เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 ผู้สิ้นความสงสัย (พระโสดาบัน) ในกรณีของความเห็นที่เป็นไปในลักษณะขาดสูญ 663
 
  (เนื้อหาพอสังเขป)

สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.. เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออะไรมีอยู่หนอ เพราะเข้าไปยึดถือซึ่งอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ไม่มีทาน อันบุคคลบริจาคแล้ว ไม่มีผลวิบากแห่งกรรม อันบุคคลกระทำดีแล้ว กระทำชั่วแล้ว ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกอื่น ไม่มีมารดาไม่มีบิดาไม่มีสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นโอปปาติก

คนเรานี้ เป็นแต่การประชุมของมหาภูตทั้งสี่ เมื่อใดทำกาละ เมื่อนั้นดินย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งดิน น้ำย่อม เข้าไปสู่หมู่แห่งน้ำ ไฟย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งไฟ ลมย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งลม อินทรีย์ ทั้งหลาย ย่อมหายไป ในอากาศ บุรุษทั้งหลายมีเตียงวางศพเป็นที่ครบห้า จะพาเขาผู้ตายแล้วไป ร่องรอย ทั้งหลาย ปรากฏ อยู่เพียงแค่ป่าช้า เป็นเพียงกระดูกทั้งหลาย มีสีเพียงดังสีแห่ง นกพิราบ

แม้สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งสิ่งนั้นแล้ว ทิฏฐิอย่างนี้ จะเกิดขึ้นได้ไหมว่า “ไม่มีทานอันบุคคลบริจาคแล้ว ไม่มียัญญะอันบุคคลประกอบแล้ว ไม่มี โหตระ อันบุคคลบูชาแล้ว, ไม่มีผล วิบากแห่งกรรม อันบุคคลกระทำดีแล้วกระทำชั่วแล้ว ...ฯลฯ

ในกาลใดแล ความสงสัย(กังขา) ในฐานะทั้งหลาย ๖ ประการเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อริยสาวก ละขาด แล้ว ในกาลนั้น ก็เป็นอันว่าความสงสัย แม้ในทุกข์ แม้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ แม้ในความดับ ไม่เหลือ แห่งทุกข์ แม้ในข้อปฏิบัติเครื่อง ทำสัตว์ ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ก็เป็นสิ่งที่ อริยสาวกนั้น ละขาดแล้ว.


 
 
 


พุทธวจน - โสดาบัน (หน้า 99) ข้อที่20

ผู้สิ้นความสงสัย (พระโสดาบัน) ในกรณีของความเห็นที่เป็นไปในลักษณะขาดสูญ

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออะไรมีอยู่หนอ เพราะเข้าไปยึดถือซึ่งอะไร เพราะปักใจเข้าไป สู่อะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า
ไม่มีทาน อันบุคคลบริจาคแล้ว
ไม่มียัญญะ(การบวงสรวง บูชา) อันบุคคล ประกอบแล้ว
ไม่มีโหตระ อันบุคคลบูชาแล้ว
ไม่มีผลวิบากแห่งกรรม อันบุคคลกระทำดีแล้ว กระทำชั่วแล้ว
ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกอื่น ไม่มีมารดา
ไม่มีบิดาไม่มีสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นโอปปาติกะ ไม่มีสมณะและพราหมณ์ผู้ไปแล้วถูกต้อง ผู้ปฏิบัติแล้วถูกต้อง
ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศอยู่ในโลก

คนเรานี้ เป็นแต่การประชุมของมหาภูตทั้งสี่ เมื่อใดทำกาละ มื่อนั้นดินย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งดิน น้ำย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งน้ำ ไฟย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งไฟ ลมย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมหายไปในอากาศ

บุรุษทั้งหลายมีเตียงวางศพเป็นที่ครบห้า จะพาเขาผู้ตายแล้วไป ร่องรอย ทั้งหลาย ปรากฏอยู่เพียงแค่ป่าช้า เป็นเพียงกระดูกทั้งหลาย มีสีเพียงดังสีแห่ง นกพิราบ

การบูชาเซ่นสรวงมีขี้เถ้าเป็นที่สุด สิ่งที่เรียกว่าทานนั้น เป็นบทบัญญัติของ คนเขลา คำของพวกที่กล่าว ว่าอะไรๆ มีอยู่นั้น เป็นคำเปล่า (จากความหมาย) เป็นคำเท็จ เป็นคำเพ้อเจ้อ ทั้งคนพาลและบัณฑิต ครั้นกายแตก ทำลายแล้ว ย่อมขาดสูญพินาศ ไปมิได้มีอยู่ ภายหลังแต่การตาย” ดังนี้ ?

ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลวิงวอนว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมทั้งหลาย ของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มี พระภาคเป็นมูลมีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มี พระภาคเป็นที่พึ่ง.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เป็นการชอบแล้วหนอขอให้อรรถแห่งภาษิตนั้น จงแจ่มแจ้ง กะพระผู้มีพระภาคเจ้าเองเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาค แล้วจักทรงจำ ไว้” ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเตือนให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งใจฟังด้วยดี แล้ว ได้ตรัสข้อความดัง ต่อไปนี้

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อ รูปนั่นแล มีอยู่ เพราะเข้าไปยึดถือซึ่ง รูป เพราะปักใจ เข้าไปสู่รูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า “ไม่มีทานอันบุคคลบริจาคแล้ว ไม่มียัญญะ (การบวงสรวง บูชา) อันบุคคลประกอบแล้ว ไม่มีโหตระ อันบุคคล บูชาแล้วไม่มีผลวิบากแห่งกรรม อันบุคคลกระทำดีแล้ว กระทำชั่วแล้ว ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกอื่น ไม่มีมารดา ไม่มีบิดา
ไม่มีสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นโอปปาติกะ ไม่มีสมณะ และพราหมณ์ผู้ไปแล้วถูกต้อง ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศอยู่ในโลก

คนเรานี้ เป็นแต่การประชุมของมหาภูตทั้งสี่ มื่อใดทำกาละ เมื่อนั้นดินย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งดิน น้ำย่อมเข้าไปสู่ หมู่แห่งน้ำ ไฟย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งไฟ ลมย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมหายไปในอากาศ บุรุษทั้งหลายมีเตียงวางศพ เป็นที่ครบห้า จะพาเขาผู้ตายแล้วไป ร่องรอยทั้งหลายปรากฏอยู่เพียงแค่ป่าช้า เป็นเพียง กระดูกทั้งหลายมีสีเพียงดังสีแห่งนกพิราบ การบูชาเซ่นสรวงมีขี้เถ้า เป็นที่สุด

สิ่งที่เรียกว่าทานนั้น เป็นบทบัญญัติของคนเขลา คำของพวกที่กล่าวว่าอะไรๆ มีอยู่นั้น เป็นคำเปล่า (จากความหมาย)เป็นคำเท็จ เป็นคำเพ้อเจ้อ ทั้งคนพาลและ บัณฑิต ครั้นกายแตกทำลายแล้ว ย่อมขาดสูญ พินาศไป มิได้มีอยู่ภายหลังแต่ การตาย” ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร

รูป เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
“ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า !”

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?
“เป็นทุกข์พระเจ้าข้า !”

แม้สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ซึ่ง สิ่งนั้นแล้ว ทิฏฐิอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ไหมว่า ไม่มีทานอันบุคคลบริจาคแล้ว ไม่มียัญญะอันบุคคลประกอบแล้ว ไม่มี โหตระ อันบุคคลบูชาแล้ว, ไม่มีผล วิบากแห่งกรรม อันบุคคลกระทำดีแล้วกระทำชั่วแล้ว ...ฯลฯ...ฯลฯ...

คำของพวกที่กล่าวว่าอะไรๆ มีอยู่นั้นเป็นคำเปล่า (จากความหมาย) เป็นคำเท็จ เป็น คำเพ้อเจ้อ ทั้งคนพาลและบัณฑิต ครั้นกายแตกทำลายแล้ว ย่อมขาดสูญ พินาศไป มิได้มีอยู่ภายหลังแต่การตาย” ดังนี้ ?

“ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า !”

(ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีถ้อยคำที่ตรัสอย่างเดียวกันทุกตัว อักษรกับในกรณีแห่งรูปนี้ ต่างกันแต่เพียงชื่อแห่งขันธ์แต่ละขันธ์ เท่านั้น)

ภิกษุทั้งหลาย ! แม้สิ่งใดที่บุคคลได้เห็นแล้วฟังแล้ว รู้สึกแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว แสวงหาแล้วครุ่นคิด อยู่ด้วยใจแล้ว เหล่านี้เป็นของเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า !”

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?
“เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า !”

แม้สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นซึ่ง สิ่งนั้นแล้ว ทิฏฐิอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ไหมว่า “ไม่มีทานอันบุคคลบริจาคแล้ว ไม่มียัญญะ อันบุคคลประกอบแล้ว ไม่มีโหตระ อันบุคคลบูชาแล้ว ไม่มีผล วิบากแห่ง กรรม อันบุคคลกระทำดีแล้วกระทำชั่วแล้ว ...ฯลฯ

คำของพวกที่กล่าวว่าอะไรๆ มีอยู่นั้นเป็นคำเปล่า (จากความหมาย)เป็นคำเท็จ เป็น คำพ้อเจ้อ ทั้งคนพาลและบัณฑิต ครั้นกายแตกทำลายแล้ว ย่อมขาดสูญ พินาศไป มิได้มีอยู่ภายหลังแต่การตาย” ดังนี้ ?
“ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !”

ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใดแล ความสงสัย(กังขา) ในฐานะทั้งหลาย ๖ ประการเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อริยสาวก ละขาดแล้ว ในกาลนั้น ก็เป็นอันว่าความสงสัย แม้ในทุกข์ แม้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ แม้ในความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์ แม้ในข้อปฏิบัติเครื่อง ทำสัตว์ ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ก็เป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นละขาดแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกนี้ เราเรียกว่าเป็นอริยสาวกผู้เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ (ต่อนิพพาน) มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า ดังนี้ แล

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์