เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 อังคุลิมาลสูตร (เรื่องราวขององคุลีมาลโจร ชื่อเดิมว่า อหิงสกะ) 284  
 
 

(โดยย่อ)

อังคุลิมาลสูตร
ก็สมัยนั้นแล ในแว่นแคว้นของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีโจรชื่อว่าองคุลิมาลเป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือ เปื้อนเลือด เป็นนักฆ่าที่ไม่มีความกรุณาปราณี เมื่อฆ่าแล้วก็จะตัดนิ้วนิ้วมือร้อยเป็นพวงไว้

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปตามทางที่องคุลิมาลโจรซุ่มอยู่ พวกคนเลี้ยงสัตว์ และชาวนาที่เดินมา เห็นพระผู้มีพระภากำลังจะเสด็จไปตามทางที่องคุลิมาลโจรซุ่มอยู่ จึงห้ามไว้ว่า อย่าเดินไปทางนั้น ทางนั้นมีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นนักฆ่ามนุษย์ แม้ชายสิบคน ยี่สิบคน สามสิบคน หรือสี่สิบคน ก็ไม่อาจต่อสู้กับองคุลิมารเพียงคนเดียวได้ … พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งได้เสด็จไปแล้ว

แม้ครั้งที่สอง ...แม้ครั้งที่สาม… ที่ชาวบ้านห้ามไว้ พระผู้มีพระภาค ทรงนิ่งแต่ก็ได้เสด็จไป

องคุลิมาลเห็นพระผู้มีพระภาค ก็แปลกใจว่า ไม่มีบุรุษคนไหนจะกล้ามาแถวนี้ เหตุไฉนจึงมีสมณะ เดินมาผู้เดียว ถ้ากระนั้นเราพึงปลงสมณะเสียจากชีวิตเถิด... องคุลิมาล ถือดาบและโล่ห์ผูกสอดแล่ง ธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคไป พระผู้มีพระภาคทรง บันดาลอิทธาภิสังขาร (ใช้ฤทธิ์สยบ) ทำให้ องคุลิมาลวิ่งตามได้ทัน จึงคิดในใจว่าน่าอัศจรรย์จริงหนอ ทั้งที่ตนเองก็วิ่งจนสุดกำลัง จึงกล่าว กะพระผู้มีพระภาคว่า

จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า เราหยุดแล้วองคุลิมาล ท่านเล่า จงหยุดเถิดองคุลีมารเกิดความสงสัยว่า หมายความว่าอย่างไรกัน

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่าหยุดแล้วในกาลทุกเมื่อ ส่วนท่าน ไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราจึงหยุดแล้ว ท่านยังไม่หยุด …

องคุลีมารเกิดข้อคิดว่า พระผู้มีพระภาคเป็นบุคคลที่มนุษย์และเทวดาบูชา และได้เสด็จมาถึงป่าใหญ่ เพื่อจะสงเคราะห์แก่เรา และเพื่อแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ จึงตั้งใจจะละบาปเพื่อฟังธรรม พร้อมกับทิ้ง ดาบและอาวุธ ลงในเหวลึก พร้อมกับถวายบังคมพระบาททั้งสอง แล้วได้ทูล ขอบรรพชา กะ พระสุคต ณ ที่นั้นเอง

ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าฯ แล้วกล่าวว่า ในแว่นแคว้นของหม่อมฉัน มีโจรชื่อว่า องคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ...พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามว่า ถ้ามหาบพิตรทอด พระเนตรองคุลิมาล ผู้ปลงผมและหนวด นุ่งห่ม ผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เว้นจาก การฆ่าสัตว์ เว้นจากการ ลักทรัพย์ เว้นจาก การพูดเท็จ ฉันภัตตาหาร หนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจะพึง ทรงกระทำอย่างไร กะเขา?

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงไหว้พึงลุกรับ พึงเชื้อเชิญด้วยอาสนะ พึงบำรุงเขา ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร…. แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาป จักมี ความสำรวมด้วยศีลเห็นปานนี้ แต่ที่ไหน?

พระผู้มีพระภาค ทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวา ขึ้นชี้ตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ดูกรมหาราช “นั่นองคุลิมาล “ ลำดับนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงมีความกลัว จิตใจหวาดหวั่น จนขนลุกขนชัน พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่า อย่าทรงกลัวเลย องคุลิมารไม่มีภัยแก่มหาบพิตรอีกต่อไปแล้ว

ก็สมัยนั้นท่านองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุล เป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร

พระองคุลิมาลบรรลุพระอรหัต 

ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล หลีกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ไม่นานนัก ก็กระทำ ให้ แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า... พระองคุลิมาลได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่ง

ครั้งนั้นเวลาเช้า พระองคุลิมาลเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ถูกชาวบ้านขว้างด้วยก้อนหิน ก่อนดิน ท่อนไม้.. จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรแตก จีวรฉีกขาด จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่าน พระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิด เธอจงอดกลั้นไว้เถิด
เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอพึงหมกไหม้ อยู่ในนรก ตลอดปีเป็นอันมาก ตลอดร้อยปี ตลอดพันปี เป็นอันมาก ในปัจจุบันนี้เท่านั้น (องคุลิมารกำลังชดใช้กรรมจากอดีต ที่ผ่านมา อันจะทำ ให้อยู่ในนรก แต่กรรมนั้นสิ้นสุดในชาตินี้เท่านั้น)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 



พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ หน้า๓๕๘

อังคุลิมาลสูตร

พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดองคุลิมาลโจร


             [๕๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี. ก็สมัยนั้นแล ในแว่นแคว้นของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีโจรชื่อว่าองคุลีมาลเป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ปักใจมั่นในการฆ่าตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย. องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้านบ้าง กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคมบ้าง กระทำ ชนบทไม่ให้เป็นชนบทบ้าง. เขาเข่นฆ่าพวก มนุษย์ แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวง ทรงไว้

ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไป บิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นแล้วในเวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงเก็บเสนาสนะ ทรงถือบาตร และจีวร เสด็จดำเนินไปตามทางที่องคุลิมาลโจร ซุ่มอยู่. พวกคนเลี้ยงโคพวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกชาวนาที่เดินมา ได้เห็นพระผู้มี พระภาค เสด็จดำเนินไปตามทางที่องคุลิมาลโจรซุ่มอยู่ ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า

ข้าแต่สมณะ อย่าเดินไปทางนั้นที่ทางนั้นมีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ปักใจในการฆ่าตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจร นั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้านบ้าง กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคมบ้าง กระทำชนบทไม่ให้ เป็นชนบทบ้าง เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงทรงไว้ ข้าแต่สมณะ พวกบุรุษสิบคนก็ดี ยี่สิบคนก็ดี สามสิบคนก็ดี สี่สิบคนก็ดี ย่อมรวมเป็น พวกเดียวกัน เดินทางนี้ แม้บุรุษผู้นั้นก็ยังถึงความพินาศ เพราะมือขององคุลิมาลโจร.

เมื่อคนพวกนั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งได้เสด็จไปแล้ว

             [๕๒๒] แม้ครั้งที่สอง พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกชาวนา ที่เดินมา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่สมณะ อย่าเดินไปทางนั้น ที่ทางนั้น มีโจร ชื่อว่า องคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ปักใจในการฆ่าตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายองคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้านบ้าง กระทำ นิคมไม่ให้เป็นนิคมบ้าง กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบทบ้าง เขาเข่นฆ่าพวก มนุษย์ แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงทรงไว้

ข้าแต่สมณะพวกบุรุษสิบคนก็ดี ยี่สิบคนก็ดี สามสิบคนก็ดี สี่สิบคนก็ดี ย่อมรวมเป็น พวกเดียวกันเดินทางนี้ ข้าแต่สมณะ แม้บุรุษพวกนั้นก็ยังถึงความพินาศ เพราะมือของ องคุลิมาล ดังนี้.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงนิ่ง ได้เสด็จไปแล้ว

             [๕๒๓] แม้ครั้งที่สาม พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์ พวกชาวนา ที่เดินมาได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่สมณะ อย่าเดินไปทางนั้น ที่ทางนั้น มีโจรชื่อว่าองคุลิมาลเป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ปักใจในการฆ่าตี ไม่มีความ กรุณาในสัตว์ทั้งหลายองคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้านบ้าง กระทำนิคม ไม่ให้เป็นนิคมบ้าง กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบทบ้าง เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์ แล้วเอา นิ้วมือร้อยเป็นพวงทรงไว้

ข้าแต่สมณะพวกบุรุษสิบคนก็ดี ยี่สิบคนก็ดี สามสิบคนก็ดี สี่สิบคนก็ดี ย่อมรวมเป็น พวกเดียวกันเดินทางนี้ ข้าแต่สมณะ แม้บุรุษพวกนั้นก็ยังถึงความพินาศ เพราะมือของ องคุลิมาลโจร ดังนี้.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงนิ่ง ได้เสด็จไปแล้ว

             [๕๒๔] องคุลิมาลโจร ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล.ครั้นแล้วเขาได้มีความดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีเลย พวกบุรุษสิบคนก็ดี ยี่สิบคนก็ดี สามสิบคนก็ดีสี่สิบคนก็ดี ก็ยังต้องรวมเป็นพวกเดียวกันเดินทางนี้ แม้บุรุษ พวกนั้นยังถึงความพินาศเพราะมือเรา เออก็สมณะนี้ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนชะรอยจะมาข่ม ถ้ากระไร เราพึงปลงสมณะเสียจากชีวิตเถิด.

ครั้งนั้นองคุลิมาลโจรถือดาบ และโล่ห์ผูกสอดแล่งธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคไปทาง พระปฤษฎางค์. ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร(ใช้ฤทธิ์สยบ)โดยประการ ที่องคุลิมาลโจรจะวิ่งจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระผู้มีพระภาค ผู้เสด็จไป ตามปกติ.

ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้มีความดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีเลยด้วยว่า เมื่อก่อน แม้ช้างกำลังวิ่ง ม้ากำลังวิ่ง รถกำลังแล่น เนื้อกำลังวิ่ง เราก็ยังวิ่งตามจับได้ แต่ว่าเราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะนี้ซึ่งเดินไปตามปกติ ดังนี้ จึงหยุดยืน กล่าว กะพระผู้มีพระภาคว่า จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า เราหยุดแล้วองคุลิมาล ท่านเล่าจงหยุดเถิด.
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

องคุลิมาลโจร ละพยศ


             [๕๒๕] ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรดำริว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้นมักเป็นคน พูดจริง มีปฏิญญาจริง แต่สมณะรูปนี้เดินไปอยู่เทียว กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่าจงหยุดเถิด ถ้ากระไร เราพึงถามสมณะรูปนี้เถิด.

ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถา ความว่า ดูกรสมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และท่านยังไม่หยุด ยังกล่าวกะข้าพเจ้า ผู้หยุดแล้ว ว่าไม่หยุด ดูกรสมณะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน ท่านหยุดแล้ว เป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดแล้วเป็นอย่างไร?

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรองคุลิมาล เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่าหยุดแล้วในกาล ทุกเมื่อ ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราจึงหยุดแล้ว ท่านยังไม่ หยุด.

องคุลิมาลโจรทูลว่า

ดูกรสมณะ ท่านอันเทวดามนุษย์บูชาแล้ว แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่มาถึงป่าใหญ่ เพื่อ จะสงเคราะห์ข้าพเจ้าสิ้นกาลนานหนอ ข้าพเจ้า นั้นจักประพฤติละบาป เพราะฟังคาถา อันประกอบด้วยธรรม ของท่านองคุลิมาลโจรกล่าวดังนี้แล้ว ได้ทิ้งดาบและอาวุธ ลงในเหวลึกมีหน้าผาชัน องคุลิมาลโจรได้ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระสุคต แล้วได้ทูล ขอบรรพชากะพระสุคต ณ ที่นั้นเอง

ก็แลพระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นศาสดา ของโลกกับทั้งเทวโลก ได้ ตรัสกะองคุลิมาลโจรในเวลานั้นว่า ท่านจงเป็นภิกษุ มาเถิด อันนี้แหละเป็นภิกษุภาวะขององคุลิมาลโจรนั้น ดังนี้.

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคมีพระองคุลิมาลเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จจาริกไปทางพระนคร
สาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จถึงพระนครสาวัตถีแล้ว.
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเฝ้า

             [๕๒๖] ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม ของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ก็สมัยนั้น หมู่มหาชนประชุมกัน อยู่ที่ประต พระราชวัง ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ส่งเสียงอื้ออึงว่า ข้าแต่สมมติเทพ ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ปักใจในการฆ่าตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้ เป็นบ้านบ้าง กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคม บ้าง กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบทบ้าง เขา เข่นฆ่าพวกมนุษย์ แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวง ทรงไว้ ขอพระองค์จงกำจัดมันเสียเถิด

ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จออกจากพระนครสาวัตถี ด้วยกระบวนม้า ประมาณ ๕๐๐ เสด็จเข้าไปทางพระอาราม แต่ยังวันทีเดียว เสด็จไปด้วยพระยาน จนสุด ภูมิประเทศที่ยานจะไปได้ เสด็จลงจากพระยานแล้ว ทรงพระราชดำเนิน ด้วย พระบาท เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

             [๕๒๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง แล้วว่า ดูกรมหาบพิตร พระเจ้าแผ่นดินมคธจอมเสนา ทรง พระนามว่า พิมพิสาร ทรงทำให้ พระองค์ทรงขัดเคืองหรือหนอ หรือเจ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี หรือว่าพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น?

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา ทรงพระนามว่า พิมพิสาร มิได้ทรงทำหม่อมฉันให้ขัดเคือง แม้เจ้าลิจฉวีเมืองเวสาลี ก็มิได้ ทรงทำให้หม่อมฉันขัดเคือง แม้พระราชาที่เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น ก็มิได้ทำให้ หม่อมฉันขัดเคือง

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในแว่นแคว้นของหม่อมฉัน มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนเลือด ปักใจในการฆ่าตี ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย องคุลิมาลโจรนั้น กระทำบ้านไม่ให้เป็นบ้านบ้าง กระทำนิคมไม่ให้เป็นนิคมบ้าง กระทำชนบทไม่ให้เป็นชนบท บ้าง เขาเข่นฆ่าพวกมนุษย์ แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวง ทรงไว้ หม่อมฉันจักกำจัดมันเสีย.

ภ. ดูกรมหาราช ถ้ามหาบพิตรพึงทอดพระเนตรองคุลิมาล ผู้ปลงผมและหนวด นุ่งห่ม ผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการ ลักทรัพย์ เว้นจาก การพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจะพึง ทรงกระทำอย่างไร กะเขา?

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงไหว้พึงลุกรับ พึงเชื้อเชิญด้วยอาสนะ พึงบำรุงเขา ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หรือพึง จัดการรักษาป้องกัน คุ้มครองอย่างเป็นธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่องคุลิมาล โจรนั้น เป็นคนทุศีลมีบาปธรรม จักมีความสำรวมด้วยศีลเห็นปานนี้ แต่ที่ไหน?
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทรงเห็นพระองคุลิมาลแล้วตกพระทัย

             [๕๒๘] ก็สมัยนั้น ท่านพระองคุลิมาล นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวา ขึ้นชี้ตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ดูกรมหาราช นั่นองคุลิมาล

ลำดับนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงมีความกลัว ทรงหวาดหวั่น พระโลมชาติ ชูชันแล้ว. พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาติ ชูชันแล้วจึงได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าทรงกลัวเลย มหาราชอย่าทรงกลัวเลย มหาราชภัยแต่องคุลิมาลนี้ ไม่มีแก่มหาบพิตร.

ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงระงับความกลัว ความหวาดหวั่น หรือโลมชาติ ชูชัน ได้แล้ว จึงเสด็จเข้าไปหาท่านองคุลิมาลถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ตรัสกะ ท่านองคุลิมาลว่า ท่านผู้เจริญ พระองคุลิมาลผู้เป็นเจ้าของเรา

ท่านพระองคุลิมาลถวายพระพรว่า อย่างนั้น มหาราช.
ป. บิดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร มารดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร?
อ. ดูกรมหาบพิตร บิดาชื่อ คัคคะ มารดาชื่อ มันตานี
ป. ท่านผู้เจริญ ขอพระผู้เป็นเจ้าคัคคะมันตานีบุตร จงอภิรมย์เถิด ข้าพเจ้าจักทำความ ขวนขวาย เพื่อจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่พระผู้เป็น เจ้าคัคคะมันตานีบุตร.

ก็สมัยนั้น ท่านองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุล เป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร.

ครั้งนั้น ท่านองคุลิมาลได้ถวายพระพรพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าเลย มหาราช ไตรจีวร ของอาตมภาพบริบูรณ์แล้ว.

             [๕๒๙] ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึง ที่ประทับ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้วจึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ที่พระผู้มีพระภาค ทรงทรมานได้ ซึ่งบุคคลที่ใครๆทรมานไม่ได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้สงบไม่ได้ ให้สงบได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้ดับไม่ได้ให้ดับ ได้ เพราะว่าหม่อมฉันไม่สามารถ จะทรมานผู้ใดได้ แม้ด้วยอาชญา แม้ด้วยศาตรา ผู้นั้น พระผู้มีพระภาคทรงทรมานได้ โดยไม่ต้องใช้อาญา ไม่ต้องใช้ศาตรา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอทูลลาไป ในบัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ขอมหาบพิตรจงทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกจากที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วเสด็จ หลีกไป
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระองคุลิมาลโปรดหญิงมีครรภ์

             [๕๓๐] ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระองคุลิมาลครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตร และจีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี. กำลังเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับ ตรอกอยู่ ใน พระนครสาวัตถี ได้เห็นสตรีคนหนึ่งมีครรภ์แก่หนัก. ครั้นแล้วได้มี ความดำริว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ ดังนี้.

ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี เวลาปัจฉาภัตกลับจาก บิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์ ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตร และจีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนคร สาวัตถี กำลังเที่ยว บิณฑบาตตามลำดับตรอกอยู่ในพระนครสาวัตถี ได้เห็นสตรี คนหนึ่งมีครรภ์แก่หนัก. ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง หนอสัตว์ ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองหนอ ดังนี้.

             [๕๓๑] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกรองคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไป หาสตรีนั้น และกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว จะได้ รู้สึกว่า แกล้งปลงสัตว์ จากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดี จงมีแก่ครรภ์ของ ท่านเถิด.

ท่านพระองคุลิมาลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อาการนั้นจักเป็นอันข้าพระองค์ กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เป็นแน่ เพราะข้าพระองค์แกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตเป็นอันมาก.

ภ. ดูกรองคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้น แล้วกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์เสีย จากชีวิต หามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ ของท่านเถิด. พระองคุลิมาลทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาหญิงนั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าว กะหญิงนั้นอย่างนี้ว่า

ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เวลาที่ฉันเกิดแล้วในอริยชาติ จะแกล้งปลงสัตว์จากชีวิต ทั้งรู้หามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมี แก่ครรภ์ ของท่านเถิด.

ครั้งนั้น ความสวัสดีได้มีแก่หญิง ความสวัสดีได้มีแก่ครรภ์ของหญิงแล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระองคุลิมาลบรรลุพระอรหัต

             [๕๓๒] ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล หลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุด พรหมจรรย์อันไม่มี ธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต ต้องการ ด้วย ปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่ จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้อีกมิได้มี ดังนี้. ก็ท่านพระองคุลิมาล ได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวน พระอรหันต์ ทั้งหลาย

             [๕๓๓] ครั้งนั้นเวลาเช้า ท่านพระองคุลิมาลนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาต ในพระนครสาวัตถี. ก็เวลานั้นก้อนดิน ...  ท่อนไม้ ...  ก้อนกรวด ที่บุคคลขว้างไป แม้โดยทางอื่น ก็มาตกลงที่กายของท่านพระองคุลิมาล ท่านพระอง คุลิมาล ศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ.

พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ตรัส กะท่าน พระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ เธอจงอดกลั้น ไว้เถิด พราหมณ์ เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุ จะให้เธอพึงหมกไหม้ อยู่ในนรก ตลอดปีเป็นอันมากตลอดร้อยปีเป็นอันมาก ตลอดพันปีเป็นอันมาก ในปัจจุบันนี้ เท่านั้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระองคุลิมาลเปล่งอุทาน

             [๕๓๔] ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาลไปในที่ลับเร้นอยู่ เสวยวิมุติสุข เปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

ก็ผู้ใด เมื่อก่อนประมาท ภายหลังผู้นั้นไม่ประมาท เขาย่อมยังโลกนี้ ให้สว่างดัง พระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น

ผู้ใด
ทำกรรมอันเป็นบาปแล้ว ย่อมปิด เสียได้ด้วยกุศล ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างดุจ พระจันทร์ ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น

ภิกษุใดแล ยังเป็นหนุ่ม ย่อมขวนขวายในพระพุทธศาสนา ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้ ให้สว่าง ดุจพระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น


ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงฟังธรรมกถาเถิด ขอศัตรูทั้งหลายของเรา จงขวนขวาย ในพระพุทธศาสนาเถิด ขอมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นศัตรูของเรา จงคบ สัตบุรุษผู้ชวนให้ถือ ธรรมเถิด ขอจงคบความผ่องแผ้วคือขันติ ความสรรเสริญ คือเมตตาเถิด ขอจงฟัง ธรรมตามกาล และจงกระทำตามธรรมนั้นเถิด ผู้ที่เป็นศัตรูนั้น ไม่พึงเบียดเบียน เราหรือใครๆ อื่นนั้นเลย ผู้ถึงความ สงบอย่างยิ่งแล้ว พึงรักษาไว้ซึ่ง สัตว์ ที่สะดุ้ง และที่มั่นคง คนทด น้ำ ย่อมชักน้ำ ไปได้ ช่างศร ย่อมดัดลูกศรได้ ช่างถาก ย่อมถาก ไม้ได้ ฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมทรมานตนได้ ฉันนั้น

คนบางพวก ย่อมฝึกสัตว์ ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยขอบ้าง ด้วยแส้บ้าง เราเป็นผู้ที่พระผู้มี พระภาคทรงฝึกแล้ว โดยไม่ต้องใช้อาญา ไม่ต้องใช้ศาตรา เมื่อก่อน เรามีชื่อว่า อหิงสกะ แต่ยังเบียดเบียน สัตว์อยู่ วันนี้เรามีชื่อตรงความจริง เราไม่เบียดเบียนใครๆ เลย เมื่อก่อนเราเป็นโจรปรากฏชื่อว่าองคุลิมาล ถูกกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่พัดไป มาถึง พระพุทธเจ้า เป็นสรณะแล้ว

เมื่อก่อนเรามีมือเปื้อนเลือด ปรากฏชื่อว่าองคุลิมาล ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ จึงถอนตัณหา อันจะนำไปสู่ภพเสียได้ เรากระทำกรรมที่จะให้ถึงทุคติเช่นนั้นไว้มาก อันวิบากของกรรม ถูกต้องแล้ว เป็นผู้ไม่มีหนี้ บริโภคโภชนะ พวกชนที่เป็นพาลทราม ปัญญาย่อมประกอบ ตามซึ่งความประมาท ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมรักษาความ ไม่ประมาทไว้ เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ ฉะนั้น

ท่านทั้งหลาย จงอย่าประกอบตามซึ่งความประมาท อย่าประกอบตามความ ชิดชม ด้วยสามารถความยินดีในกาม เพราะว่าผู้ไม่ประมาทแล้ว เพ่งอยู่ ย่อมถึงความสุข อันไพบูลย์ การที่เรามาสู่พระพุทธศาสนานี้นั้น เป็นการมาดีแล้ว ไม่ปราศจาก ประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด บรรดาธรรมที่พระผู้ มีพระภาคทรงจำแนกไว้ ดีแล้ว เราก็ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดแล้ว (นิพพาน) การที่เราได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ สุดนี้นั้นเป็นการถึงดีแล้ว ไม่ปราศจากประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำ แล้วดังนี้.

จบ อังคุลิมาลสูตร ที่ ๖.

 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์