|
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๒ – ๔๙
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่าวิปัสสี
[๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่าไฉนหนอเราพึงแสดงธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริ ว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นธรรมลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้ มีอาลัย เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบาน แล้วในอาลัยก็อันหมู่สัตว์ผู้มีอาลัย เป็นที่ยินดี ยินดีแล้ว ในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ยากที่จะเห็นได้
ซึ่งฐานะนี้ คือปัจจัยแห่งสภาวธรรมอันเป็นที่อาศัยกันเกิดขึ้น(ปฏิจจสมุบาท) ยากที่จะเห็นได้ ซึ่งฐานะ แม้นี้คือพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คลายความ กำหนัด ดับทุกข์ ก็และเราพึงแสดงธรรม แต่สัตว์เหล่าอื่นไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา นั้นพึงเป็นความลำบากแก่เรา นั้นพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าคาถาทั้งหลายที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักซึ่งพระองค์ มิได้เคยสดับมาแล้ว แต่ก่อน ได้แจ่มแจ้งกะพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ดังนี้ บัดนี้ ไม่ควรเลย ที่จะประกาศธรรม ที่เราได้บรรลุแล้วโดย แสนยาก ธรรมนี้ อันสัตว์ที่ถูกราคะและโทสะครอบงำแล้วไม่ตรัสรู้ ได้โดยง่าย สัตว์ที่ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองแห่งความมืดหุ้มห่อไว้แล้ว จักเห็นไม่ได้ซึ่งธรรม ที่มีปรกติ ไปทวนกระแสอันละเอียดลึกซึ้ง เห็นได้ยากเป็นอณู
[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี พิจารณาเห็นดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย
มิได้น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมฯ
[๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งได้ ทราบ พระปริวิตกในพระทัย ของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ด้วยใจ แล้วจึงดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจะฉิบหายเสียละหนอ ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจะพินาศเสียละหนอเพราะว่าพระทัยของพระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย เสียแล้ว มิได้น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรม ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลท้าวมหาพรหมนั้นหายไปในพรหมโลก
มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เหมือนบุรุษที่มีกำลัง เหยียดออกซึ่งแขน ที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้า ซึ่งแขนที่ได้ เหยียดออกไว้ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมกระทำผ้าอุตตราสงค์ เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกชาณุ มณฑล เบื้องขวา ลงบนแผ่นดิน ประนมมือไปทาง ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรม ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ขอพระสุคต จงทรงแสดงธรรม ในโลกนี้สัตว์ที่มีกิเลส เพียงดังธุลีในจักษุ เบาบางยังมีอยู่เพราะ มิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังจักมีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวมหาพรหมนั้นกราบทูลเช่นนี้ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ตรัส กะท้าวมหาพรหมนั้นว่า ดูกรพรหม แม้เราก็ได้ดำริแล้วเช่นนี้ว่า ไฉนหนอเราพึง แสดงธรรม ดูกรพรหม แต่เรานั้น ได้คิด
เห็นดังนี้ว่าธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียดรู้ได้เฉพาะบัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้ มีอาลัยเป็น ที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้ว ในอาลัย ก็อันหมู่สัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้ว ในอาลัย เบิกบานแล้ว ในอาลัย ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะนี้ คือปัจจัยแห่งสภาวธรรม อันเป็นที่อาศัยกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุบาท) ยากที่จะเห็นได้ ซึ่งฐานะแม้นี้คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับ แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไป แห่งตัณหา คลายความ กำหนัด ดับทุกข์ ก็และเราพึงแสดงธรรม แต่สัตว์เหล่าอื่น ไม่พึงรู้ทั่วถึง ธรรมของเรา นั้นพึงเป็นความลำบากแก่เรา นั้นพึงเป็นความเดือดร้อน แก่เรา
ดูกรพรหม คาถาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งเรามิได้สดับมาแล้วแต่ก่อน หรือได้ แจ่มแจ้งแล้วดังนี้ บัดนี้ไม่ควรเลยที่จะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้วโดยแสนยาก ฯลฯ ดูกรพรหม เมื่อเราพิจารณาเห็นดังนี้ จิตก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย มิได้น้อมไปเพื่อจะแสดงธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง ท้าวมหาพรหมนั้นก็ได้กราบทูล พระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ดังนั้น..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม ท้าวมหาพรหมนั้นก็ได้กราบทูล พระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้ มีพระภาคจงทรงแสดงธรรม ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรม ในโลกนี้สัตว์ ที่มีกิเลส เพียงดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะมิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้รู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังจักมีอยู่ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ทรงทราบการทูลเชิญของพรหม แล้วทรงอาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงได้ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี เมื่อทรงตรวจดูโลก ด้วยพุทธจักษุ ก็ได้ทรงเห็น หมู่สัตว์ บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย บางพวกมีกิเลสเพียง ดังธุลีใน จักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ง่าย บางพวกจะพึงให้รู้แจ้ง ได้ยากบางพวกเป็นภัพพสัตว์ บางพวกเป็นอภัพพสัตว์ บางพวกมักเห็นปรโลก และโทษโดยความเป็นภัย
ในกออุบล หรือกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว (อุปมามนุษย์เหมือนบัว 3 เหล่า) ดอกอุบล ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ น้ำเลี้ยง อุปถัมภ์ไว้ บางเหล่า ยังจมอยู่ภายในน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่า ตั้งขึ้นพ้นน้ำ อันน้ำมิได้ติดใบ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ที่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ทรงตรวจดูด้วย พุทธจักษุทรงเห็น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลี ในจักษุมาก บางพวก มีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม
บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ง่าย บางพวกจะพึงให้รู้แจ้ง ได้ยาก บางพวกเป็นภัพพสัตว์ บางพวกเป็นอภัพพสัตว์ บางพวกมักเห็นปรโลก และโทษ โดยความเป็นภัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมทราบพระปริวิตกในพระทัย ของพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีด้วยใจ แล้วจึงได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ด้วยคาถา ทั้งหลายความว่า
[๔๕] ผู้ที่ยืนอยู่ยอดภูเขาสิลาล้วน พึงเห็นประชุมชนได้โดยรอบ ฉันใด ท่านผู้มีเมธาดี มีจักษุ โดยรอบ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ขึ้นสู่ปราสาทอันสำเร็จแล้ว ด้วยธรรม เป็นผู้ปราศจากความเศร้าโศก ทรงพิจารณาเห็นประชุม ชนผู้เกลื่อนกล่นไป ด้วยความเศร้า โศกถูกชาติและชราครอบงำแล้ว ข้าแต่ พระองค์ผู้กล้าผู้ชนะสงคราม แล้ว เป็นนายพวกปราศจากหนี้ ขอพระองค์จงเสด็จลุกขึ้น เปิดเผยโลก ขอผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรมผู้ที่รู้ทั่ว ถึงธรรมได้ ยังจักมี
[๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวมหาพรหมนั้นได้กราบทูลแล้ว ดังนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี จึงได้ตรัสกะ ท้าวมหาพรหมนั้นด้วยพระคาถาว่า เราได้เปิดเผยประตู อมตะไว้สำหรับท่านแล้ว ผู้มีโสตจงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เรารู้สึกลำบาก จึงมิได้กล่าวธรรม อันประณีต ซึ่งเราให้คล่องแคล่วแล้ว ในหมู่มนุษย์ ดังนี้
[๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมคิดว่าเราเป็นผู้ มีโอกาส อันพระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงกระทำแล้ว เพื่อจะทรงแสดงธรรม จึงถวายบังคมพระผู้มี พระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี กระทำประทักษิณ แล้วหายไป ณ ที่นั้นเองฯ
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ทรงพระดำริว่า เราควรแสดง ธรรมแก่ใครก่อนเล่าหนอ ใครจะรู้ ทั่วถึง ธรรมนี้ ได้เร็วพลันทีเดียว ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่า พระราชโอรส พระนามว่า ขัณฑะ และ บุตรปุโรหิต ชื่อว่า ติสสะ นี้ผู้อาศัยอยู่ในพระนครพันธุมดี ราชธานี เป็นคนฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีกิเลสเพียง ดังธุลีในจักษุเบาบางสิ้น กาลนาน ไฉนหนอ เราพึงแสด งธรรมแก่ พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะและบุตร ปุโรหิตชื่อว่า ติสสะก่อน คนทั้งสองนั้นจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ ได้รวดเร็วทีเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้หายพระองค์ที่ ควงโพธิพฤกษ์ ไปปรากฏพระองค์ ณ มฤคทายวัน ชื่อว่า เขมะ ในพระนครพันธุมดี ราชธานี เปรียบเหมือนบุรุษที่กำลัง เหยียด ออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่ได้เหยียดออกไว้ ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า
พระนามว่าวิปัสสี ตรัสเรียกคนเฝ้าสวนมฤคทายวันมาว่า มานี่ นายมฤคทายบาล เธอจงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานี แล้วบอกกะพระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อ ติสสะ ดังนี้ว่าพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้เสด็จถึงพระนครพันธุมดีราชธานีแล้ว กำลังประทับอยู่ที่ มฤคทายวันชื่อว่าเขมะ พระองค์ทรงพระประสงค์จะพบท่านทั้งสอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายมฤคทายบาลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสีแล้ว เข้าไปยัง พระนครพันธุมดี แล้ว แจ้งข่าว กะพระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และ บุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะ ว่าพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เสด็จถึงพระนคร พันธุมดีราชธานีแล้ว กำลังประทับอยู่ที่มฤคทายวันชื่อว่าเขมะ พระองค์ทรงพระประสงค์ที่จะพบท่าน ทั้งสอง
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระราชโอรสพระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิต ชื่อว่าติสสะ สั่งให้บุรุษเทียมยานที่ดีๆ แล้วขึ้นสู่ยานที่ดีๆ ออกจากพระนครพันธุมดี ราชธานีพร้อมกับยานดีๆ ทั้งหลาย ขับตรงไปยังมฤคทายวัน ชื่อว่าเขมะ ไปด้วย ยาน ตลอดภูมิประเทศ เท่าที่ยานจะไปได้แล้ว ลงจากยาน เดินตรง เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม ว่าวิปัสสีแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัส อนุปุพพิกถา*แก่ท่านทั้งสอง นั้น คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์ในการ ออกบวช *(แสดงธรรมตามลำดับเพื่อชำระจิตให้ผ่องใส ก่อนจะตรัสเรื่องอริยสัจ)
เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่าท่านทั้งสองนั้นมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรงประกาศธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดง ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ พระราชโอรส พระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อว่าติสสะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็น ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้า ที่สะอาด ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น ท่านทั้งสองนั้น เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในสัตถุศาสนาได้ กราบทูลพระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ ก็แจ่มแจ้ง นักเปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีป ในที่มืด ด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้
ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคและพระธรรมว่าเป็น ที่พึ่งขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิต ชื่อว่า ติสสะได้บรรพชา ได้อุปสมบท ในสำนักของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสีพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ทรงยังท่านทั้งสองนั้น ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วย ธรรมีกถา แล้วประกาศโทษของสังขารอันต่ำช้าเศร้าหมองและ อานิสงส์ในการ ออกบวช จิตของท่านทั้งสองนั้น ผู้อัน พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา ไม่นานนัก ก็หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น
[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนชาวพระนครพันธุมดีราชธานี ประมาณ ๘๔,๐๐๐คน ได้สดับ ข่าวว่า พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เสด็จถึงพระนครพันธุมดีราชธานี โดยลำดับแล้ว ประทับอยู่ ณ มฤคทายวัน ชื่อ เขมะ ข่าวว่าพระราชโอรส พระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อ ติสสะ
ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต ณ สำนักของพระ ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม วิปัสสีแล้ว
ดังนี้ คนเหล่านั้นครั้น ได้ฟังแล้วต่างคิดเห็นกันว่า ก็พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และ บุตร ปุโรหิต ชื่อว่า ติสสะ ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวช เป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยใด พระธรรมวินัยนั้นคงไม่ต่ำทรามแน่นอน บรรพชานั้นคงไม่ต่ำทราม แต่พระราชโอรส พระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิต ชื่อว่า ติสสะ ยังปลง ผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิตได้ ไฉนพวกเราจึงจัก ออกบวช เป็นบรรพชิต บ้างไม่ได้เล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล หมู่มหาชนประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้ชวนกัน ออกจากพระนคร พันธุมดีราชธานี เข้าไปทาง เขมมฤคทายวัน ที่พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคม พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพิกถาแก่ชนเหล่านั้น คือทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์ใน การออกบวช
เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่า ชนเหล่านั้น มีจิตคล่อง มีจิตอ่อนมีจิต ปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรงประกาศพระธรรม เทศนาที่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่หมู่ มหาชน ๘๔,๐๐๐ คน นั้นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไป เป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแลเหมือนผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น ชนเหล่านั้น เห็นธรรม ถึงธรรมรู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัยปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความ แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในสัตถุศาสนา ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม ว่าวิปัสสี ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง นักข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงาย ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีป ในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึง พระผู้มีพระภาค กับพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มี พระภาค ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คนเหล่านั้น ได้บรรพชา ได้อุปสมบท ในสำนักของ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี แล้ว พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ทรงยัง ภิกษุเหล่านั้นให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงประกาศโทษ ของสังขารที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์ในพระนิพพาน จิตของภิกษุเหล่านั้น ผู้อันพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา ไม่นานนัก ก็หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้น ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เสด็จถึง พระนคร พันธุมดีราชธานีโดยลำดับประทับอยู่ ณ มฤคทายวัน ชื่อว่า เขมะ และมีข่าวว่า กำลังทรง แสดงธรรมอยู่ ภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป เหล่านั้น ได้พากันไป ทางพระนครพันธุมดีราชธานีทางมฤคทายวันชื่อว่า เขมะ ที่พระผู้มี พระภาคอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ประทับอยู่
ครั้นถึงแล้ว ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี แล้วพากัน นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพิกถา แก่บรรพชิต เหล่านั้น คือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกาม ที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และ อานิสงส์ ในการออกบวช เมื่อทรงทราบว่า บรรพชิตเหล่านั้นมีจิตคล่องมีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรงประกาศ พระธรรมเทศนาที่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงยกขึ้น แสดง ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมที่ ปราศจาก ธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปนั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ทั้งมวล มีความ ดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่ สะอาดปราศจากมลทินควร รับน้ำย้อม ด้วยดี ฉะนั้น
บรรพชิตเหล่านั้น เห็นธรรม ถึงธรรมรู้ แจ้งธรรม หยั่ง ทราบธรรม ข้ามความ สงสัย ปราศจากความ เคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นใน สัตถุสาสนา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธ เจ้าพระนามว่า วิปัสสีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคล หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีป ในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรม โดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เหล่านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ พวกข้า พระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้นได้บรรพชาได้ อุปสมบท ในสำนักของ พระผู้มี พระภาค พระนามว่าวิปัสสีแล้ว พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงยังภิกษุ เหล่านั้นให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาทรงประกาศโทษของสังขาร ที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์ใน พระนิพพาน จิตของภิกษุเหล่านั้น ผู้อันพระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาไม่นานนัก ก็หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่นฯ
[๕๑] ก็สมัยนั้น ในพระนครพันธุมดีราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่มาก ประมาณหกล้านแปดแสนรูป ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีผู้เสด็จเร้นอยู่ ในที่ลับ เกิดความรำพึงในพระทัยว่า บัดนี้ในพระนคร พันธุมดีราชธานีมีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ประมาณหกล้าน แปดแสนรูป ถ้ากระไร เราพึงอนุญาตภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยว จาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากเพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ อนุเคราะห์ สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทพดา และมนุษย์ ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป
เธอทั้งหลายจงแสดงธรรม งามในเบื้องต้นงามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวกนี้ที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุ เบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี แต่ว่าโดย หกปีๆ ล่วงไป พวกเธอพึงกลับมายังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อแสดงพระปาติโมกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ได้ทราบความ รำพึง ในพระทัยของพระ ผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ด้วยใจ แล้ว จึงได้หายตัวที่พรหมโลก ไปปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์ ของพระผู้มี พระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เปรียบเหมือนบุรุษ ที่มีกำลัง เหยียดออก ซึ่งแขน ที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกไว้ ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทันใดนั้น ท้าวมหาพรหมนั้นกระทำ ผ้าอุตตราสงค์
เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนม อัญชลี ไปทางที่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ในพระนคร พันธุมดีราชธานีมี ภิกษุสงฆ์อาศัย อยู่เป็นจำนวนมาก ประมาณหกล้านแปดแสนรูป
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงอนุญาต ภิกษุทั้งหลาย เถิดว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไปทางเดียว กันสองรูป
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามใน ท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวกที่มี กิเลสเพียงดังธุลี ในจักษุเบาบาง ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรม ได้ยังจักมี ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็จักกระทำโดยที่จะให้ภิกษุทั้งหลาย กลับมายังพระนคร พันธุมดีราชธานี เพื่อแสดง พระปาติโมกข์โดยหกปีๆ ล่วงไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวมหาพรหมนั้นได้กราบทูลดังนี้แล้วถวายบังคมพระ ผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี กระทำประทักษิณแล้ว หายไป ณ ที่นั้นเอง
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ในเวลาเย็น เสด็จออกจากที่เร้น แล้วตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลาย มาว่า ภิกษุทั้งหลาย วันนี้เราไปเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความรำพึงในใจว่า ในพระนคร พันธุมดี ราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากประมาณหกล้าน แปดแสนรูป ถ้ากระไร เราพึงอนุญาตภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยว จาริกไปเพื่อ ประโยชน์ แก่ชน เป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ อนุเคราะห์ สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดา และ มนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ ไปทางเดียวกันสองรูป
เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงาม ในเบื้องต้น งามใน ท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวกที่มีกิเลส เพียงดังธุลีในจักษุ เบาบาง ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสีย ไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี แต่ว่าโดย หกปีๆ ล่วงไป พวกเธอพึงกลับมายัง พระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อแสดงปาติโมกข์ ภิกษุทั้งหลาย
ทันใดนั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ได้ทราบความรำพึงในใจ ของเราด้วยใจ แล้วจึงได้หายตัว ที่พรหมโลก มาปรากฏเฉพาะหน้าเรา เปรียบเหมือน บุรุษที่มีกำลัง เหยียด ออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้า ซึ่งแขนที่เหยียดออกไว้ ฉะนั้น
ภิกษุทั้งหลาย ที่นั้น ท้าวมหาพรหมนั้น กระทำผ้าอุตตราสงค์ เฉวียงบ่า ข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี มาทางเราแล้ว พูดกะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็น อย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่าง นั้น บัดนี้ในพระนครพันธุมดีราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ประมาณ หกล้านแปดแสนรูป ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงอนุญาตภิกษุ ทั้งหลายเถิดว่า
ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชน เป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทพดาและมนุษย์ ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไป ทางเดียวกัน สองรูป ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้สัตว์พวก ที่มีกิเลสเพียงดัง ธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึง ธรรมได้ยังจักมี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญแม้ข้าพระองค์ก็จักกระทำโดยที่จะให้ภิกษุทั้งหลาย กลับมายัง พระนคร พันธุมดีราชธานี เพื่อแสดงพระปาติโมกข์โดยหกปีๆ ล่วงไป ภิกษุทั้งหลาย ท้าวมหาพรหมนั้น พูดกะเรา ดังนี้แล้วไหว้เรา กระทำประทักษิณแล้วหายไป ในที่นั้นเองฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์ แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ เทพดา และมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไป ทางเดียวกันสองรูป
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงแสดง ธรรมงาม ในเบื้องต้นงาม ในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง พยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวก ที่มีกิเลสเพียงดังธุลีใน จักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมสัตว์ พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึง ธรรมได้ ยังจักมีแม้เรา ก็จักกระทำ โดยที่ให้ พระนครพันธุมดีเป็นสถานที่อันเธอ ทั้งหลายพึงกลับมา แสดงพระปาติโมกข์ โดยหกปีๆ ล่วงไป ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายได้เที่ยวจาริกไปในชนบท โดยวันเดียว เท่านั้น โดยมาก
[๕๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ในชมพูทวีปมีอาวาสอยู่ ๘๔,๐๐๐ อาวาส เมื่อล่วงไปได้พรรษาหนึ่งแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้อง ประกาศว่า ข้าแต่ท่าน ผู้นิรทุกข์ ทั้งหลาย ล่วงไปพรรษา หนึ่งแล้ว บัดนี้ ยังเหลือห้าพรรษา โดยอีก ห้าพรรษา ล่วงไป ท่านทั้งหลาย พึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อสวด พระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้สองพรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่า ข้าแต่ท่านผู้ นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปสองพรรษาแล้ว บัดนี้ยังเหลือสี่พรรษา โดยอีกสี่พรรษาล่วงไป
ท่านทั้งหลายพึง เข้าไปยังพระนคร พันธุมดีราชธานีเพื่อสวด พระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้ สามพรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่า ข้า แต่ท่านผู้นิรทุกข์ ทั้งหลาย ล่วงไปสามพรรษาแล้ว บัดนี้ ยังเหลือสามพรรษา โดยอีกสามพรรษาล่วงไป ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดี ราชธานี เพื่อสวดพระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้สี่พรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปสี่พรรษาแล้ว บัดนี้ยังเหลือสองพรรษา โดยอีกสองพรรษาล่วงไป
ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อสวดพระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้ห้าพรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่าข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์
ทั้งหลายล่วงไปห้าพรรษาแล้ว บัดนี้ ยังเหลือพรรษาเดียว โดยอีกพรรษาเดียวล่วงไป
ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อสวดพระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้ หกพรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่า ล่วงไปหกพรรษา แล้ว บัดนี้ถึงเวลาละท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนคร พันธุมดีราชธานี เพื่อสวด พระปาติโมกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้น บางพวกไปด้วย อิทธานุภาพ ของตน บางพวก ไปด้วย อิทธานุภาพของเทวดา เข้าไปยัง พระนครพันธุมดี ราชธานี โดยวันเดียวนั้น เพื่อสวดพระปาติโมกข์
[๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมม าสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ทรงสวดพระปาติโมกข์ ในที่ประชุม พระภิกษุสงฆ์ ดังนี้ ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพาน เป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ทำร้ายผู้อื่นผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่า เป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึง พร้อม การทำจิต ของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบ ความเพียรในอธิจิต ๑ หกอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย
[๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ควงไม้พญาสาลพฤกษ์ ใน ป่าสุภวันใกล้อุกกัฏฐนคร ภิกษุทั้งหลายเมื่อเรานั้น ไปเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความ รำพึง ในใจว่า ชั้นสุทธาวาสซึ่งเรามิได้เคยอยู่เลย โดยเวลาอันยืดยาวนานนี้ นอกจาก เทวดา เหล่า สุทธาวาสแล้ว ไม่ใช่โอกาสที่ใครๆ จะได้โดยง่าย ถ้ากระไร เราพึงเข้า ไปหาเทวดาเหล่าสุทธาวาสจนถึงที่อยู่ ภิกษุทั้งหลายทันใดนั้น เราได้หายไปที่ควงไม้ พญาสาลพฤกษ์ ในป่าสุภวันใกล้อุกกัฏฐนคร ไปปรากฏในพวกเทพดาเหล่าอวิหา เปรียบเหมือนบุรุษ ที่มีกำลัง เหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียด ออกไว้ ฉะนั้น ฯ
.................................................................................................................................................
(1)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่า วิปัสสี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นแล เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น เทพดาเหล่านั้น ยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ นับแต่นี้ไป ๙๑ กัป
พระผู้มีพระ ภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เสด็จ อุบัติในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เป็นกษัตริย์ โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติยสกุล เป็นโกณฑัญญะ โดยพระโคตร มีพระชนมายุ ประมาณแปดหมื่นปี พระองค์ได้ ตรัสรู้ที่ควงไม้ แคฝอย มีพระขันฑเถระ และพระติสสเถระ เป็นคู่ พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้ นิรทุกข์
การประชุมกันแห่งพระสาวกของ พระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้มีแล้วสามครั้ง
ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ หกล้านแปดแสนรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวก ประชุมกันเป็น จำนวนแสนรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวน แปดหมื่นรูป
พระสาวกของ พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ที่ได้ประชุมกัน ทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็น พระขีณาสพ(อรหันต์) ทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่ออโสกะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐาก ของพระผู้มี
พระภาคอรหันตสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี พระราชาพระนามว่า พันธุมา เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่า พันธุมดีเป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของ พระองค์ พระนครชื่อว่าพันธุมดี เป็นราชธานี ของพระเจ้าพันธุมา ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ การออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้การ ประกาศ พระธรรมจักรของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสี คลายกามฉันท์ ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้ บังเกิดในที่นี้
(2)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่า สิขี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าว กะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์นับ แต่นี้ไป ๓๑ กัป พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติเสด็จอุบัติในขัตติยสกุล เป็นโกณฑัญญะ โดยโคตร มีพระชนมายุประมาณเจ็ดหมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้ ที่ควงไม้ กุ่มบก มีพระอภิภูเถระ และ พระสัมภวเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่ อันเจริญ
การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ได้มีแล้วสามครั้ง
ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ แสนรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวก ประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ แปดหมื่นรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ เจ็ดหมื่นรูป
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีที่ได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพ ทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุผู้อุปัฏฐาก ชื่อ เขมังกระ ได้เป็นอัครอุปัฏฐาก ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี พระราชา พระนามว่า อรุณะ เป็นพระชนก พระเทวี พระนามว่าปภาวดี เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของ พระองค์ พระนครชื่อว่าอรุณวดี เป็นราชธานีของพระเจ้าอรุณ
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การ ประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นอย่างนี้ๆ พวกข้าพระองค์ นั้นประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลาย แล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้
(3)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่า เวสภู
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้ เข้าหาเรา ครั้นเข้ามา หา ไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นเทวดา เหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ใน กัปที่ ๓๑ นั้นเอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เวสสภู ได้เสด็จ อุบัติ ในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติยสกุล เป็น โกณฑัญญะ โดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณหกหมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้ ที่ควงไม้ สาลพฤกษ์ มีพระโสนเถระ และพระอุตตร เถระเป็นคู่พระอัครสาวกซึ่งเป็นคู่ อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภูได้มีแล้ว สามครั้ง
ครั้งหนึ่ง มีสาวกประชุมกันเป็นจำนวน แปดหมื่นรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ เจ็ดหมื่นรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ หกหมื่นรูป
สาวกของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ที่ได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า อุปสันตะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐาก ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู พระราชาพระนามว่าสุปปตีตะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่าสวดี เป็น พระชนนีบังเกิดเกล้าของพระองค์ พระนครชื่อว่าอโนมะ เป็นราชธานี ของพระเจ้า สุปปตีตะ
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้ นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เวสสภู คลาย กามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้ ฯ
(4)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่า กกุสันธะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้วได้ยืนอยู่ ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นเทพดา เหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะเราว่า
ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัป นี้เอง พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในพราหมณสกุล เป็นกัสสปะ โดย พระโคตร มีพระชนมายุประมาณสี่หมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ ควงไม้ซีก มีพระวิธูรเถระและ พระสัญชีวเถระ เป็นคู่พระ อัครสาวก ซึ่งเป็นคู่ อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
การประชุมกันแห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า กกุสันธะ ได้มีแล้วครั้งเดียวเป็นจำนวนภิกษุ สี่หมื่นรูป
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ สาวกของ พระผู้มี พระภาคอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ที่ได้ประชุมกัน ครั้งเดียวนี้ล้วนแต่เป็น พระขีณาสพ ทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐาก ชื่อว่า วุฑฒิชะ ได้เป็นอัคร อุปัฏฐากของ พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ พราหมณ์ ชื่ออัคคิทัตตะ เป็นพระชนกพราหมณี ชื่อว่า วิสาขา เป็นพระชนนีบังเกิด เกล้าของ พระองค์ ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ ก็เวลานั้นพระเจ้าเขมะ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนครชื่อว่า เมมวดี เป็นราชธานี ของพระเจ้าเขมะ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศ พระธรรมจักร ของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์ นั้นประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้ บังเกิดในที่นี้ ฯ
(5)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้า มาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัป นี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในพราหมสกุล เป็นกัสสปะ โดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสามหมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้ ที่ควงไม้มะเดื่อ มีพระภิยโยสเถระ และพระอุตตรเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่ อันเจริญ
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งสาวกของพระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ ได้มีแล้วครั้งเดียวเป็นจำนวนภิกษุ สามหมื่นรูป พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐาก ชื่อโสตถิชะ เป็นอัครอุปัฏฐาก ของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ
ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ พราหมณ์ชื่อว่ายัญญทัตตะ เป็นพระชนก พราหมณี ชื่อว่า อุตตรา เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของพระองค์ ก็ครั้งนั้นพระเจ้าโสภะ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนคร ชื่อว่าโสภวดี เป็นราชธานีของ พระเจ้าโสภะ ข้าแต่ พระองค์ ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศ พระธรรมจักรของ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะเป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ คลายกามฉันท์ ในกามทั้งหลายแล้วจึงได้บังเกิดในที่นี้
(6)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระนามว่า กัสสปะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพัน เป็นอันมาก ได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้วได้ยืนอยู่ ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นเทวดา เหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัป นี้เอง พระผู้ม พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติ ในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์ โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในพราหมณสกุล เป็นกัสสปะ โดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสองหมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้ไทร มีพระติสสเถระและพระภารทวาชเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้มีแล้วครั้งเดียวเป็นจำนวนภิกษุ สองหมื่นรูป
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนแต่เป็นพระ ขีณาสพ ทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า สัพพมิตะ ได้เป็น อัครอุปัฏฐาก ของพระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ พราหมณ์ชื่อพรหมทัตต์ เป็นพระชนก พราหมณี ชื่อ ธนวดี เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของพระองค์
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ครั้งนั้นพระเจ้ากิงกี เป็น พระเจ้าแผ่นดิน พระนคร พาราณสี เป็นราชธานีของพระเจ้า กิงกีข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียรการตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่ พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติ พรหมจรรย์ใน พระผู้มี พระภาค พระนามว่า กัสสปะ คลายกามฉันท์ ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้
(7)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระโคตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหา ไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัป นี้เอง บัดนี้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติยสกุลเป็นโคตม โดย พระโคตร ประมาณพระชนมายุของพระผู้มีพระภาค น้อยนิดเดียวเร็วพลัน ผู้ที่มีชีวิตอยู่นาน ก็เป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี บางทีก็มีชีวิตอู่ น้อยกว่าบ้า มากกว่าบ้าง
พระผู้มีพระภาค
ตรัสรู้ ที่ควงไม้โพธิ์ มีพระสารีบุตรเถระ และพระโมคคัลลานเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญของพระผู้มีพระภาค
ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาค ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็นจำนวน ภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ สาวกของ พระผู้มีพระภาคที่ได้ประชุม กัน ครั้งเดียวนี้ ล้วนแต่เป็น พระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อ อานันทะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐาก ของพระผู้มี พระภาค ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ พระราชาพระนาม ว่าสุทโธทนะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่า มายา เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของ พระผู้มีพระภาคพระนคร ชื่อกบิลพัสดุ์ เป็นราชธานี
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหา ภิเนษกรมณ์ การบรรพชา
การตั้ง
ความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาค เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติ พรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค คลายกามฉันท์ในกาม ทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้
|