิ่งทั้งที่ปฏิกูลและไม่ปฏิกูลนั้นว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่

ถ้าหวังอยู่ว่า เราพึงละวางสิ่งที่เป็นปฏิกูล และไม่เป็นปฏิกูลทั้ง ๒ นั้นเสีย แล้ววางเฉย มีสติ สัมปชัญญะ ก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งนั้นที่เป็นปฏิกูล และไม่เป็น ปฏิกูลนั้นเสีย มีสติสัมปชัญญะอยู่ นี้ฤทธิ์ที่ปราศจากอาสวะ ปราศจากอุปธิ ที่เรียกว่าเป็นของพระอริยะ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นข้อธรรมที่เยี่ยมในฝ่ายอิทธิวิธี พระผู้มีพระภาค ย่อมทรงรู้ ข้อธรรมนั้น ได้ทั้งสิ้น เมื่อทรงรู้ข้อธรรมนั้นได้ทั้งสิ้น ก็ไม่มีข้อธรรมอื่น ที่จะต้องทรงรู้ ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ซึ่งไม่มีสมณะ หรือพราหมณ์อื่นที่รู้ยิ่งแล้ว จะมีความรู้ ยิ่งขึ้นไปกว่า พระองค์ในฝ่ายอิทธิวิธี

          [๙๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งใดอันกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารภความเพียร มีความเพียรมั่น จะพึงถึง ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ ด้วยความเอาธุระของบุรุษ สิ่งนั้นอันพระผู้มีพระภาค ได้บรรลุเต็มที่แล้ว

          อนึ่ง พระผู้มีพระภาคไม่ทรงประกอบความพัวพัน ด้วยความสุขในกาม ซึ่งเป็น ของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วย ประโยชน์ และไม่ทรงประกอบการทำตนให้ลำบาก เป็นทุกข์ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

          อนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงได้ฌาน ๔ อันล่วงกามาวจรจิตเสีย ให้อยู่สบายใน ปัจจุบัน ได้ตามประสงค์ ได้ไม่ยาก ไม่ลำบากถ้าเขาถามข้าพระองค์อย่างนี้ว่า
.................................................................................................................

          ดูกรท่านสารีบุตร สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่ ได้มีในอดีต ท่านที่มีความรู้ เยี่ยม ยิ่งกว่า พระผู้มีพระภาค ในสัมโพธิญาณมีไหม เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่าไม่มี

ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่จักมีในอนาคต ท่านที่มีความรู้เยี่ยม ยิ่งกว่า พระผู้มีพระภาค ในสัมโพธิญาณจักมีไหม เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่า ไม่มี

ถ้าเขาถามว่า สมณะ  หรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านที่มีความรู้เสมอ เท่ากับพระผู้มีพระภาคในสัมโพธิญาณมีอยู่ไหม เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์ก็พึงตอบว่าไม่มี

ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่ได้มีในอดีต ท่านที่มีความรู้เสมอเท่ากับ พระผู้มีพระภาคในสัมโพธิญาณมีไหม เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่ามีอยู่

ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่จักมีในอนาคต ท่านที่มีความรู้เสมอ เท่ากับพระผู้มีพระภาค ในสัมโพธิญาณจักมีไหม เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่ามีอยู่

ถ้าเขาถามว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านที่มีความรู้เสมอ เท่ากับ พระผู้มีพระภาค ในสัมโพธิญาณมีไหม เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบว่าไม่มี

ก็ถ้าเขาถาม ข้าพระองค์ว่า เหตุไรท่านจึงตอบรับเป็นบางอย่าง ปฏิเสธเป็นบางอย่าง

เมื่อเขาถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงตอบเขาว่านี่แน่ท่าน ข้อนี้ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะ พระพักตร์ ได้รับเรียนมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคว่า พระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต เป็นผู้มีความรู้ เสมอเท่ากับเราในสัมโพธิญาณ
ข้อนี้ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะพระพักตร์ ได้รับเรียนมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี พระภาคว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีความรู้เสมอ เท่ากับเราในสัมโพธิญาณ ข้อนี้ข้าพเจ้าได้สดับมา เฉพาะพระพักตร์ ได้รับเรียนมา เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคว่า ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ จะเกิดพร้อมกัน ในโลกธาตุเดียวกันนั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส นั่นเป็นฐานะ ที่จะมีไม่ได้ ฯ

          [๙๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ถูกเขาถามอย่างนี้ ตอบอย่างนี้ จะนับว่าเป็นผู้กล่าวตาม พระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วแล ไม่ชื่อว่า กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ด้วยคำไม่จริงแลหรือ ชื่อว่าแก้ไปตามธรรมสมควรแก่ ธรรมแลหรือ ทั้งการโต้ตอบอันมีเหตุอย่างไรๆ มิได้มาถึงสถานะ อันควรติเตียน แลหรือ ฯ ถูกแล้วสารีบุตร เมื่อเธอถูกเขาถามอย่างนี้ แก้อย่างนี้นับว่าเป็นผู้กล่าวตาม พุทธพจน์ที่เรากล่าวแล้วทีเดียว ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง ชื่อว่าแก้ไป ตามธรรมสมควร แก่ธรรม ทั้งการโต้ตอบอันมีเหตุอย่างไรๆ ก็มิได้มาถึงสถานะ อันควรติเตียน ฯ

          [๙๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา มีอยู่แก่พระตถาคต ผู้ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่ทรงแสดง พระองค์ให้ปรากฎ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชก ได้เห็น ธรรมแม้สักข้อหนึ่งจากธรรม ของพระองค์นี้ในตนแล้ว พวกเขาจะต้องยกธง เที่ยวประกาศ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา มีอยู่แก่พระตถาคต ผู้ทรงมีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก อย่างนี้ แต่ไม่ทรงแสดงพระองค์ ให้ปรากฏ

          ดูกรอุทายี เธอจงดูความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลาของตถาคต ผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก อย่างนี้ แต่ไม่แสดงตนให้ปรากฏ เพราะเหตุนั้น ถ้าพวก อัญญเดียรถีย์ ปริพาชก ได้เห็นธรรมแม้สัก ข้อหนึ่งจากธรรมของเรานี้ในตนแล้ว พวกเขาจะต้องยกธงเที่ยวประกาศ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น

          ดูกรอุทายี เธอจงดูความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลาของตถาคต ผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มากอย่างนี้ แต่ไม่แสดงตนให้ปรากฏ ฯ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า เพราะเหตุนั้นแล  

          สารีบุตรเธอพึงกล่าวธรรมปริยายนี้เนืองๆ แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ดูกรสารีบุตรความสงสัย หรือความเคลือบแคลงในตถาคต ซึ่งจักยังมีอยู่บ้างแก่โมฆบุรุษทั้งหลาย พวกเขาจักละเสียได้ เพราะได้ฟังธรรมปริยาย นี้ ฯ ท่านพระสารีบุตร ได้ประกาศความเลื่อมใส ของตนนี้ เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น คำไวยากรณ์นี้ จึงมีชื่อว่า  "สัมปสาทนียะ" ดังนี้แล

จบ สัมปสาทนียสูตร ที่ ๕

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์