พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๓ สมุททกสูตรที่ ๑๐ [๘๙๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล ฯลฯ [๙๐๐] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ฤาษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม มากรูปด้วยกัน อาศัยอยู่ในกุฎีที่มุงบัง ด้วยใบไม้ แทบฝั่งสมุทร ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้นแล สงครามระหว่างพวกเทวดา กับอสูรได้ประชิด กันแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พวกฤาษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้น พากันคิด เห็นว่า พวกเทวดาตั้งอยู่ในธรรม พวกอสูรไม่ตั้งอยู่ในธรรม ภัยนั้น พึงเกิดแก่พวกเรา เพราะอสูรโดยแท้ อย่ากระนั้นเลยพวกเราควรเข้าไปหา ท้าวสมพร จอมอสูร แล้วขอ อภัยทานเถิด [๙๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ฤาษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้น ได้อันตรธาน ไปในบรรณกุฎีแทบฝั่งสมุทร ไปปรากฏอยู่ตรงหน้า ท้าวสมพร จอมอสูร เหมือนบุรุษมี กำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขน ที่เหยียด ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลายลำดับนั้น พวกฤาษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้น ได้กล่าว กะท้าวสมพรจอมอสูร ด้วยคาถาว่าฯ พวกฤาษีมาขออภัยกะท่านท้าวสมพร การให้ภัย หรือให้อภัยท่านกระทำได้โดยแท้ [๙๐๒] ท้าวสมพรจอมอสูรได้กล่าวตอบว่า การอภัยไม่มีแก่พวกฤาษี ผู้ชั่วช้าคบหาท้าวสักกะ เราให้เฉพาะแต่ภัยเท่านั้น แก่พวกท่านผู้ขออภัย [๙๐๓] พวกฤาษีกล่าวว่าท่านให้เฉพาะแต่ภัยเท่านั้น แก่พวกเราผู้ขออภัย พวกเรา ขอรับเอาแต่อภัยอย่างเดียว ส่วนภัยจงเป็นของท่านเถิด บุคคลหว่าน พืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว แน่ะพ่อ ท่านหว่าน พืชลงไป ไว้แล้ว ท่านจักต้องเสวยผลของมัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลฤาษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้น ได้สาปแช่ง ท้าวสมพร จอมอสูร แล้วอันตรธานหายไป ในที่ตรงหน้าท้าวสมพร จอมอสูร แล้วไปปรากฏอยู่ใน บรรณกุฎีแทบฝั่งสมุทร เปรียบเหมือนบุรุษ มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น [๙๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสมพรจอมอสูร ถูกฤาษีผู้มีศีลมี กัลยาณธรรม เหล่านั้น สาปแช่งแล้ว ได้ยินว่า ในคืนวันนั้น ตกใจหวาดหวั่นถึง สามครั้ง