เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 มารตัชชนียสูตร พระโมคคัลลลานะถูกมารเข้าสิงในท้อง (สูตรนี้เป็นเรื่องแต่ง) 609
  มารตัชชนียสูตร (พระโมคคัลลานะถูกมารเข้าสิงในท้อง)
เป็นอรรถกถา เป็นเรื่องแต่งขึ้นมา
ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา
 
 


พระโมคคัลลลานะถูกมารเข้าสิงในท้อง
พระโมคคัลลานะ ขณะเกิดจงกรม มารผู้ลามกเข้าสิงในท้อง จึงเรียกให้ออกมา แต่มารไม่ยอม ออกมา จึงเรียกอีกหลายครั้ง ที่สุดมารได้ออกมายืน อยู่ที่ประตู

ครั้งนั้นพระโมคคัลลานะ ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัย พระพุทธเจ้า กกุสันธะ (ยุคมนุษยฺอายุ 40,000 ปี) ว่า เรา(พระโมค)เป็นมาร ชื่อทูสี มีน้องหญิงชื่อ กาลี สมัยนั้นทูสีมาร ได้กระทำบาป ต่ออัครสาวกของ พระกกุสันธะ เช่นดลใจให้คนอื่น ด่าบริภาษ เบียดเบียนภิกษุผู้มีศีล

ครั้งหนึ่ง ทูสีมารได้เข้าสิงเด็ก แล้วดลใจให้เอาก้อนหินปา ท่านพระวิธุระ(อัครสาวกเบื้องขวา) จนศีรษะแตกเลือดไหลขณะเดินตาม พระกกุสันธะ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรง ชำเลืองด้วยหางตา ตรัสว่า ทูสีมารนี้ มิได้รู้ ประมาณเลย แล้วเห็นทูสีมารเคลื่อนแล้วจากที่นั้น เข้าถึงอุสสทนรก แห่ง มหานรก เสวยทุกขเวทนา หนักกว่าก่อน อีกหมื่นปี ลำดับนั้นมารผู้ลามก ได้ฟังแล้วมีความเสียใจ จึงได้หายไป

*** พระสูตรนี้ทำให้ทราบว่า ชาติอดีตของพระโมคคัลลานะ เคยเป็นมาร และตกนรกชั้นมหานรกชื่อ อุสสทนรก ซึ่งเป็นนรกชั้นลึกมาก่อน***
 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ หน้าที่ ๔๒๔

๑๐.มารตัชชนียสูตร
ว่าด้วยการคุกคามมาร



        [๕๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
        สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มิคทายวัน ในเภสกลาวันเขตเมือง สุงสุมารคีระ ในภัคคชนบท.

        สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ถูกมารผู้ลามก เข้าไปใน ท้องในไส้ ได้มีความดำริว่า ท้องเราเป็นดังว่ามีก้อนหินหนักๆ และเป็นเช่นกะทอ อันเต็มด้วยถั่วหมัก เพราะเหตุอะไรหนอ จึงลงจากจงกรม แล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บน อาสนะที่ปูไว้ ครั้นนั่งแล้ว ได้ใส่ใจถึงมารที่ลามก ด้วยอุบายอันแยบคาย เฉพาะตน.

        [๕๕๘] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามก เข้าไปในท้องใน ไส้แล้ว ครั้นแล้ว จึงเรียกว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่า เบียดเบียน พระตถาคต และสาวกของพระตถาคตเลย วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้ม ีเพื่อโทษไม่เป็น ประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่ท่านตลอดกาลนาน.

        ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา จึงกล่าวว่า ดูกรมาร ผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียน พระตถาคต และสาวก ของพระตถาคตเลย วิเหสนกรรม นั้น อย่าได้มีเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่ท่านตลอดกาลนาน ดังนี้ แล้วจึงดำริว่า แม้สมณะที่เป็น ศาสดายังไม่พึง รู้จักเราได้เร็วไว ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเราได้.
        ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้บอกว่า

        ดูกรมารผู้ลามก เรารู้จักท่านแม้ด้วยเหตุนี้แล ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ ไม่รู้จักเรา ท่านเป็นมาร ท่านมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้ และไม่เห็น เราจึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ฯลฯ ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเรา.
        ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้รู้จักและเห็นเรา

        จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ฯลฯ วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่าน ตลอดกาลนาน ดังนี้ แล้วจึงออกจากปากท่านพระมหา โมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ที่ข้างบาน ประตู

        [๕๕๙] ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นมารผู้ลามกยืนอยู่ที่ข้างบานประตู ครั้นแล้วจึง กล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่เห็นเรา ท่านนั้นยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู

(จากนั้น..พระโมคคัลลานะ เล่าเรื่องในอดีตสมัยเป็นมาร ว่าเคยทำร้ายอัครสาวกของ พระผู้มี พระภาคกกุสันธะ สมัยเมื่อมนุษย์อายุ 4 หมื่นปี ทำให้ตนเองในร่างของมาร ต้องตกนรก ชั้นอุสสทนรก แห่งมหานรก )

        ดูกรมารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้ว เราเป็นมารชื่อ ทูสี มีน้องหญิงชื่อ กาลี ท่านเป็น บุตรน้องหญิง ของเรานั้น ท่านนั้นได้เป็นหลานชายของเรา.

        ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จ อุบัติขึ้นในโลก(ยุคมนุษย์อายุ4หมื่นปี) พระองค์มีคู่พระมหาสาวกชื่อ วิธุระ*และชื่อ สัญชีวะ*เป็นคู่เจริญเลิศ
(อัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย)

        พระสาวกของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประมาณ เท่าใด ในพระสาวกมีประมาณเท่านั้น ไม่มีองค์ใดที่จะสม่ำเสมอด้วย ท่านพระวิธุระ ในทางธรรมเทศนา.

        ด้วยเหตุนี้ ท่านพระวิธุระ จึงมีนามเกิดขึ้นว่า วิธุระ วิธุระ. ส่วนท่านพระสัญชีวะ ไปสู่ป่า ก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ด้วยความลำบากเล็กน้อย.

        ดูกรมารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้วท่านพระสัญชีวะ นั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ อยู่ที่โคน ต้นไม้ แห่งหนึ่ง. พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกคนไถนา และ พวกคน เดินทาง ได้เห็น ท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ อยู่ที่โคนต้นไม้ แห่งหนึ่ง ครั้นแล้วได้ปรึกษากันว่า ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์แปลกปลาดหนอ พระสมณะนี้ นั่งทำกาละเสียแล้ว มิฉะนั้น พวกเรา จงเผาท่านเถิด. ครั้งนั้น คนเหล่านั้นจึงหาหญ้าไม้ และโคมัยมากองสุมกายท่านพระสัญชีวะ เอาไฟจุดเผา แล้วหลีกไป.

        เมื่อล่วงราตรีนั้นแล้ว ท่านพระสัญชีวะออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ก็สลัดจีวร เวลาเช้า นุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. พวกคนเลี้ยงโค พวกคน เลี้ยงปศุสัตว์ พวกคน ไถนา และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะ เที่ยว บิณฑบาตแล้ว ก็ปรึกษากันว่า ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์ แปลกปลาดหนอ พระสมณะ นี้ นั่งทำกาละแล้ว พระสมณะนี้นั้นกลับ มีสัญญาอยู่แล้ว. ด้วยเหตุนี้ ท่านพระสัญชีวะ จึงได้มีชื่อเกิดขึ้นว่า สัญชีวะ สัญชีวะ.

        [๕๖๐] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแหละ ทูสีมาร มีความดำริว่า เราไม่รู้จักความมา และ ความไป ของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้ ถ้ากระไร เราพึงดลใจ พวกพราหมณ์ และคฤหบดี ว่ามาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าไฉนภิกษุเหล่านั้นถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียนอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยอาการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง.

        ครั้งนั้น ทูสีมารก็ดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีตามดำรินั้น พวกพราหมณ์ และ คฤหบดี ถูกทูสีมารดลใจแล้ว ก็ด่าบริภาษ เสียดสี เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมว่า ภิกษุเหล่านี้ เป็นสมณะหัวโล้น เป็นคฤหบดี เป็นค่าง เป็นผู้เกิดแต่ หลังเท้าของพรหม พูดว่าพวกเราเจริญฌาน พวกเราเจริญฌาน เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน ย่อมรำพึง ซบเซาหงอยเหงา. เหมือนนกเค้าจ้องหาหนูที่กิ่งต้นไม้ และ เหมือนสุนัขจิ้งจอก จ้องหาปลา ใกล้ฝั่งน้ำและเหมือนแมวจ้องหาหนูที่ ที่ต่อเรือน อันรุงรัง และกองหยากเหยื่อ และเหมือนลา ที่ปลดต่างแล้วต่างก็รำพึง ซบเซา เหงาหงอยอยู่ฉะนั้น.

        ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้น มนุษย์เหล่าใดทำกาละไปมนุษย์เหล่านั้น เบื้องหน้า แต่ตายเพราะ กายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกโดยมาก.

        [๕๖๑] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระนามว่ากกุสันธะ เป็น พระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วรับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์ และคฤหบดีถูก ทูสีมาร ดลใจชักชวนว่า มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เสียดสีเบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าไฉน ภิกษุเหล่านั้นถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียนอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยอาการที่ ทูสีมารพึงได้ช่อง.

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย มาเถิดพวกเธอจงมีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่เถิด แผ่ไปสู่ ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วย เมตตา อันกว้างขวางเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลก มีสัตว์ ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด.

        มีจิตสหรคตด้วยกรุณา ...มีจิตสหรคตด้วยมุทิตา ... มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่เถิด แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาอันกว้าง เป็นใหญ่ หาประมาณ มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไป สู่โลก มีสัตว์ทั้งมวลโดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด.

        ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายอันพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธ เจ้าทรงสั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่า ก็ดี ก็มี จิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้นแผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มี จิตสหรคต (อ่าน สะ หะ ระ คะ ตะ แปลว่าจิตที่ประกอบด้วย...) ด้วย เมตตา อันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณ มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลก มีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวงทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ ดังนี้.

        มีจิตสหรคตด้วยกรุณา... มีจิตสหคตด้วย มุทิตา...มีจิตสหรคตด้วย อุเบกขาแผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศ ที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา อันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตน ทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ ดังนี้.

        [๕๖๒] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารมีความดำริดังนี้ว่า เราทำอยู่ แม้ถึงอย่างนี้ แล ก็มิได้ รู้ความมาหรือความไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เหล่านี้เลย ถ้ากระไร เราพึงชักชวน พวกพราหมณ์และคฤหบดีว่า เชิญท่านทั้งหลาย มาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้น อันท่านทั้งหลายสักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็น อย่างอื่น โดยประการ ที่ทูสีมารพึงได้ช่อง.

        ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแลทูสีมารชักชวนพราหมณ์ และคฤหบดีเหล่านั้นว่า เชิญท่าน ทั้งหลาย มาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม กันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุ เหล่านั้นอันท่านทั้งหลายสักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ ทูสีมารพึงได้ช่อง ดังนี้.

        ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น ถูกทูสีมาร ชักชวนแล้ว พากันสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม.

        ดูกรมารผู้ลามก สมัยนั้นแล มนุษย์เหล่าใดกระทำกาละไป มนุษย์เหล่านั้น เมื่อกายแตก ตายไป ย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ โดยมาก.

        [๕๖๓] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์ และคฤหบดีอันทูสีมาร ชักชวนว่า เชิญท่านทั้งหลาย มาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุ ทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านทั้งหลายสักการะ เคารพนับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง ดังนี้.

        ดูกรภิกษุทั้งหลายเชิญท่านทั้งหลายจงพิจารณา เห็นในกายว่าไม่งาม มีความสำคัญ ในอาหาร ว่าเป็นของปฏิกูล มีความสำคัญในโลกทั้งปวง ว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นใน สังขารทั้งปวง ว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่เถิด.

        ดูกรมารผู้ลามก ภิกษุเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่าง เปล่าก็ดี ก็พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล มีความ สำคัญในโลกทั้งปวง ว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวง ว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่.

        [๕๖๔] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครองสงบ แล้วทรงบาตรและจีวร มีท่านพระวิธุระ เป็นปัจฉา สมณะ เสด็จเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต.

        ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารเข้าสิงเด็กคนหนึ่ง แล้วเอาก้อนหิน ขว้าง ที่ศีรษะ ท่านพระวิธุระ ศีรษะแตก.

        ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ท่านพระวิธุระ มีศีรษะแตกเลือดไหลอยู่ เดินตาม เสด็จพระผู้มี พระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปข้างหลังๆ.

        ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็น พระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชำเลือง ดูเหมือนช้างชายตาดูด้วยตรัสว่า ทูสีมารนี้ มิได้รู้ ประมาณเลย.

        ดูกรมารผู้ลามก ก็แหละ ทูสีมารเคลื่อนแล้วจากที่นั้น และเข้าถึงมหานรก พร้อมด้วยพระกิริยา ที่ทรงชำเลืองดู

        [๕๖๕] ดูกรมารผู้ลามก ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ ๓ อย่าง ชื่อ ฉผัสสายตนิกะ ก็มีชื่อ สังกุสมาหตะ ก็มี ชื่อ ปัจจัตตเวทนียะ ก็มี. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พวกนายนิรยบาล เข้ามาหาเราแล้ว บอกว่าเมื่อใดแล หลาวเหล็กกับหลาวเหล็ก มารวมกันที่กลางหทัยของท่านเมื่อนั้น ท่านพึงรู้ว่า เราไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว.

        ดูกรมารผู้ลามก เรานั้นแล หมกไหม้อยู่ในมหานรกนั้นหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี และ หมกไหม้อยู่ใน อุสสทนรกแห่งมหานรก นั้นแล เสวยทุกขเวทนา หนักกว่าก่อน อีกหมื่นปี.

        เรานั้นมีกายเห็นปานนี้คือ มีศีรษะเหมือนศีรษะมนุษย์ก็มี เหมือนศีรษะปลา ก็มี.

อวสานคาถา

        [๕๖๖] ทูสีมารประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐ พระนามว่า กกุสันธะ แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร ทูสีมาร ประทุษร้าย พระสาวกชื่อวิธุระ และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐพระนามว่า กกุสันธะ แล้วไหม้ อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้ คือ มีหลาวเหล็กร้อยหนึ่ง ล้วนให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น

        ภิกษุใดเป็นพระสาวกของ พระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักนรกนั้น มารประทุษร้ายภิกษุ เช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก วิมานทั้งหลายตั้งอยู่ ใน ท่ามกลางมหาสมุทร มีความตั้งอยู่ตลอดกัป มีสีเหมือนแก้วไพฑูรย์ มีความรุ่งเรือง มีรัศมี โชติช่วง เป็นประภัสสร

        พวกนางอัปสรมีวรรณะต่างๆ เป็นอันมาก ฟ้อนรำอยู่ที่วิมาน เหล่านั้น ภิกษุใด เป็นสาวก ของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักวิมานนั้น มาร ประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบ ทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดแล อันพระพุทธเจ้าทรงเตือนแล้ว เมื่อภิกษุสงฆ์ เห็นอยู่ ยังปราสาท ของมิคาร  มารดาให้ไหวด้วยปลายนิ้วเท้า ภิกษุใดเป็นสาวกของ พระพุทธเจ้าย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก

        ภิกษุใดเข้มแข็งด้วยกำลังฤทธิ์ ยังเวชยันตปราสาท ให้ไหวด้วยปลายนิ้วเท้า และ ยังพวก เทวดา ให้สังเวช ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้าย ภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดทูลสอบถาม ท้าวสักกะ ในเวชยันตปราสาทว่า

        ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านย่อมรู้ความน้อมจิตไปในธรรม เป็นที่สิ้นตัณหาบ้างหรือ ท้าวสักกะ ถูกถามปัญหาแล้ว พยากรณ์แก่ภิกษุนั้นตามควรแก่กถา ภิกษุใดเป็นสาวก ของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จัก เหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์ อย่างหนัก ภิกษุใด ย่อมสอบถามพรหม ณ ที่ใกล้สุธรรมาสภาว่า

        ดูกรท่านผู้มีอายุ ทิฏฐิของท่านในวันนี้ และทิฏฐิของท่าน มีในวันก่อน ท่านย่อมเห็น ทิฏฐินั้น ล่วงไปแล้ว และรัศมีเป็นประภัสสร ในพรหมโลกบ้างหรือ พรหมพยากรณ์ แก่ภิกษุนั้น ตามลำดับ โดยควรแก่กถาว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีทิฏฐินั้น และทิฏฐิในวันก่อน

        ข้าพเจ้าเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว และเห็นรัศมีเป็นประภัสสรในพรหมโลก (ฉะนั้น)วันนี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า เราเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน ได้อย่างไร

        ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดได้กระทบ ยอดภูเขามหาเนรุด้วย ชมพูทวีปด้วย ทวีปของชาวปุพพวิเทหะด้วย พวกนรชนผู้อยู่ในแผ่นดิน [ชาวอมรโคยานทวีป และชาวอุตตรกุรุทวีป] ด้วยวิโมกข์

        ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้เหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อม ประสบทุกข์อย่างหนัก ก็คนพาลมาเข้ากองไฟ ที่กำลังลุกโชน ย่อมเดือดร้อน อยู่ว่า ไฟย่อมไม่คิดจะเผาเรา แต่เราย่อมเผาตนผู้เป็นคน พาลเอง   

        ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้วจักเผาตัวเอง ดังคนพาลที่ถูกไฟเผา ฉันนั้น เหมือนกัน ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้ว ต้องประสบบาปมิใช่บุญ ท่านอย่า สำคัญว่า บาปไม่ให้ผลแก่เราหรือหนอการกชนที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญ ตลอดกาลนาน

        ดูกรมาร ท่านเบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า อย่าได้ทำความหวัง [ซึ่งความพินาศ] ในภิกษุ   ทั้งหลาย เลย ภิกษุได้คุกคามมารในเภสกลาวัน ด้วยประการฉะนี้

        ลำดับนั้น มารนั้นมีความเสียใจได้หายไป ในที่นั้น ฉะนี้แล.


จบมารตัชชนียสูตร ที่ ๑๐
จบจูฬยมกวรรคที่ ๕

 

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์