เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
เรื่องยสกุลบุตร ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ
               (
อรรถกถา เรื่องแต่งใหม่)
310  
 
  (โดยย่อ)

ยส เป็นบุตรของเศรษฐี รู้สึกเบื่อหน่าย จึงเปล่งอุทาน ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ว่า “ท่านผู้เจริญ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” ทันทีนั้นพระผู้มีพระภาคตรัส ดูกรยส ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิดยส เราจักแสดงธรรม... เมื่อยสเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้ว ทรงแสดง อนุปุพพิกถา คือ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกาม ตามด้วยพระธรรมเทศนา คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค 

ดวงตาเห็นธรรม รู้ชัดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา เมื่อยสพิจารณาตามที่เห็นแล้ว รู้แจ้งแล้ว ก็พ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น (สำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว ในขณะที่ยังเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน นับเป็นอรหันต์องค์ที่ ๗)

ในกาลครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมีกถาแก่
1.บิดา .. จนได้เป็นอุบาสก เป็นคนแรกในโลก
2.มารดา .. เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
3.ภรรยาเก่าของพระยส ... เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา

ในกาลนั้น
สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยส ออกบรรพชา
จิตของภิกษุเหล่านั้นพ้นแล้วจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๔ คน
(เวลานั้นมีพระอรหันต์ ๑๑ องค์)

สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของพระยสออกบรรพชา
จิตของภิกษุเหล่านั้นพ้นแล้วจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๕๐ คน

สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์
คือ ตถาคต-๑ ปัญจวัคคีย์-๕ พระยศ-๑ สหายพระยส-๔ สหายคฤหัสถ์พระยส-๕๐

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
  พระสูตรนี้เป็นอรรถกา (เรื่องแต่ง)
              อยู่ใน ยศวรรคที่ ๕๖               
๕๕๑. อรรถกถายสเถราปทาน
คลิก     
 
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้าที่ ๒๔

เรื่องยสกุลบุตร



            [๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ในพระนครพาราณสี มีกุลบุตร ชื่อ ยส เป็นบุตร เศรษฐี สุขุมาลชาติ. ยสกุลบุตรนั้นมีปราสาท ๓ หลัง คือหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว หลังหนึ่ง เป็นที่อยู่ ในฤดูร้อน หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน. ยสกุลบุตรนั้นรับบำเรอด้วย พวกดนตรี ไม่มีบุรุษเจือปน ในปราสาทฤดูฝนตลอด ๔ เดือน ไม่ลงมาเบื้องล่าง ปราสาท.

        ค่ำวันหนึ่ง เมื่อยสกุลบุตรอิ่มเอิบพร้อมพรั่งบำเรออยู่ ด้วยกามคุณ ๕ ได้นอน หลับก่อน ส่วนพวกบริวารชนนอนหลับภายหลัง. ประทีปน้ำมันตามสว่าง อยู่ตลอดคืน. คืนนั้นยสกุลบุตรตื่นขึ้นก่อน ได้เห็นบริวารชนของตนกำลังนอนหลับ บางนาง มีพิณ ตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพนวาง อยู่ข้างคอ บางนางมีเปิงมางตกอยู่ ที่อก บางนาง สยายผม บางนางมีน้ำลายไหล บางนางบ่นละเมอ ต่างๆปรากฏแก่ ยสกุลบุตร ดุจ ป่าช้าผีดิบ. 

        ครั้นแล้วความเห็นเป็นโทษได้ปรากฏแก่ยสกุลบุตร จิตตั้งอยู่ในความเบื่อหน่าย จึงยสกุลบุตรเปล่งอุทานว่าท่านผู้เจริญ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ แล้วสวม รองเท้าทอง เดินตรงไปยังประตูนิเวศน์ พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ ด้วยหวังใจว่า ใครๆ
อย่าได้ทำอันตราย แก่การ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตของยสกุลบุตรเลย.

         ลำดับนั้น ยสกุลบุตรเดินตรงไปทางประตูพระนคร. พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ ด้วยหวังใจว่าใครๆ อย่าได้ทำอันตรายแก่การออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตของ ยสกุลบุตร. ทีนั้น ยสกุลบุตร ได้เดินตรงไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.

            [๒๖] ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคตื่นบรรทมแล้วเสด็จ จงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งได้ ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วเสด็จลง จากที่จงกรม ประทับนั่งบนอาสนะ ที่ปูลาดไว้. 

        ขณะนั้น ยสกุลบุตรเปล่งอุทานในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านผู้เจริญ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ. ทันทีนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะยสกุลบุตรว่า ดูกรยสที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิดยส นั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ. 

        ที่นั้น ยสกุลบุตรร่าเริงบันเทิงใจว่าได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ดังนี้ 
แล้วถอด รองเท้าทองเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อยสกุลบุตรนั่งเรียบร้อยแล้วพระผู้มีพระภาค ได้ทรงแสดง อนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม.

        เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า ยสกุลบุตรมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงยกขึ้น แสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์สมุทัย  นิโรธ  มรรค.

        ดวงตาเห็นธรรม  ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา
ได้เกิดแก่ ยสกุลบุตร ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บิดาของยสกุลบุตรตามหา

            [๒๗] ครั้นรุ่งเช้า มารดาของยสกุลบุตรขึ้นไปยังปราสาท ไม่เห็นยสกุลบุตร จึงเข้าไปหา เศรษฐีผู้คหบดี แล้วได้ถามว่า ท่านคหบดีเจ้าข้า พ่อยสกุลบุตรของท่านหายไปไหน? ฝ่ายเศรษฐี ผู้คหบดีส่งทูตขี่ม้าไปตามหาทั้ง ๔ ทิศแล้ว  ส่วนตัวเองไปหาทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน. ได้พบรองเท้าทองวางอยู่ ครั้นแล้วจึงตามไปสู่ที่นั้น. 

       พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นเศรษฐีผู้คหบดีมาแต่ไกล. ครั้นแล้วทรง พระดำริว่า  ไฉนหนอ เราพึงบันดาล อิทธาภิสังขาร(พระองค์แสดงฤทธิ์) ให้เศรษฐี คหบดีนั่งอยู่ ณ ที่นี้ ไม่เห็น ยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ดังพระพุทธดำริ.

        ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเห็น ยสกุลบุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า? พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรคหบดี ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง บางทีท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้.

       ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีร่าเริงบันเทิงใจว่า ได้ยินว่า เรานั่งอยู่ ณ ที่นี้แหละ จักเห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง. เมื่อเศรษฐีผู้คหบดีนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง อนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ ในความออกจากกาม. 

        เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า เศรษฐีผู้คหบดี  มีจิตสงบมีจิตอ่อน มีจิต ปลอดจาก นิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี  ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ที่นั่งนั้น แล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน  ควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น.

        ครั้นเศรษฐีผู้คหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้ง แล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความ สงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ แด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของ พระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้าพระองค์ ทรงประกาศ ธรรมโดยอเนก ปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คน หลงทาง หรือ ส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้

        ข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิม แต่วันนี้ เป็นต้นไป.

       ก็เศรษฐีผู้คหบดีนั้น ได้เป็นอุบาสก กล่าวอ้างพระรัตนตรัย เป็นคนแรก ในโลก

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยสกุลบุตรสำเร็จพระอรหัตต์

            [๒๘] คราวเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่ บิดาของยสกุลบุตร จิตของ ยสกุลบุตร ผู้พิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้วก็พ้นจาก อาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น.

        ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เมื่อเราแสดงธรรมแก่บิดาของ ยสกุลบุตรอยู่ จิตของยสกุลบุตร ผู้พิจารณาเห็นภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น.

        ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์ ครั้งก่อน ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิสังขารนั้นได้แล้ว.

        พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสังขาร*นั้น (ฤทธิ์จากการเจริญอิทธิบาทสี่)

        เศรษฐีผู้คหบดีได้เห็นยสกุลบุตรนั่งอยู่ ครั้นแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า พ่อ ยส มารดาของเจ้าโศกเศร้าคร่ำครวญถึง เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดา ของเจ้าเถิด.

        ครั้งนั้น ยสกุลบุตรได้ชำเลืองดูพระผู้มีพระภาคๆ ได้ตรัสแก่เศรษฐีผู้คหบดี ว่า  ดูกรคหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วย ญาณทัสสนะ เพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรม ตามที่ตนได้เห็นแล้ว
ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น (สำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว ในขณะที่ยังเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน)

        ดูกรคหบดียสกุลบุตรควรหรือเพื่อจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็น คฤหัสถ์ ครั้งก่อน?. เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

        พระผู้มีพระภาคตรัส รับรองว่า ดูกรคหบดี  ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วย ญาณทัสสนะ เพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจาก อาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดูกรคหบดี ยสกุลบุตร ไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน.

        เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า การที่จิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือ มั่นนั้น เป็นลาภของยสกุลบุตร ยสกุลบุตรได้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาค มียสกุลบุตร เป็นปัจฉาสมณะ จงทรงรับภัตตาหารของ ข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเสวยในวันนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ. 

        ครั้นเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ลุกจากที่นั่ง  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป.

        กาลเมื่อเศรษฐี ผู้คหบดีกลับไปแล้วไม่นาน ยสกุลบุตรได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มี พระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนัก พระผู้มีพระภาค.

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรา กล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด.

พระวาจานั้นแล  ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น

สมัยนั้นมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๗ องค์
(ตถาคต-1 ปัญจวัคคีย์-5 ยศสกุลบุตร-1)

ยสบรรพชา  จบ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

มารดาและภรรยาเก่าของพระยสได้ธรรมจักษุ


            [๒๙] ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ถือบาตร จีวร มีท่าน พระยสเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่นิเวศน์ ของเศรษฐี ผู้คหบดี ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย. ลำดับนั้น มารดา และภรรยาเก่าของท่านพระยสพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 

        พระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่นางทั้งสอง คือทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความต่ำทรามความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ ในความออกจากกาม.  

        เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นางทั้งสองมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจาก นิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ทรงยกขึ้น แสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.

        ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่นาง ทั้งสอง ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.

        มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรม แจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำ
แสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า 

        พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของ ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ หม่อมฉันทั้งสองนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และ พระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์ จงทรงจำหม่อมฉันทั้งสองว่า เป็นอุบาสิกา ผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.

        ก็มารดา และภรรยาเก่าของท่านพระยส ได้เป็นอุบาสิกา กล่าวอ้าง พระรัตนตรัยเป็นชุดแรกในโลก.


        ครั้งนั้น มารดาบิดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้อังคาส พระผู้มีพระภาค และ ท่านพระยส  ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนๆ จนให้ห้ามภัต ทรงนำพระหัตถ์ ออกจากบาตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 

        ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้มารดาบิดา และภรรยาเก่าของท่าน พระยส เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะ กลับไป.

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยส ออกบรรพชา

            [๓๐] สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส  คือ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆมา ในพระนครพาราณสี  ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว.

        ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตร ปลงผมและ หนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์ ๔ คนนี้ ชื่อ วิมล ๑  สุพาหุ ๑  ปุณณชิ ๑  ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของ สกุลเศรษฐีสืบๆ  มาในพระนครพาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาท สั่งสอนสหาย ของข้าพระองค์เหล่านี้.

       พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อนุปุพพิกถา แก่พวกเขาคือทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และ อานิสงส์ ในความ ออกจากกาม. 

       เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจาก นิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ทรงยกขึ้น แสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. 

       ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดาได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น. 

       พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอัน
หยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็น ผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาค ว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์ พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนัก พระผู้มีพระภาค.

       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรา กล่าวดีแล้ว  พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์ โดยชอบเถิด. พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น. ต่อมา พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา.

       เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาท สั่งสอนภิกษุเหล่านั้น ด้วยธรรมีกถา จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

        สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์
(ตถาคต-1 ปัญจวัคคีย์-5 ยสสกุลบุตร-1 สหายพระยส-4)

สหายคฤหัสถ์ ๔ คน  ของพระยสออกบรรพชา จบ.

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของพระยสออกบรรพชา

            [๓๑] สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส  เป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คน  เป็นบุตรของสกุล เก่าสืบๆ  กันมา ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิตแล้ว. 

        ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า ธรรมวินัย และบรรพชาที่ยสกุลบุตรปลงผม และ หนวด  นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไป หาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์จำนวน ๕๐ คนนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม แล้วนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ ของ ข้าพระองค์เหล่านี้เป็นชาวชนบท เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมา ขอพระผู้มีพระภาค โปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้.

       พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และ อานิสงส์ ในความออกจาก กาม. 

       เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจาก นิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลายทรงยกขึ้น แสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. 

        ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดาได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล  ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน  ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดีฉะนั้น. พวกเขาได้เห็น ธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว  มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความ สงสัยได้แล้ว  ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย  ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อ ผู้อื่นในคำสอน ของ พระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอ พวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค. 

       พระผู้มีพระภาคตรัสว่าพวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิดดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า  ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.

      ต่อมาพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้น ด้วยธรรมีกถา.  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา จิตของภิกษุเหล่านั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์
(ตถาคต-1 ปัญจวัคคีย์-5 พระยศ-1 สหายพระยส-4 สหายคฤหัสถ์พระยส-50)

สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน  ของพระยสออกบรรพชา จบ.

เรื่องยสกุลบุตร เป็นอรรถกถา (เรื่องแต่งใหม่ )
 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์