อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคนำ (ตอน1) หน้า 184
อัสสาทะชั้นเลิศของเวทนา (รสอร่อยของเวทนา)
ภิกษุ ท. ! อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่
ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่
ในสมัยนั้น เธอย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ตนเอง ย่อมไม่คิด แม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ผู้อื่น และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิด ความเดือดร้อนแก่ ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย
ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า มีการไม่ทำ ความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่
ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุฌานที่สองอันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ
ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่ ในสมัยนั้นเธอย่อมไม่คิดแม้ในทาง ที่จะให้ เกิดความเดือดร้อน แก่ ตนเอง ย่อมไม่คิดแม้ในทาง ที่จะให้เกิดความเดือดร้อน แก่ผู้อื่น และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ตนเองและ ผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนาอันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ(รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า มีการไม่ทำ ความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริย เจ้าทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท. ! ในสมัยใดภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ สัมปชัญญะเสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้า ทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ แล้วแลอยู่
ในสมัยนั้น เธอย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ตนเอง ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ผู้อื่น และย่อมไม่คิดแม้ในทาง ที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย
ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า มีการไม่ทำ ความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุ, เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่
ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะละสุขเสียได้และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะ ความดับหายไปแห่งโสมนัส และโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ ในสมัยนั้น เธอ ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ตนเอง ย่อมไม่คิดแม้ในทาง ที่จะ ให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ผู้อื่น และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความ เดือดร้อนแก่ ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย
ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำ ความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่งแล |