พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๑๑-๔๑๖.
๘. โกสัมพิยสูตร
ทรงโปรดภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
[๕๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารโฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี.
สมัยนั้น พวกภิกษุในเมืองโกสัมพี เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกัน ด้วยหอก คือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน
ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส พวกภิกษุในเมืองโกสัมพีเกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอก คือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกัน ให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว รับสั่งว่า ดูกรภิกษุ เธอจงมา เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมาตามคำของเราว่า พระศาสดาของพวกเรา รับสั่ง ให้หา พวกท่านผู้มีอายุ
ภิกษุรูปนั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้แล้ว เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้ว บอกว่า พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ผู้มีอายุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นว่า อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ ดังนี้ แล้วเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[๕๔๑] พระผู้มีพระภาค ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกเธอเกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกัน ด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยังกันและกัน ให้เข้าใจไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนา ความปรองดอง กันจริงหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน สมัยใดพวกเธอ เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอก คือปากอยู่ สมัยนั้น พวกเธอเข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตา มโนกรรม ในเพื่อน สพรหมจารี ทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง บ้างหรือหนอ?
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เช่นนี้ก็เป็นอันว่า สมัยใด พวกเธอ เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ สมัยนั้น พวกเธอมิได้ เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ในเพื่อนสพรหมจารี ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนั้น พวกเธอรู้อะไร เห็นอะไร จึงเกิด ขัดใจทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกัน และกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยัง กันและกัน ให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนา ความปรองดองกัน
ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ข้อนั้นนั่นแหละ จักมีเพื่อไม่เป็น ประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่เธอทั้งหลาย ตลอดกาลนาน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาราณิยธรรม ๖ (ธรรม ๖ ประการ เพื่อการไม่วิวาทกัน)
[๕๔๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม๖ ประการนี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อ ความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวก เดียวกัน ๖ ประการเป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง(๒) ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง(๓) ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรมอันประกอบ ด้วยเมตตา ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกันทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความ สงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวก เดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง(๔) ภิกษุมีลาภเกิดขึ้นโดยธรรม ได้มา โดยธรรม ที่สุดเป็นลาภสักว่าอาหารที่เนื่องในบาตร ก็บริโภคโดยไม่เกียดกันไว้ เพื่อตน บริโภคเป็นสาธารณะกับเพื่อนสพรหมจารีผู้มีศีล ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึก ถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกันเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง(๕) ภิกษุมีศีลไม่ขาด ไม่เป็นช่อง ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันท่านผู้รู้สรรเสริญ อันตัณหาทิธรรมไม่ครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิ ถึงความ เป็นผู้มีศีลเสมอกันในศีลเช่นนั้นกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง และในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความ สงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง(๖) ภิกษุมีทิฏฐิอันไกลจากข้าศึก เป็น นิยยานิกธรรม อันนำออกซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ถึงความเป็นผู้เสมอกัน ด้วยทิฏฐิในทิฏฐิเช่นนั้นกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและ ในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไป เพื่อความสงเคราะห์กันเพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็น พวกเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้แล เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความ ไม่วิวาทกัน เพื่อ ความพร้อม เพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม นำออก ซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบนี้ เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖ ประการนี้ ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกันไว้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนยอดเป็นที่สูงสุดเป็นที่ยึดคุมของเรือน ยอด ฉันใด ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม นำออกซึ่งบุคคล ผู้ทำ ตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นยอดยึดคุณธรรม ๖ ประการนี้ ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ทิฏฐิที่เป็น นิยยานิกธรรม (ทิฏฐิอันไกลจากกิเลส)
[๕๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็น นิยยานิกธรรม นำออกซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดีไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า เรามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส* ใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลส ในภายในนั้น ที่เรายังละ ไม่ได้ มีอยู่หรือหนอ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
(๑) ถ้าภิกษุมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส* กลุ้มรุมแล้วเทียว
(๒) มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุม
ก็ชื่อว่ามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุมแล้วเทียว
(๓) มีจิตอันถีนมิทธะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุมแล้วเทียว
(๔) มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุมแล้วเทียว
(๕) มีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุมแล้วเทียว
(๖) เป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกนี้ ก็ชื่อว่ามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุมแล้ว เทียว
(๗) เป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกหน้าก็ชื่อว่ามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุม แล้วเทียว
(๘) และเกิดขัดใจทะเลาะวิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ก็ชื่อว่ามีจิต อัน ปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุมแล้วเทียว
* ปริยุฏฐานกิเลส : กิเลสอย่างกลาง ที่อยู่ในจิต
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ญาณ ๗ ประการ ย่อมเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยโสดาปัตติผล
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่าเรามีจิตอัน ปริยุฏฐานกิเลส(กิเลสอย่างกลาง) ใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลส ในภายในนั้นที่เรา ยังละไม่ได้แล้ว มิได้มีเลย จิตเราตั้งไว้ดีแล้วเพื่อตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย นี้ญาณที่ ๑ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว
[๕๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเสพเจริญทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ (นิยยานิกธรรมทิฏฐิ-ทิฏฐิที่ไกลจากกิเลส) ย่อมได้ ความระงับเฉพาะตนย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตนหรือหนอ? อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัด อย่างนี้ว่าเราเสพเจริญทำให้มาก ซึ่งทิฏฐิ นี้ ย่อมได้ความระงับเฉพาะตน ย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตน นี้ญาณที่ ๒ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับ พวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้น บรรลุแล้ว
[๕๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วย ทิฏฐิ เช่นนั้น มีอยู่หรือหนอ? อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิ เช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มิได้มี นี้ญาณที่ ๓ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้น บรรลุแล้ว
[๕๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า บุคคล ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดา เช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดา อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ ความ ออกจากอาบัติเช่นใด ย่อมปรากฏ อริยสาวกย่อมต้องอาบัติเช่นนั้นบ้างโดยแท้ ถึงอย่างนั้น อริยสาวกนั้น รีบแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้น ซึ่งอาบัตินั้น ในสำนัก พระศาสดา หรือเพื่อน สพรหมจารี ที่เป็นวิญญูชนทั้งหลาย ครั้นแสดงเปิดเผย ทำให้ตื้นแล้ว ก็ถึงความสำรวม ต่อไป เปรียบเหมือนกุมารที่อ่อนนอนหงาย ถูกถ่านไฟ ด้วยมือ หรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วพลัน ฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดา เช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดา เช่นนั้น นี้ญาณที่ ๔ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไป กับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้น บรรลุแล้ว
[๕๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดา เช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดา อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวก ถึงความ ขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำอย่างไร ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของ อริยสาวก นั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วยชำเลือง ดูลูก ด้วยฉะนั้น อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วย ธรรมดา เช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้น บรรลุแล้ว
[๕๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละ เช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละนี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่ทำให้มีประโยชน์ ทำไว้ในใจ กำหนดด้วยจิต ทั้งปวง เงี่ยโสตฟังธรรม อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อม ด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละ เช่นนั้น นี้ญาณที่ ๖ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวก นั้น บรรลุแล้ว
[๕๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละนี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรม วินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่ ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ ความรู้ธรรม ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม. อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วย ทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละ เช่นนั้น นี้ญาณที่ ๗ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวก นั้น บรรลุแล้ว
[๕๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาอันอริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการ อย่างนี้ตรวจดูดีแล้ว ด้วยการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วย โสดาปัตติผล ฉะนี้แล
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล
|