เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  พรหมนิมันตนิกสูตร รวมเรื่องพรหม ทิฏฐิลามก มารเข้าสิงพรหม 608
 
 


พรหมนิมันตนิกสูตร/พกพรหม-ทิฏฐิลามก ว่าชั้นพรหม เที่ยง ไม่เกิด ไม่ตาย/มารเข้าสิงกายพรหม
พกพรหมมีทิฏฐิอันลามก... พระศาสดาหายตัวไปในเทวดาชั้นพรหม เพราะพรหมคิดว่า ภพตนเองเป็นของเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แหละเหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างยิ่ง


 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๑๗


พรหมนิมันตนิกสูตร ว่าด้วยพกพรหมมี ทิฏฐิอันลามก


            [๕๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า.

            [๕๕๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่งเราอยู่ที่ โคนต้นรังใหญ่ในสุภควัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐา.

            ก็สมัยนั้นแล พกพรหมมีทิฏฐิอันลามก เห็นปานฉะนี้ เกิดขึ้นว่า พรหมสถานนี้ เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดาพรหมสถาน นี้แล ไม่เกิดไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แหละเหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างยิ่ง นอกจากพรหม สถานนี้ไม่มี ดังนี้.

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล เรารู้ความปริวิตกแห่งใจพกพรหมด้วยใจแล้ว จึงหายไป ที่โคนต้นรังใหญ่ ในสุภควันใกล้เมืองอุกกัฏฐาไปปรากฏในพรหมโลกนั้น เปรียบ เหมือน บุรุษที่มีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น.

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย พกพรหมได้เห็นเราผู้มาแต่ไกล แล้วได้พูดกะเราว่า ดูกรท่านผู้ นฤทุกข์ เชิญมาเถิดท่านมาดีแล้ว นานทีเดียวที่ท่านเพิ่งทำปริยาย เพื่อจะมาในที่นี้ ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ พรหมสถานนี้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนเป็น ธรรมดา พรหมสถานนี้แลไม่เกิด ไม่แก่ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แหละเหตุ เป็นที่ ออกไป จากทุกข์อย่างยิ่ง นอกจากพรหมสถานนี้ ไม่มี.

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพกพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะพกพรหม ว่า ดูกรท่านผู้เจริญพกพรหม ไปในอวิชชาแล้วหนอ พกพรหมไปในอวิชชาแล้วหนอ เพราะว่าพกพรหมกล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแลว่า เที่ยง กล่าวสิ่งที่ไม่ยั่งยืนนั่นแลว่า ยั่งยืน กล่าวสิ่งที่ไม่มั่นคงนั่นแลว่า มั่นคงกล่าวสิ่งที่ไม่แข็งแรงนั่นแลว่า แข็งแรง กล่าวสิ่งที่มีความเคลื่อนเป็นธรรมดานั่นแลว่า มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา ก็แหละ สัตว์ทั้งเกิด ทั้งแก่ ทั้งตาย ทั้งจุติ ทั้งอุบัติอยู่ในพรหมสถานใดพกพรหม ก็กล่าว พรหมสถานนั้นอย่างนั้นว่า พรหมสถานนี้แล ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติไม่อุบัติ และกล่าวเหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นอันมีอยู่ว่า เหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์ อย่างยิ่งอื่นไม่มี.

มารเข้าสิงกายพรหม


            [๕๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล มารผู้ลามกเข้าสิงกายของพรหม ปาริสัชชะ ผู้หนึ่งแล้ว กล่าวกะเราว่า ดูกรภิกษุๆ อย่ารุกรานพกพรหมนี้เลย อย่ารุกราน พกพรหม นี้เลย ดูกรภิกษุเพราะว่า พรหมผู้นี้เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ (ปกครองคณะพรหม) อันคณะพรหมไม่ฝ่าฝืนได้โดยที่แท้เป็นผู้ดูทั่วไป ยังสรรพสัตว์ ให้เป็นไปในอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลกเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่ง สัตว์ เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้วและกำลังจะเกิด.

            ดูกรภิกษุ สมณะและพราหมณ์พวกก่อนท่าน เป็นผู้ติเตียนดิน เกลียดดิน เป็นผู้ติเตียน น้ำเกลียดน้ำ เป็นผู้ติเตียนไฟ เกลียดไฟ เป็นผู้ติเตียนลม เกลียดลม เป็นผู้ติเตียนสัตว์ เกลียดสัตว์เป็นผู้ติเตียนเทวดา เกลียดเทวดา เป็นผู้ติเตียน ปชาบดี เกลียดปชาบดี เป็นผู้ติเตียนพรหมเกลียดพรหมในโลก (ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา) สมณะและ พราหมณ์เหล่านั้น เมื่อกายแตกขาดจากลมปราณ ต้องไปเกิดในหีนกาย(จตุราบาย- นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน)

            ดูกรภิกษุ ส่วนสมณพราหมณ์พวกก่อนท่าน เป็นผู้สรรเสริญดิน ชมเชยดิน เป็นผู้ สรรเสริญน้ำ ชมเชยน้ำ เป็นผู้สรรเสริญไฟชมเชยไฟ เป็นผู้สรรเสริญลม ชมเชยลม เป็นผู้สรรเสริญสัตว์ ชมเชยสัตว์ เป็นผู้สรรเสริญเทวดา ชมเชยเทวดา เป็นผู้สรรเสริญ ปชาบดี ชมเชยปชาบดี เป็นผู้สรรเสริญพรหม ชมเชยพรหม สมณพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อกายแตกขาดจากลมปราณ ก็ไปเกิดในกายที่ประณีต (พรหมโลก)

            ดูกรภิกษุ เพราะเหตุนั้น เราจึงขอบอกกะท่านอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ เชิญเถิด ท่านจงทำตามคำที่พรหมบอกแก่ท่านเท่านั้น ท่านจงอย่าฝ่าฝืนคำของ พรหมเลย

            ดูกรภิกษุ ถ้าท่านจักฝ่าฝืนคำของพรหม. โทษจักมีแก่ท่าน เปรียบเหมือนบุรุษเอาท่อนไม้ ตีไล่ศิริที่มาหา หรือเปรียบเหมือนบุรุษผู้จะตกเหวที่ลึก ชักมือ และเท้าให้ห่าง แผ่นดิน เสีย ฉะนั้น.

            ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ เชิญเถิดท่านจงทำตามคำที่พรหมบอก แก่ท่านเท่านั้น ท่านจงอย่า ฝ่าฝืนคำของ พรหมเลย ดูกรภิกษุท่านย่อม เห็นพรหมบริษัทประชุมกัน แล้วมิใช่หรือ.

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารผู้ลามกย่อมเปรียบเทียบเรากะพรหมบริษัทดังนี้แล.

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมารกล่าวอย่างนี้ แล้ว เราได้กล่าวกะมารผู้ลามก นั้นว่า แน่ะมาร เราย่อมรู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่า พระสมณะไม่รู้จักเรา แน่ะมาร ท่านเป็นมารพรหม ก็ดี พวกพรหมบริษัทก็ดี พวกพรหมปาริสัชชะก็ดี ทั้งหมดนั่น แลอยู่ในมือของท่าน ตกอยู่ใน อำนาจของท่าน และท่านมีความดำริว่า แม้สมณะ ก็ต้องอยู่ในมือของเรา ต้องตกอยู่ในอำนาจของเรา ก็แต่ว่าเราไม่ได้อยู่ในมือ ของท่าน ไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของท่าน

พกพรหมหายไปจากพระผู้มีพระภาค

            [๕๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว พกพรหมได้กล่าวว่า ดูกรท่าน ผู้นฤทุกข์ ก็เรากล่าวสิ่งที่เที่ยงนั่นแลว่า เที่ยง กล่าวสิ่งที่มั่นคงนั่นแลว่า มั่นคง กล่าวสิ่งที่ยั่งยืนนั่นแลว่า ยั่งยืน กล่าวสิ่งที่แข็งแรงนั่นแลว่า แข็งแรง กล่าวสิ่งที่ ไม่มีความเคลื่อนเป็นธรรมดานั่นแลว่า ไม่มีความเคลื่อนเป็นธรรมดา.

             ก็แหละสัตว์ย่อม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติในพรหมสถานใด เรากล่าวพรหมสถาน นั้นแหละ ว่า พรหมสถานนี้แล ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตายไม่จุติ ไม่อุบัติ และกล่าวเหตุที่ออกไปจาก ทุกข์ อย่างยิ่งอื่น ไม่มีว่าเหตุเป็นที่ออกไป จากทุกข์อย่างยิ่ง อื่นไม่มี.

            ดูกรภิกษุ สมณะและพราหมณ์พวกที่มีก่อนท่านได้มีแล้วในโลก อายุทั้งสิ้น ของท่าน เท่าไร กรรมที่ทำด้วยตบะ ของท่าน มีเท่านั้น. สมณะและพราหมณ์เหล่านั้น แล พึงรู้ ซึ่งเหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นมีอยู่ว่า เหตุเป็น ที่ออกไปจากทุกข์ อย่างยิ่ง อื่น มีอยู่ หรือพึงรู้ซึ่งเหตุเป็นที่ออกไปจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นไม่มีอยู่ว่า เหตุเป็นที่ออก ไป จากทุกข์ อย่างยิ่งอื่นไม่มีอยู่.

            ดูกรภิกษุ เพราะเหตุไรเราจึงกล่าวกะท่านอย่างนี้ เพราะว่าท่านจักไม่เห็น เหตุเป็นที่ ออกไปจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นเลย และท่านจักเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบาก แห่งความ คับแค้นอย่างเดียวเท่านั้น.

            ดูกรภิกษุ ถ้าแลท่านจักกลืนกินแผ่นดินได้ไซร้ ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอน ใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงทำได้ ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้.

            ถ้าและท่านจักกลืนกินน้ำ ไฟลม เหล่าสัตว์เทวดาปชาบดี พรหมได้ไซร้ ท่านก็จัก ชื่อว่า เป็นผู้นอนใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงทำได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้ ดังนี้. เรากล่าวว่า ดูกรพรหม แม้เราแลย่อมรู้เหตุนี้.

             ถ้าเราจักกลืนกินแผ่นดินได้ไซร้ เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้ท่าน นอนใน ที่อยู่ของท่าน ท่านพึงทำได้ตาม ประสงค์ ท่านพึงห้ามได้.

             ถ้าและเราจักกลืนกินน้ำ ไฟ ลม เหล่าสัตว์ เทวดา ปชาบดี พรหม ได้ไซร้ เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอน ใกล้ท่าน นอนในที่อยู่ของท่าน ท่านพึงทำได้ตาม ประสงค์ ท่านพึงห้ามได้.

            ดูกรพรหม ใช่แต่เท่านั้น เราย่อมรู้ความสำเร็จ และย่อมรู้อานุภาพ ของท่าน ว่า พกพรหม มีฤทธิ์มากอย่างนี้ พกพรหม มีอานุภาพมากอย่างนี้ พกพรหมมีศักดิ์มาก อย่างนี้.

            พกพรหมถามเราว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ ก็ท่านย่อมรู้ความสำเร็จ และย่อมรู้ อานุภาพ ของเราว่า พกพรหมมีฤทธิ์มากอย่างนี้ พกพรหมมีอานุภาพมากอย่างนี้ พกพรหม มีศักดิ์ มากอย่างนี้อย่างไร?

            เรากล่าวว่า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ย่อมโคจรส่องทิศให้สว่างอยู่เท่าใด อำนาจ ของท่านย่อม เป็นไปในพัน จักรวาลเท่านั้น ท่านย่อมรู้จัก สัตว์ที่เลวและ สัตว์ที่ ประณีต รู้จักสัตว์ที่มี ราคะและสัตว์ที่ไม่มี ราคะ รู้จักจักรวาลนี้ และจักรวาลอื่น และ รู้จักความมาและ ความไปของสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้.

            ดูกรพรหม เราย่อมรู้ความสำเร็จ และย่อมรู้อานุภาพของท่านอย่างนี้ว่า พกพรหม มีฤทธิ์มากอย่างนี้ พกพรหม มีอานุภาพ มากอย่างนี้ พกพรหมมีศักดิ์มาก อย่างนี้. ดูกรพรหม กาย ๓ อย่างอื่นมีอยู่ ท่านย่อมไม่รู้ไม่เห็นในกาย ๓ อย่างนั้น เราย่อมรู้ ย่อมเห็นกายเหล่านั้น

            ดูกรพรหม กายชื่ออาภัสสระมีอยู่. ท่านเคลื่อนแล้วจากที่ใด มาอุบัติแล้ว ในที่นี้ ท่านมี สติหลงลืมไป เพราะความอยู่ อาศัยนานนัก เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่รู้ ไม่เห็นกายนั้น เราย่อมรู้ ย่อมเห็นกายนั้น

            ดูกรพรหม เราเป็นผู้ไม่สม่ำเสมอกับท่านด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เรา เป็นผู้ต่ำ กว่า ท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้ เรานี่แหละเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

            ดูกรพรหม กายชื่อสุภกิณหะ กายชื่อเวหัปผละ มีอยู่แล ท่านย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็น กายนั้น เราย่อมรู้ ย่อมเห็นกายนั้น

            ดูกรพรหม เราเป็นผู้ไม่สม่ำเสมอกับท่านด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เรา เป็นผู้ต่ำ กว่า ท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้เรานี่แหละเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน.

            ดูกรพรหม เรารู้จักดินแลโดยความเป็นดิน รู้จักนิพพานอันสัตว์เสวย ไม่ได้โดยความ ที่ดินเป็นดิน แล้วไม่เป็นดิน ไม่ได้มีแล้วในดิน ไม่ได้มีแล้วแต่ดิน ไม่ได้มีแล้วว่าดิน ของเรา ไม่ได้กล่าวเฉพาะดิน

            ดูกรพรหมเราเป็นผู้ไม่สม่ำเสมอกับท่านด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เรา เป็นผู้ต่ำ กว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้ เรานี่แหละเป็นผู้สูงกว่าท่าน

            ดูกรพรหม เรารู้จักน้ำ ... ดูกรพรหม เรารู้จักไฟ ... ดูกรพรหม เรารู้จักลม ... ดูกรพรหม เรารู้จักเหล่าสัตว์ ... ดูกรพรหม เรารู้จักเทวดา ... ดูกรพรหม เรารู้จักปชาบดี*... ดูกรพรหม เรารู้จักพรหม ... ดูกรพรหม เรารู้จักพวกอาภัสสรพรหม ... ดูกรพรหม เรารู้จักพวกสุภกิณหพรหม ... ดูกรพรหม เรารู้จักพวกเวหัปผลพรหม ... ดูกรพรหม เรารู้จักอภิภูพรหม ... ดูกรพรหม เรารู้จักสิ่งทั้งปวงโดยความ เป็นสิ่ง ทั้งปวง รู้จัก นิพพาน อันสัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง แล้วไม่เป็นสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีแล้ว ในสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีแล้วแต่สิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีแล้ว ว่าสิ่งทั้งปวงของเรา ไม่ได้กล่าวเฉพาะสิ่งทั้งปวง* (เทวดาชั้นสูงสุดของกามภพ)

            ดูกรพรหม เราเป็นผู้ไม่สม่ำเสมอกับท่านด้วยความรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เรา เป็นผู้ต่ำ กว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้ เรานี่แหละเป็นผู้สูงกว่าท่าน

            พกพรหมกล่าวกะเราว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ ถ้าแลเพราะท่านรู้นิพพาน ที่สัตว์เสวย ไม่ได้โดยความ ที่สิ่งทั้งปวงเป็น สิ่งทั้งปวงถ้อยคำของท่าน อย่าได้ว่าง เสียเลย อย่าได้เปล่าเสียเลย

            นิพพานอันผู้บรรลุพึงรู้แจ้งได้ เป็นอนิทัสสนะ (ไม่เห็นได้ด้วยจักษุวิญญาณ) เป็นอนันตะ (ไม่มีที่สุด หรือ หายไปจากความเกิดขึ้นและความเสื่อม) มีรัศมีใน ที่ทั้งปวง อันสัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำ โดยความ ที่ไฟเป็นไฟ โดยความที่ลม เป็นลม โดยความที่เหล่าสัตว์เป็นเหล่าสัตว์ โดยความ ที่เทวดาเป็นเทวดา โดยความที่ปชาบดีเป็นปชาบดี โดยความที่พรหม เป็นพรหม โดยความที่เป็นอาภัสสรพรหมเป็นอาภัสสรพรหม โดยความที่สุภกิณห พรหม เป็นสุภกิณหพรหม โดยความที่เวหัปผลพรหมเป็นเวหัปผลพรหม โดยความ ที่อภิภูพรหมเป็นอภิภูพรหม โดยความที่สิ่งทั้งปวง เป็นสิ่งทั้งปวง

            พกพรหมกล่าวกะเราว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ ผิฉะนั้น บัดนี้เราจะหายไปจาก ท่าน. เรากล่าวว่าดูกรพรหม ผิฉะนั้น บัดนี้ ถ้าท่านอาจจะหายไปได้ ก็จงหายไปเถิด. ดูกรภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล พกพรหมกล่าวว่า เราจักหายไป จากพระสมณโคดม เราจักหายไปจากพระสมณโคดมแต่ก็ไม่อาจหายไปจากเราได้โดยแท้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพกพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะพกพรหม ว่า ดูกร พรหมผิฉะนั้น บัดนี้ เราจะหายไปจากท่าน. พกพรหมกล่าวว่า ดูกรท่าน ผู้นฤทุกข์ ผิฉะนั้น บัดนี้ ถ้าท่านอาจหายไปได้ ก็จงหายไปเถิด

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น เราบันดาลอิทธาภิสังขาร*ให้เป็นเหมือน อย่างนั้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พรหมก็ดี พวกพรหมบริษัทก็ดี พวกพรหมปาริสัชชะก็ดี ย่อมได้ยินเสียงเรา แต่มิได้เห็นตัวเรา ดังนี้. เราหายไปแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ว่า   
*(พระผู้มีพระภาคแสดงฤทธิ์ให้หายตัวได้ แต่ยังได้ยินเสียง ซึ่งพรหมทำไม่ได้)  

            เราเห็นภัยในภพ และเห็นภพของสัตว์ผู้แสวง หาที่ปราศจากภพแล้ว ไม่กล่าวยกย่อง ภพ อะไรเลย ทั้งไม่ยังนันทิ ให้เกิดขึ้นด้วย ดังนี้

            [๕๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นพรหมก็ดี พวกพรหมบริษัทก็ดี พวกพรหมปาริสัชชะ ก็ดี ได้มีความแปลกปลาด อัศจรรย์จิตว่า ดูกรท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ แปลกปลาด หนอ พระสมณโคดม มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ก่อนแต่นี้ พวกเราไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน สมณะหรือพราหมณ์อื่นที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เหมือนพระสมณโคดมนี้ ผู้ออก ผนวชแต่ศากยสกุล ถอนภพพร้อมทั้งรากแห่งหมู่สัตว์ ผู้รื่นรมย์ยินดีในภพ เมาในภพ


มารเข้าสิงกายพรหมปาริสัชชะ

            [๕๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มารผู้ลามก เข้าสิงกายพรหม ปาริสัชชะ ผู้หนึ่ง แล้วกล่าวกะเราว่า ดูกรท่าน ผู้นฤทุกข์ ถ้าท่านรู้จักอย่างนี้ ตรัสรู้อย่างนี้ ก็อย่าแนะนำ อย่าแสดงธรรมอย่าทำความยินดี กะพวกสาวกและพวก บรรพชิตเลย.

            ดูกรภิกษุ สมณะและพราหมณ์พวกก่อนท่านผู้ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก สมณะ และ พราหมณ์พวกนั้น แนะนำแสดงธรรม ทำความ ยินดี กะพวกสาวกและพวกบรรพชิต ครั้นกายแตกขาดลมปราณ ก็ไปเกิดในหีนกาย.

            ส่วนสมณะและพราหมณ์พวกก่อนท่าน ผู้ปฏิญญาว่าเป็นพระอรหันมสัมมา สัมพุทธเจ้า ในโลก สมณะ และ พราหมณ์ พวกนั้น ไม่แนะนำ ไม่แสดงธรรม ไม่ทำความยินดี กะพวกสาวกบรรพชิต ครั้นกายแตกขาดลมปราณ ก็ไปเกิดใน ปณีตกาย. ดูกรภิกษุ เพราะฉะนั้น เราจึงบอกกะท่านอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ เชิญท่านเป็นผู้มักน้อย ตามประกอบความอยู่สบายในชาตินี้อยู่เถิด เพราะการไม่บอก เป็นความดี ท่านอย่า สั่งสอนสัตว์อื่นๆ เลย.

            ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก เรารู้จัก ท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่าพระสมณะไม่รู้จักเรา ท่านเป็นมาร ท่านหามีความ อนุเคราะห์ ด้วยจิตเกื้อกูลไม่ จึงกล่าวกะเราอย่างนี้ ท่านไม่มี ความอนุเคราะห์ ด้วยจิต เกื้อกูล จึงกล่าวกะเราอย่างนี้. ท่านมีความดำริว่า พระสมณโคดมจัก แสดงธรรม แก่ชน เหล่าใด ชนเหล่านั้น จักล่วงวิสัยของเราไป. ก็พวกสมณะและ พราหมณ์นั้น มิได้เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ปฏิญญาว่าเราทั้งหลาย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

            ดูกรมารผู้ลามก เราแลเป็นสัมมาสัมพุทธะ ย่อมปฏิญญาว่า เราเป็น สัมมาสัมพุทธะ

            ดูกรมารผู้ลามก ตถาคตแม้เมื่อแสดงธรรมแก่พวกสาวก ก็เป็นเช่นนั้น แม้เมื่อไม่แสดง ธรรมเก่าพวกสาวก ก็เป็นเช่นนั้น ตถาคตแม้เมื่อแนะนำพวกสาวก ก็เป็นเช่นนั้น แม้เมื่อ ไม่แนะนำพวกสาวกก็เป็นเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะเหต อะไร

            เพราะอาสวะเหล่าใด อันให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความกระวน กระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ มีชาติ ชรา มรณะ ต่อไป อาสวะเหล่านั้น ตถาคตละ เสียแล้ว มีรากเหง้าอันถอนขึ้นแล้ว ทำไม่ให้มี ที่ตั้งดังว่าต้นตาล แล้วทำไม่ ให้มีต่อไปแล้ว มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เหมือนต้นตาลมียอดถูกตัด เสียแล้ว ไม่อาจ งอกงาม อีกได้ ฉะนั้น.

            ไวยากรณภาษิตนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว โดยมารมิได้เรียกร้อง และโดย พรหม เชื้อเชิญ ดังนี้ เพราะฉะนั้น ไวยากรณภาษิตนี้ จึงมีชื่อว่าพรหมนิมันตนิกสูตร ฉะนี้แล.

จบ พรหมนิมันตนิกสูตร ที่ ๙

 

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์