ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๒๖๓
๑๐ มหานามสูตร
[๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้กรุง กบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะ พระนามว่า มหานามะ ได้เสด็จเข้า ไปเฝ้า พระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดไหนเป็นส่วนมาก พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนา แล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก คือ อริยสาวกในพระศาสนานี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆสมัยนั้น จิตของ อริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็น จิตดำเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภ พระตถาคต ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม ย่อมได้ความ ปราโมทย์ อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติเมื่อมีใจประกอบ ด้วยปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น
ดูกรมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่ ในเมื่อ หมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความ พยาบาท เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญพุทธานุสสติ ฯ
ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง
อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมเนืองๆว่า พระธรรมอัน พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้ดู ควรน้อมเข้ามา อัน วิญญูชน จะพึงรู้เฉพาะตน
ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรม เนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริย สาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ก็อริยสาวกผู้มีจิต ดำเนินไปตรง เพราะปรารภ พระธรรม ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ... เป็นผู้ถึงพร้อม กระแสธรรม ย่อมเจริญธรรมานุสสติ ฯ
ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง
อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆว่า สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อ ญายธรรม เป็นผู้ปฏิบัติ ชอบ นี้คือคู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘
นั่นคือสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของ คำนับ ควรของต้อนรับ ควรของ ทำบุญ ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า
สมัยใด
อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูก ราคะกลุ้มรุม ... ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภ พระสงฆ์ย่อมได้ความ ทราบซึ้งอรรถ ... เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญสังฆานุสสติ ฯ
ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง
อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตนเนืองๆ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาทิฐิไม่ยึดถือ เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ
ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตนเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริย สาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม... ก็อริยสาวกผู้มีจิต ดำเนินไป ตรง เพราะปรารภศีล ... ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ...เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญสีลานุสสติ ฯ
ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง
อริยสาวกย่อมระลึกถึงการบริจาคของตนเนืองๆ ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดี แล้วหนอ คือ เมื่อหมู่สัตว์ถูกมลทิน คือความตระหนี่ กลุ้มรุม เรามีใจปราศจาก มลทิน คือความตระหนี่อยู่ครองเรือน เป็นผู้มีจาคะอันปล่อย แล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม (คอยหยิบ ของ บริจาค) ยินดีในการเสียสละ ควรแก่การขอ ยินดีใน การจำแนกทาน
ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงการบริจาคเนืองๆ สมัยนั้น จิตของ อริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะ กลุ้มรุม. ก็อริยสาวกผู้มีจิต ดำเนินไปตรง เพราะปรารภ จาคะ ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ..เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม
ย่อมเจริญจาคา นุสสติ ฯ
ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง
อริยสาวกย่อมเจริญ เทวตานุสสติ (ความระลึกถึง เทวดาเนืองๆ) ว่า
เทวดาเหล่าจาตุมหาราช มีอยู่
เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่
เทวดา เหล่ายามามีอยู่
เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่
เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่
เทวดาเหล่าปรนิม มิตวสวัสดีมีอยู่
เทวดาเหล่าพรหมกายิกามีอยู่
เทวดาที่สูงกว่าเหล่าพรหมนั้นมีอยู่
เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วอุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศรัทธาเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติใน เทวดาชั้นนั้น
ศีล เช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจากโลกนี้ แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้นสุตะเช่นนั้น แม้ของ เราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วย จาคะ เช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น จาคะเช่นนั้นแม้ ของเรา ก็มีอยู่ เทวดา เหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติใน เทวดาชั้นนั้น ปัญญา เช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่
ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีลสุตะ จาคะ และปัญญาของ ตน และ ของเทวดาเหล่านั้นเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะ กลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรง ทีเดียว
ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง เพราะปรารภเทวดา ย่อมได้ความทราบซึ้ง อรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์ อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อได้ความปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติเมื่อมีใจประกอบ ด้วยปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกาย สงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น
ดูกรมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่ ในเมื่อ หมู่สัตว์ไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความ พยาบาท กันอยู่ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม ย่อมเจริญ เทวตานุสสติ
ดูกรมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้วย่อมอยู่ด้วย วิหารธรรม นี้เป็นส่วนมาก ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบอาหุเนยยวรรคที่ ๑ |