พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๕๐-๓๕๙
อุทเทสวิภังคสูตร
[๖๓๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส อย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง อุเทสวิภังค์ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังอุเทสวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูล รับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
[๖๓๙] พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึง พิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไป ภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความ เกิด แห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระ ภาษิตดังนี้ ครั้นแล้วพระองค์ผู้สุคต จึงเสด็จลุกจากอาสนะ เข้าไปยังพระวิหาร
[๖๔๐] ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จไปแล้วไม่นาน ภิกษุเหล่านั้นจึงได้มี ข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงอุเทศ โดยย่อแก่พวกเราว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น
เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภาย ใน และ ไม่สะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และ สมุทัย ต่อไป ดังนี้แล มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็เสด็จเข้าไป ยังพระวิหารแล้ว ใครหนอแล จะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงโดยย่อนี้ ให้พิสดารได้
ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่านพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดา และภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูชนยกย่อง สรรเสริญ แล้ว ก็ท่านพระมหากัจจานะ พอจะจำแนกเนื้อ ความแห่งอุเทศ ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดง โดยย่อนี้ ให้พิสดารได้ ถ้ากระไร พวกเราพึงเข้าไปหาท่าน พระมหากัจจานะ ยังที่อยู่ แล้วพึงสอบถามเนื้อความนั้นกะท่าน พระมหากัจจานะเถิด
[๖๔๑] ต่อนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงพากันเข้าไปหาท่าน พระมหากัจจานะยัง ที่อยู่ แล้วได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระมหากัจจานะ ครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอ ให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ กล่าวกะ ท่านพระมหากัจจานะดังนี้ว่า ดูกรท่านกัจจานะ พระผู้มีพระภาคทรงอุเทศ โดยย่อแก่ พวกกระผมว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อ พิจารณาอยู่ ความรู้สึก ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และ ไม่พึงสะดุ้งเพราะ ไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายในและไม่สะดุ้ง เพราะไม่ ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป ดังนี้แล มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดารก็ เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร
ดูกรท่านกัจจานะ ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ หลีกไปแล้วไม่นานพวกกระผม นั้น ได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อ พิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภาย นอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึง สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้ง ไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ย่อม ไม่มีความเกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และ สมุทัย ต่อไป ดังนี้แล มิได้ทรง จำแนกเนื้อความโดยพิสดารก็เสด็จลุกจากอาสนะ เข้าไปยัง พระวิหาร ใครหนอแล จะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง โดยย่อนี้ให้พิสดารได้
ดูกรท่านกัจจานะ พวกกระผมนั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่านพระมหา กัจจานะ นี้ แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุ ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูชน ยกย่อง สรรเสริญแล้ว ก็ท่านพระมหากัจจานะ พอจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มี พระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้ ถ้ากระไร พวกเราพึงเข้าไปหาท่านพระ มหากัจจานะยังที่อยู่ แล้วพึงสอบถามเนื้อความนั้นกะท่านพระมหากัจจานะเถิด ขอท่านพระมหากัจจานะ โปรดจำแนกเนื้อความเถิด
[๖๔๒] ท่านพระมหากัจจานะกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบ เหมือนบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้ พึงสำคัญ แก่นของต้นไม้ใหญ่ ที่มีแก่นตั้งอยู่ว่า ควรหาได้ที่กิ่งและใบ ละเลยรากและลำต้น เสียฉันใด ข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อพระศาสดาประทับอยู่พร้อมหน้าท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย พวกท่านพากันสำคัญเนื้อความนั้นว่า พึงสอบถามเราได้ ล่วงเลยพระผู้มี พระภาคพระองค์นั้นเสีย
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงรู้ธรรมที่ควรรู้ ทรงเห็นธรรมที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความประเสริฐ ตรัสบอก ทรงนำออกซึ่งประโยชน์ ประทานอมตธรรม ทรงเป็นเจ้าของธรรม ทรงดำเนินตามนั้น และก็เป็นกาลสมควรแก่พระองค์แล้วที่ท่าน ทั้งหลายจะพึงสอบถามเนื้อความนี้ กะพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ แก่เราอย่างใด พวกท่านพึงทรงจำไว้ อย่างนั้นเถิด
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ดูกรท่านกัจจานะ แท้จริง พระผู้มีพระภาคย่อม ทรงรู้ธรรมที่ควรรู้ ทรงเห็นธรรมที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความ ประเสริฐ ตรัสบอก ทรงนำออกซึ่งประโยชน์ ประทานอมตธรรม ทรงเป็นเจ้าของธรรม ทรงดำเนินตามนั้น และก็เป็นกาลสมควรแก่พระองค์แล้วที่พวก กระผมจะพึงสอบถาม เนื้อความนี้กะพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ แก่พวกกระผมอย่างใด พวกกระผมพึงทรงจำไว้อย่างนั้น แต่ว่าท่านพระมหา กัจจานะ อันพระศาสดา และพวกภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชน ยกย่อง สรรเสริญแล้ว และท่าน พอจะจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มี พระภาคทรงแสดงโดยย่อนี้ ให้พิสดารได้ ขอท่านพระมหากัจจานะอย่าทำความหนักใจ โปรดจำแนกเนื้อความเถิด
ก. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี ข้าพเจ้าจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้น รับคำท่านพระมหากัจจานะว่า ชอบแล้ว ท่านผู้มีอายุ
[๖๔๓] ท่านพระมหากัจจานะ จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ข้อที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่เราทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่าน ไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึก ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบ อยู่ภายใน และไม่สะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป ดังนี้ มิได้ทรงจำแนก เนื้อความโดย พิสดาร แล้วเสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร นี้แล ข้าพเจ้า ทราบเนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้
[๖๔๔] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อย่างไรเรียกว่าความรู้สึก ฟุ้งไป ซ่านไป ภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ แล่นไปตามนิมิต คือรูป กำหนัด ด้วยยินดีนิมิต คือรูป ผูกพันด้วยยินดีนิมิต คือรูปประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีนิมิต คือรูป พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่าความรู้สึกฟุ้งไปซ่านไปภายนอก
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน แล่นไปตามนิมิต คือ ธรรมารมณ์ กำหนัดด้วยยินดีนิมิตคือธรรมารมณ์ ผูกพันด้วยยินดี นิมิตคือ ธรรมารมณ์ ประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีนิมิตคือธรรมารมณ์ พระผู้มีพระภาค ตรัส เรียกว่า ความรู้สึกฟุ้งไป ซ่านไปภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เรียกว่าความ รู้สึกฟุ้งไปซ่านไป ภายนอก
[๖๔๕] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อย่างไรเรียกว่าความรู้สึก ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไป ภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะเห็นรูป ด้วยจักษุ ไม่แล่นไป ตามนิมิต คือรูป ไม่กำหนัด ด้วยยินดีนิมิต คือรูป ไม่ผูกพัน ้วยยินดีนิมิต คือรูป ไม่ประกอบด้วย สัญโญชน์ คือความยินดีนิมิตคือรูป พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า ความรู้สึก ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน ไม่แล่นไปตาม นิมิต คือธรรมารมณ์ ไม่กำหนัดด้วยยินดีนิมิต คือธรรมารมณ์ ไม่ผูก พันด้วยยินดีนิมิต คือ ธรรมารมณ์ ไม่ประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีนิมิตคือ ธรรมารมณ์ พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เรียกว่า ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไป ภายนอก
[๖๔๖] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อย่างไรเรียกว่า จิตตั้งสงบอยู่ ภายใน ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ความรู้สึก ที่มี แก่ภิกษุนั้น แล่นไปตามปีติและสุขเกิดแต่วิเวก กำหนัดด้วยยินดีปีติและสุขเกิดแต่ วิเวก ผูกพันด้วยยินดี ปีติและสุขเกิดวิเวก ประกอบด้วยสัญโญชน์คือความ ยินดีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวก พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า จิตตั้งสงบอยู่ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าทุติยฌาน มีความ ผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มี วิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุนั้น แล่น ไปตามปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ กำหนัดด้วยยินดีปีติ และสุขเกิดแต่สมาธิ ผูกพัน ด้วยยินดีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ประกอบด้วยสัญโญชน์คือความยินดีปีติและสุข เกิดแต่สมาธิ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตตั้งสงบอยู่ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้วางเฉย เพราะหน่าย ปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าตติยฌาน ที่ พระอริยะ เรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติอยู่เป็นสุขอยู่ ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุ นั้น แล่นไปตาม อุเบกขา กำหนัดด้วยยินดีสุข เกิดแต่อุเบกขา ผูกพันด้วยยินดีสุข เกิดแต่อุเบกขา ประกอบด้วยสัญโญชน์คือ ความยินดีสุขเกิดแต่อุเบกขา พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า จิตตั้งสงบอยู่ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าจตุตถฌาน อันไม่ มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มี สติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่ ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุนั้น แล่นไปตาม อทุกขมสุขเวทนา กำหนัด ด้วยยินดี อทุกขมสุขเวทนา ผูกพันด้วยยินดีอทุกขมสุขเวทนา ประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีอทุกขมสุขเวทนา พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ว่า จิตตั้งสงบอยู่ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เรียกว่า จิตตั้ง สงบอยู่ภายใน
[๖๔๗] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อย่างไรเรียกว่า จิตไม่ตั้งสงบอยู่ ภายใน ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุนั้น ไม่แล่นไปตามปีติและ สุขเกิด แต่วิเวก ไม่กำหนัด ด้วยยินดีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวก ไม่ผูกพันด้วยยินดีปีติ และสุข เกิดแต่วิเวก ไม่ประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีปีติและสุขเกิดแต่ วิเวก พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า จิตไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าทุติยฌาน ฯลฯ อยู่ ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุนั้น ไม่แล่นไปตามปีติและสุข เกิดแต่สมาธิ ไม่กำหนัดด้วย ยินดีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ไม่ผูกพันด้วยยินดี ปีติและสุข เกิดสมาธิ ไม่ประกอบ ด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า จิตไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้วางเฉยเพราะหน่าย ปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน ฯลฯ อยู่ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุนั้น ไม่แล่นไปตามอุเบกขา ไม่กำหนัดด้วยยินดีสุข เกิดแต่อุเบกขา ไม่ผูกพันด้วยยินดีสุข เกิดแต่อุเบกขา ไม่ประกอบด้วยสัญโญชน์คือ ความยินดีสุขเกิดแต่อุเบกขา พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า จิตไม่ตั้งสงบอยู่ ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าจตุตถฌาน ฯลฯ อยู่ ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุนั้น ไม่แล่นไปตามอทุกขมสุขเวทนา ไม่กำหนัดด้วยยินดี อทุกขมสุขเวทนา ไม่ผูกพันด้วยยินดีอทุกขมสุขเวทนา ไม่ประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีอทุกขมสุขเวทนา พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า จิตไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เรียกว่า จิตไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน
[๖๔๘] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อย่างไรย่อมเป็นอันสะดุ้ง เพราะตาม ถือมั่น ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้เห็น พระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรม ของพระอริยะ ไม่ได้เห็น สัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษย่อมเล็ง เห็นรูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง เล็งเห็น อัตตาในรูปบ้าง รูปนั้นของเขา ย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้ เพราะความ แปรปรวน เป็นอย่างอื่นของรูป เขาย่อมมีความรู้สึกปรวนแปร ไปตามความแปรปรวน ของรูป ความสะดุ้งและความเกิดขึ้น แห่งอกุศลธรรม อันเกิดแต่ความปรวนแปรไป ตามความแปรปรวนของรูป ย่อมตั้งครอบงำจิตของเขาได้ เพราะจิตถูกครอบงำ เขาจึงเป็นผู้หวาดเสียว คับแค้น ห่วงใย และสะดุ้งเพราะตามถือมั่น ย่อมเล็งเห็น เวทนา ... ย่อมเล็งเห็นสัญญา ... ย่อมเล็งเห็นสังขาร ... ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดย ความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง วิญญาณนั้นของเขา ย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้ เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นของวิญญาณ เขาย่อมมีความรู้สึกปรวนแปรไป ตามความแปรปรวนของวิญญาณ ความสะดุ้งและความเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อัน เกิดแต่ความปรวนแปรไป ตามความแปรปรวนของวิญญาณ ย่อมตั้งครอบงำจิตของ เขาได้ เพราะจิตถูกครอบงำ เขาจึงเป็นผู้หวาดเสียว คับแค้น ห่วงใย และสะดุ้ง เพราะตามถือมั่น
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เป็นอันสะดุ้งเพราะตามถือมั่น
[๖๔๙] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อย่างไรย่อมเป็นอันไม่สะดุ้ง เพราะ ไม่ถือมั่น ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้ เห็นพระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็น สัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อม ไม่เล็งเห็นรูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง ไม่เล็งเห็นรูป ในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง
รูปนั้นของท่าน ย่อมแปรปรวนเป็นอย่าง อื่นได้ เพราะความแปรปรวน เป็นอย่างอื่นของรูป ท่านย่อมมีความรู้สึกไม่ปรวนแปร ไปตามความแปรปรวนของรูป ความสะดุ้ง และความเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อันเกิดความปรวนแปร ไปตาม ความแปรปรวนของรูป ย่อมไม่ตั้งครอบงำจิตของ ท่านได้ เพราะจิตไม่ถูกครอบงำ ท่านจึงเป็นผู้ไม่หวาดเสียว ไม่คับแค้น ไม่ ห่วงใยและไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนา ... ย่อมไม่เล็งเห็น สัญญา ... ย่อมไม่เล็งเห็นสังขาร ... ย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง ไม่เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาใน วิญญาณบ้าง วิญญาณของท่าน ย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้ เพราะความแปรปรวน เป็นอย่างอื่นของวิญญาณ ท่านย่อมมีความรู้สึกไม่ปรวนแปร ไปตามความแปรปรวน ของวิญญาณ ความสะดุ้ง และความเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อันเกิดแต่ความแปร ปรวนไปตามความปรวนแปร ของวิญญาณ ย่อมไม่ตั้งครอบงำจิตของท่านได้ เพราะ จิตไม่ถูกครอบงำท่านจึงเป็นผู้ ไม่หวาดเสียว ไม่คับแค้น ไม่ห่วงใย ไม่สะดุ้งเพราะ ไม่ถือมั่น
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เป็นอันไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น
[๖๕๐] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศ โดยย่อแก่เราทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อ พิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และ ไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้ง สงบ อยู่ภายใน และไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่ง ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร แล้วเสด็จ ลุกจากอาสนะ เข้ายังพระวิหาร นี้แล ข้าพเจ้าทราบเนื้อความได้โดยพิสดารอย่างนี้ ก็แหละ ท่านทั้งหลายหวังอยู่ พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามเนื้อความ นั้นเถิด พระผู้มีพระภาค ทรงพยากรณ์แก่ท่านทั้งหลายอย่างใด พวกท่านพึงทรง จำคำพยากรณ์นั้นไว้อย่างนั้นเถิด
[๖๕๑] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้น ยินดีอนุโมทนาภาษิตของท่าน พระมหา กัจจานะ แล้วลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นแล้วถวาย อภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ กราบทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรง แสดงอุเทศ โดยย่อแก่พวกข้าพระองค์ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดย อาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึก ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ ภายใน และไม่พึงสะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภาย นอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่สะดุ้ง เพราะ ไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่ง ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัย ต่อไป ดังนี้ มิได้ทรงจำแนกเนื้อความ โดยพิสดารแล้วเสด็จลุกจากอาสนะ เข้าไปยัง พระวิหาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้นพระผู้มีพระภาค เสด็จหลีกไปแล้ว ไม่นาน พวกข้า พระองค์นั้น ได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงอุเทศนี้โดยย่อแก่ พวกเราว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณา โดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความ รู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้งเพราะ ไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบภายใน และ ไม่สะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่ง ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป ดังนี้แล มิได้ทรงจำแนกเนื้อความ โดยพิสดาร ก็เสด็จลุกจาก อาสนะเข้าไปยัง พระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจำแนก เนื้อความแห่งอุเทศที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง โดยย่อนี้ให้พิสดารได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้า พระองค์นั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่าน พระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและ พวกภิกษุผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูชนยกย่องสรรเสริญแล้ว ก็ท่าน พระมหากัจจานะนี้ พอจะจำแนกเนื้อความ แห่งอุเทศ ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดง โดยย่อนี้ให้พิสดารได้ ถ้ากระไร พวกเราพึง เข้าไปหาท่าน พระมหากัจจานะ ยังที่อยู่ แล้วสอบถามเนื้อความนั้นกะท่าน พระมหากัจจานะเถิด ต่อนั้นแล พวกข้าพระองค์จึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะ ยังที่อยู่ แล้วสอบถาม เนื้อความ กะท่านแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระมหากัจจานะ จำแนกเนื้อความแก่ วกข้าพระองค์นั้นแล้วโดยอาการดังนี้ โดยบทดังนี้ และโดยพยัญชนะดังนี้
[๖๕๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหากัจจานะเป็น บัณฑิต มีปัญญามาก แม้หากพวกเธอสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา เราก็จะพึง พยากรณ์ เนื้อความนั้น อย่างเดียวกับที่มหากัจจานะพยากรณ์แล้วเหมือนกัน ก็แหละ เนื้อความอุเทศนั้น เป็นดังนี้แล พวกเธอจงทรงจำเนื้อความนั้นไว้อย่างนี้เถิด
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของ พระผู้มีพระภาคแล
|