เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
อุทกสูตร บุคคล ๖ จำพวก.. 664
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

บุคคล ๖ จำพวก
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้ มีอยู่

บุคคลจำพวกที่ 1
สมัยต่อมา กุศลธรรมของบุคคลนี้แลหายไป อกุศลธรรม ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า กุศลมูลที่บุคคลนั้น ยังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอย่างอื่นของเขา จักปรากฏ ด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา

บุคคลจำพวกที่ 2
สมัยต่อมา อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรม ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัด ไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้น อกุศลอื่นของเขาจัก ปรากฏ ...ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา

บุคคลจำพวกที่ 3
กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่ สลัดออกจากปรายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไป จักเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก

บุคคลจำพวกที่ 4
สมัยต่อมา อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลนั้นก็ถึงความ ถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา

บุคคลจำพวกที่ 5

สมัยต่อมา อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรม ปรากฏขึ้น เฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัด ไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้นโดย ประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้ จักไม่ เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา

บุคคลจำพวกที่ 6
สมัยต่อมา อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำ ที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว เปรียบเหมือน ถ่านไฟที่เย็น มีไฟดับแล้ว

ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนั้น
บุคคล ๓ จำพวกข้างต้น
คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
คนหนึ่งเป็นผู้เกิดในอบาย ตกนรก

บุคคล ๓ จำพวกข้างหลัง
คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
คนหนึ่งเป็นผู้จะ ปรินิพพานเป็นธรรมดา

 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๕๙

อุทกสูตร


          [๓๓๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท  พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของชาวโกศลชื่อ ทัณฑกัปปกะ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ทรงแวะลงจากหนทาง ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นได้พากันเข้าไปสู่นิคมชื่อ ทัณฑกัปปกะ เพื่อแสวงหา ที่พัก ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์พร้อมด้วยภิกษุหลายรูป ได้ไปที่แม่น้ำ อจิรวดี เพื่อสรงน้ำ ครั้นสรงน้ำในแม่น้ำอจิรวดี เสร็จแล้ว ก็ขึ้นมานุ่งอันตรวาสกผืนเดียว ยืนผึ่งตัวอยู่

          ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วถามว่า

         ดูกรอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้เหตุทั้งปวง ด้วยพระหฤทัย แล้ว หรือหนอ จึงพยากรณ์ พระเทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบายตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ หรือว่าพระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้โดยปริยาย บางประการเท่านั้น จึงได้ทรงพยากรณ์ พระเทวทัต ดังนี้

         ท่านพระอานนท์ตอบว่า ดูกรอาวุโส ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์ อย่างนั้น แล ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

         ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์กับ ภิกษุหลายรูป ได้ไปยังแม่น้ำอจิรวดีเพื่อสรงน้ำ ครั้นสรงเสร็จแล้ว ก็ขึ้นมานุ่ง อันตรวาสก ผืนเดียวยืนผึ่งตัวอยู่ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปหา ข้าพระองค์ แล้วถามว่า

         ดูกรอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้เหตุทั้งปวง ด้วยพระหฤทัย แล้วหรือ หนอ จึงได้ทรงพยากรณ์พระเทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบาย ตกนรกตั้งอยู่ ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ หรือว่าพระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้โดยปริยาย บางประการ เท่านั้น จึงได้ทรงพยากรณ์พระเทวทัตดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ ได้กล่าว กับภิกษุนั้นว่า ดูกรอาวุโส ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคได้ ทรงพยากรณ์ อย่างนั้นแล

         พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุรูปนั้นจักเป็นภิกษุใหม่  บวชไม่นานหรือว่า เป็นภิกษุเถระ แต่เป็นคนโง่เขลา ไม่ฉลาด เพราะว่า ข้อที่เรา พยากรณ์แล้ว โดยส่วนเดียว จักเป็นสองได้อย่างไร

         ดูกรอานนท์ เราย่อมไม่พิจารณาเห็นบุคคลอื่นแม้คนหนึ่งที่เราได้ กำหนดรู้เหตุ ทั้งปวง ด้วยใจแล้วพยากรณ์อย่างนี้ เหมือนพระเทวทัตเลย ก็เราได้เห็นธรรมขาว ของพระเทวทัต (ส่วนดี) แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทราย เพียงใด เราก็ยังไม่พยากรณ์พระเทวทัตเพียงนั้นว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัปเยียวยาไม่ได้

         แต่ว่าเมื่อใด เราไม่ได้เห็นธรรมขาวของพระเทวทัต แม้ประมาณเท่าน้ำ ที่สลัด ออกจากปลายขนทราย เมื่อนั้นเราจึงได้พยากรณ์พระเทวทัต นั้นว่า พระเทวทัต จะต้องเกิดในอบายตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้

         ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนหลุมคูถเป็นที่ถ่ายอุจจาระ ลึกชั่วบุรุษ เต็มด้วยคูถ เสมอ ขอบปากหลุมบุรุษพึงตกลงไปที่หลุมคูถนั้นจมมิดศีรษะ บุรุษบางคนผู้ใคร่ ประโยชน์ ใคร่ความเกื้อกูล ปรารถนาความเกษมจากการตกหลุมคูถของบุรุษนั้น ใคร่จะยกเขาขึ้น จากหลุมคูถนั้น พึงมา เขาเดินรอบหลุมคูถนั้นอยู่ ก็ไม่พึงเห็นอวัยวะ ที่ไม่เปื้อนคูถ ซึ่งพอจะจับเขายกขึ้นมาได้  แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจาก ปลาย ขนทราย ของบุรุษนั้น ฉันใด เราก็ไม่ได้เห็นธรรมขาวของพระเทวทัต แม้ประมาณ เท่าน้ำ ที่สลัดออก จากปลายขนทราย ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อนั้น เราจึงได้พยากรณ์ พระเทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบายตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยา ไม่ได้ ถ้าว่าเธอทั้งหลาย จะพึงฟังตถาคตจำแนกญาณเครื่องกำหนดรู้ อินทรีย์ของ บุรุษไซร้

     อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้เป็นกาลควร ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลควร ที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงจำแนกญาณเครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของบุรุษ ภิกษุทั้งหลาย ได้สดับจากพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้

      พ.  ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระอานนท์ ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

         ดูกรอานนท์ (1) เราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเรากำหนดรู้ใจบุคคลนี้ ด้วยใจอย่างนี้ ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้แลหายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า กุศลมูล ที่บุคคลนั้นยังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอย่างอื่นของเขาจัก ปรากฏ ด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเมล็ด พืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลมและแดดเผา เกิดในต้นฤดูหนาว เก็บไว้ดีแล้วอันบุคคล ปลูก ณ ที่ดินอันพรวนดีแล้วในที่นาดี เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชเหล่านี้จักถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์
     อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

     พ.  ดูกรอานนท์ (2) เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้อยู่มี สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดญาณเป็นเครื่องทราบ อินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้

     ดูกรอานนท์ อนึ่ง(3) เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ ว่าอกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้น อกุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือน เมล็ดพืช ที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลมและแดดเผา เกิดในต้นฤดูหนาวเก็บไว้ดีแล้ว อันบุคคลปลูก ณ ที่ศิลาแท่งทึบ เธอพึงทราบไหมว่าเมล็ดพืชเหล่านี้ จักไม่ถึงความ เจริญ งอกงามไพบูลย์

     อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า
      พ.  ดูกรอานนท์ (4) เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้นอกุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจกำหนดรู้ ญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ ของบุรุษ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้

     ดูกรอานนท์ อนึ่ง(5 เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจาก ปราย ขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไปจัก เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่หักเน่า ถูกลมและ แดดแผดเผา อันบุคคลปลูก ณ ที่ดินซึ่งพรวนดีแล้วในนาดี เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชนี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

     อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า
     พ.  ดูกรอานนท์(6) เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคล นั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออก จากปราย ขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนด รู้ใจบุคคลด้วยใจ กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษ กำหนดรู้ธรรม ที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้
...............................................---------------------------------------------------......................

     เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงสามารถบัญญัติบุคคล ๓ จำพวกนี้ออกเป็นส่วนละ ๓ อีกหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สามารถ

         อานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูล ที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลนั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการ อย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนถ่าน ไฟที่ไฟติด ทั่วแล้วลุกโพลงสว่างไสว  อันบุคคลเก็บไว้บนศิลาทึบ เธอพึงทราบ ไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

     พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์ตกไปในเวลาเย็น  เธอพึงทราบไหมว่า แสงสว่างจักหายไป ความมืดจักปรากฏ ฯ
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

     พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหาร ของราชสกูล ในเวลาเที่ยงคืน เธอพึงทราบไหมว่า แสงสว่างหายไปหมดแล้ว ความมืด ได้ปรากฏแล้ว

     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า
     พ.  ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่อง ทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้

     ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคล นั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้น โดยประการ ทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้ว ลุกโพลงสว่างไสวอันบุคคลเก็บไว้ บน กองหญ้าแห้ง หรือบนกองไม้แห้ง เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

     พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์กำลังขึ้นมาในเวลารุ่งอรุณ เธอพึงทราบไหมว่า ความมืดจักหายไป แสงสว่างจักปรากฏ
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

     พ. ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหาร ของราชสกูล ในเวลา เที่ยงวัน เธอพึงทราบไหมว่า ความมืดหายไปหมดแล้วแสงสว่าง ได้ปรากฏแล้ว
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

     พ.  ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจ อย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้น โดย ประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ ญาณ เป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรม ที่อาศัย กันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้

     ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคล นั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจาก ปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาว อย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียวเปรียบเหมือนถ่านไฟที่เย็น มีไฟดับแล้ว อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง หรือบนกองไม้แห้ง เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

     พ.  ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลาย ขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาว อย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน

          ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณ เป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น ต่อไป ด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้

         ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนั้น บุคคล ๓ จำพวกข้างต้น คนหนึ่งเป็นผู้ ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา คนหนึ่งเป็นผู้เกิดในอบาย ตกนรก ในบุคคล ๖ จำพวกนั้น บุคคล ๓ จำพวกข้างหลังคนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อม เป็นธรรมดา คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา คนหนึ่งเป็นผู้จะปรินิพพานเป็นธรรมดา

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์