(โดยย่อ)
อังคุลิมาลสูตร
ก็สมัยนั้นแล ในแว่นแคว้นของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีโจรชื่อว่าองคุลิมาลเป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือ เปื้อนเลือด เป็นนักฆ่าที่ไม่มีความกรุณาปราณี เมื่อฆ่าแล้วก็จะตัดนิ้วนิ้วมือร้อยเป็นพวงไว้
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปตามทางที่องคุลิมาลโจรซุ่มอยู่ พวกคนเลี้ยงสัตว์ และชาวนาที่เดินมา เห็นพระผู้มีพระภากำลังจะเสด็จไปตามทางที่องคุลิมาลโจรซุ่มอยู่ จึงห้ามไว้ว่า อย่าเดินไปทางนั้น ทางนั้นมีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นนักฆ่ามนุษย์ แม้ชายสิบคน ยี่สิบคน สามสิบคน หรือสี่สิบคน ก็ไม่อาจต่อสู้กับองคุลิมารเพียงคนเดียวได้ …
พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งได้เสด็จไปแล้ว
แม้ครั้งที่สอง ...แม้ครั้งที่สาม… ที่ชาวบ้านห้ามไว้ พระผู้มีพระภาค ทรงนิ่งแต่ก็ได้เสด็จไป
องคุลิมาลเห็นพระผู้มีพระภาค ก็แปลกใจว่า ไม่มีบุรุษคนไหนจะกล้ามาแถวนี้ เหตุไฉนจึงมีสมณะ เดินมาผู้เดียว ถ้ากระนั้นเราพึงปลงสมณะเสียจากชีวิตเถิด... องคุลิมาล ถือดาบและโล่ห์ผูกสอดแล่ง ธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคไป พระผู้มีพระภาคทรง บันดาลอิทธาภิสังขาร (ใช้ฤทธิ์สยบ) ทำให้ องคุลิมาลวิ่งตามได้ทัน จึงคิดในใจว่าน่าอัศจรรย์จริงหนอ ทั้งที่ตนเองก็วิ่งจนสุดกำลัง จึงกล่าว กะพระผู้มีพระภาคว่า
จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า เราหยุดแล้วองคุลิมาล ท่านเล่า จงหยุดเถิด … องคุลีมารเกิดความสงสัยว่า หมายความว่าอย่างไรกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่าหยุดแล้วในกาลทุกเมื่อ ส่วนท่าน ไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราจึงหยุดแล้ว ท่านยังไม่หยุด …
องคุลีมารเกิดข้อคิดว่า พระผู้มีพระภาคเป็นบุคคลที่มนุษย์และเทวดาบูชา และได้เสด็จมาถึงป่าใหญ่ เพื่อจะสงเคราะห์แก่เรา และเพื่อแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ จึงตั้งใจจะละบาปเพื่อฟังธรรม พร้อมกับทิ้ง ดาบและอาวุธ ลงในเหวลึก พร้อมกับถวายบังคมพระบาททั้งสอง แล้วได้ทูล ขอบรรพชา กะ พระสุคต ณ ที่นั้นเอง
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าฯ แล้วกล่าวว่า ในแว่นแคว้นของหม่อมฉัน มีโจรชื่อว่า องคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ...พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามว่า ถ้ามหาบพิตรทอด พระเนตรองคุลิมาล ผู้ปลงผมและหนวด นุ่งห่ม ผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เว้นจาก การฆ่าสัตว์ เว้นจากการ ลักทรัพย์ เว้นจาก การพูดเท็จ ฉันภัตตาหาร หนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจะพึง ทรงกระทำอย่างไร กะเขา?
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงไหว้พึงลุกรับ พึงเชื้อเชิญด้วยอาสนะ พึงบำรุงเขา ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร…. แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาป จักมี ความสำรวมด้วยศีลเห็นปานนี้ แต่ที่ไหน?
พระผู้มีพระภาค ทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวา ขึ้นชี้ตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ดูกรมหาราช “นั่นองคุลิมาล “ ลำดับนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงมีความกลัว จิตใจหวาดหวั่น จนขนลุกขนชัน พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่า อย่าทรงกลัวเลย องคุลิมารไม่มีภัยแก่มหาบพิตรอีกต่อไปแล้ว
ก็สมัยนั้นท่านองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุล เป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร
พระองคุลิมาลบรรลุพระอรหัต
ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล หลีกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ไม่นานนัก ก็กระทำ ให้ แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า... พระองคุลิมาลได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่ง
ครั้งนั้นเวลาเช้า พระองคุลิมาลเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ถูกชาวบ้านขว้างด้วยก้อนหิน ก่อนดิน ท่อนไม้.. จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรแตก จีวรฉีกขาด จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่าน พระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิด เธอจงอดกลั้นไว้เถิด
เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอพึงหมกไหม้ อยู่ในนรก ตลอดปีเป็นอันมาก ตลอดร้อยปี ตลอดพันปี เป็นอันมาก ในปัจจุบันนี้เท่านั้น (องคุลิมารกำลังชดใช้กรรมจากอดีต ที่ผ่านมา อันจะทำ ให้อยู่ในนรก แต่กรรมนั้นสิ้นสุดในชาตินี้เท่านั้น) |