เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  ทรงประพฤติอัตตกิลมถานุโยค- แบบย่อ (วัตรของเดียรถีย์) 238  
 


ทรงประพฤติอัตตกิลมถานุโยค (วัตรของเดียรถีย์)
(แบบย่อ)

สารีบุตร !
เราตถาคตรู้เฉพาะซึ่ง พรหมจรรย์อันประกอบด้วยองค์ ๔ ที่ได้ประพฤติแล้ว
ตปัสสีวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง
- ลูขวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง
- เชคุจฉิวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง
- ปวิวิตตวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง

๑. ตปัสสีวัตร

ในวัตร ๔ อย่างนั้น นี้เป็น ตปัสสีวัตร (วัตรเพื่อมีตบะ) ของเราคือ
- เราได้ประพฤติเปลือยกาย มีมรรยาทอันปล่อยทิ้งเสียแล้ว
- เป็นผู้ประพฤติเช็ดอุจจาระของตนด้วยมือ
- เป็นผู้ไม่รับอาหารที่เขาร้องเชิญว่าท่านผู้เจริญจงมา
- ไม่รับอาหารที่เขาร้องนิมนต์ว่าท่านผู้เจริญจงหยุดก่อน
- ไม่ยินดีในอาหารที่เขานำมาจำเพาะ
- ไม่ยินดีในอาหารที่เขาทำอุทิศเจาะจง
- ไม่ยินดีในอาหารที่เขาร้องนิมนต์เรา
- ไม่รับอาหารจากปากหม้อ
- ไม่รับอาหารจากปากภาชนะ
- ไม่รับอาหารคร่อมธรณีประตู
- ไม่รับอาหารคร่อมท่อนไม้
- ไม่รับอาหารคร่อมสาก
- ไม่รับอาหาร ของชนสองคนผู้บริโภคอยู่
- ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์
- ไม่รับอาหารของหญิงที่กำลังให้บุตรดื่มนมอยู่
- ไม่รับอาหารของหญิงผู้ไปในระหว่างแห่งบุรุษ
- ไม่รับอาหารในอาหารที่มนุษย์ชักชวนร่วมกันทำ
- ไม่รับอาหารในที่ที่มีสุนัขเข้าไปยืนเฝ้าอยู่
- ไม่รับอาหารในที่ที่เห็นแมลงวันบินไปเป็นหมู่ๆ
- ไม่รับปลา ไม่รับเนื้อ ไม่รับสุรา ไม่รับเมรัย
- ไม่ดื่มน้ำอันดองด้วยแกลบ
- เรารับเรือนเดียวฉันคำเดียวบ้าง
- รับสองเรือนฉันสองคำบ้าง
- รับสามเรือนฉันสามคำบ้าง ....ฯลฯ....
- รับเจ็ดเรือนฉันเจ็ดคำบ้าง,
- เราเลี้ยงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อยๆ ภาชนะเดียวบ้าง
- เลี้ยงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อย ๆ สองภาชนะบ้าง ..ฯลฯ...
- เลี้ยงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อยๆ เจ็ดภาชนะบ้าง
- เราฉันอาหารที่เก็บไว้วันเดียวบ้าง
- ฉันอาหารที่เก็บไว้สองวันบ้าง ....ฯลฯ....
- ฉันอาหารที่เก็บไว้เจ็ดวันบ้าง,

เราประกอบความเพียรในภัตรและโภชนะมีปริยายอย่างนี้ จนถึงกึ่งเดือนด้วยอาการอย่างนี้.

เรานั้น ..
- มีผักเป็นภักษาบ้าง
- มีสารแห่งหญ้ากับแก้เป็นภักษาบ้าง
- มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง
- มีเปลือกไม้เป็นภักษาบ้าง
- มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง
- มีรำข้าวเป็นภักษาบ้าง
- มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง
- มีข้าวสารหักเป็นภักษาบ้าง
- มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง
- มีโคมัย (ขี้วัว) เป็นภักษาบ้าง
- มีผลไม้และรากไม้ในป่าเป็นอาหารบ้าง
- บริโภคผลไม้อันเป็นไป (หล่นเอง) ยังชีวิตให้เป็นไปบ้าง.

เรานั้น ..
- นุ่งห่มด้วยผ้าป่านบ้าง
- นุ่งห่มผ้าเจือกันบ้าง
- นุ่งห่มผ้าที่เขาทิ้งไว้กับซากศพบ้าง
- นุ่งห่มผ้าคลุกฝุ่นบ้างนุ่งห่มเปลือกไม้บ้าง
- นุ่งห่มหนังอชินะบ้าง (หนังสัตว์)
- นุ่งห่มหนังอชินะทั้งเล็บบ้าง
- นุ่งห่มแผ่นหญ้าคากรองบ้าง
- นุ่งห่มแผ่นปอกรองบ้าง
- นุ่งห่มแผ่นกระดานกรองบ้าง
- นุ่งห่มผ้ากัมพลผมคนบ้าง
- นุ่งห่มผ้ากัมพลทำด้วยขนหางสัตว์บ้าง
- นุ่งห่มปีกนกเค้าบ้าง (ศัพท์นี้แปลกที่ไม่มีคำว่ากัมพล)

- เราตัดผมและหนวด ประกอบตามซึ่งความเพียรในการตัดผมและหนวด,
- เราเป็นผู้ยืนกระหย่งห้ามเสียซึ่งการนั่ง, เป็นผู้เดินกระหย่ง
- เราประกอบตามซึ่งความเพียรในการเดินกระหย่งบ้าง,
- เราประกอบการยืนการเดินบนหนาม สำเร็จการนอนบนที่นอนทำด้วยหนาม,
- เราประกอบตามซึ่งความเพียรในการลงสู่น้ำ เวลาเย็นเป็นครั้งที่สามบ้าง,
- เราประกอบตามซึ่งความเพียรในการทำ (กิเลสใน) กายในเหือดแห้ง ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นนี้ ด้วยอาการ อย่างนี้.

สารีบุตร ! นี่แลเป็นวัตรเพื่อความเป็นผู้มีตบะ ของเรา.


๒.ลูขวัตร

สารีบุตร !

        ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น ลูขวัตร (วัตรในการเศร้าหมอง) ของเรา คือ ..
- ธุลีเกรอะกรังแล้วที่กาย สิ้นปีเป็นอันมากเกิดเป็นสะเก็ดขึ้น.

สารีบุตร !
        เปรียบเหมือนตอตะโกนานปี มีสะเก็ดขึ้นแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น ธุลีเกรอะกรังแล้วที่กาย สิ้นปีเป็นอันมากจนเกิดเป็นสะเก็ดขั้น.

สารีบุตร !
        ความคิดนึกว่า โอหนอเราพึงลูบธุลีนี้ออกเสียด้วยฝ่ามือเถิด ดังนี้ ไม่มีแก่เรา, แม้ความคิดนึกว่าก็หรือชนเหล่าอื่นพึงลูบธุลีนี้ออกเสียด้วยฝ่ามือเถิด ดังนี้ ก็มิได้มีแก่เรา.

ดูก่อนสารีบุตร ! นี้แล เป็นวัตรในความเป็นผู้เศร้าหมองของเรา.



๓.เชคุจฉิวัตร


สารีบุตร !

        ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น เชคุจฉิวัตร (วัตรในความเป็นผู้รังเกียจ) ของเราคือ ..

สารีบุตร !
        เรานั้นมีสติก้าวขาไป มีสติก้าวขากลับ โดยอาการเท่าที่ความเอ็นดูอ่อนโยนของเราพึงบังเกิดขึ้น แม้ในหยาดแห่งน้ำ ว่าเราอย่าทำสัตว์น้อยๆ ทั้งหลายที่มีคติไม่เสมอกันให้ลำบากเลย.

สารีบุตร ! นี้แลเป็นวัตรในความเป็นผู้รังเกียจของเรา.



๔. ปวิวิตตวัตร


สารีบุตร !

        ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น ปวิวิตตวัตร (วัตรในความเป็นผู้สงัดทั่วแล้ว) ของเรา คือ ..

สารีบุตร !
        เรานั้นเข้าสู่ราวป่าแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแลอยู่ เมื่อเห็นคนเลี้ยงโค หรือคนเลี้ยงปศุสัตว์ หรือคนเกี่ยวหญ้า หรือคนหาไม้ หรือคนทำงานในป่ามา เราก็รีบลัดเลาะจากป่านี้ไปป่าโน้น จากรกชัฏนี้สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น เพราะเหตุคิดว่า ขอคนพวกนั้นอย่าเห็นเราเลยและเราก็อย่าได้เห็นชนพวกนั้น.

สารีบุตร !
        เปรียบเหมือนเนื้ออันอยู่ในป่า เห็นมนุษย์แล้วย่อมเลาะลัดจากป่านี้สู่ป่าโน้น จากรกชัฏนี้สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น, ฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราเมื่อเห็นคนเลี้ยงโคหรือคนเลี้ยงปศุสัตว์หรือคนเกี่ยวหญ้า คนหาไม้ คนทำงานในป่ามาก็รีบเลาะลัดจากป่านี้สู่ป่าโน้น จากรกชัฏนี้สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น ด้วยหวังว่าคนพวกนี้อย่าเห็นเราเลย และเราก็อย่าได้เห็นคนพวกนั้น.

สารีบุตร ! นี้แล เป็นวัตรในความเป็นผู้สงัดทั่วของเรา.



สารีบุตร !

        เรานั้น โคเหล่าใดออกจากคอกหาคนเลี้ยงมิได้, เราก็คลานเข้าไปในที่นั้นถือเอาโคมัยของลูกโคน้อยๆที่ยังดื่มนมแม่เป็นอาหาร.

สารีบุตร !
        มูตรและกรีส (ปัสสาวะและอุจจาระ) ของตนเอง ยังไม่หมดเพียงใด เราก็ถือมูตร และกรีสนั้นเป็นอาหารตลอดกาลเพียงนั้น.

ดูก่อน สารีบุตร !
        นี้แลเป็นวัตรใน มหาวิกฏโภชนวัตร ของเรา.

สารีบุตร !
        เราแลเข้าไปสู่ชัฏแห่งป่าน่าพึงกลัวแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแลอยู่. เพราะชัฏแห่งป่านั้นกระทำซึ่งความกลัวเป็นเหตุ ผู้ที่มีสันดานยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ชัฏป่านั้นแล้ว โลมชาติย่อมชูชันโดยมาก.

สารีบุตร !
        เรานั้นในราตรีทั้งหลายอันมีในฤดูหนาวระหว่างแปดวัน เป็นสมัยที่ตกแห่งหิมะอันเย็นเยือกกลางคืนเราอยู่ที่กลางแจ้ง กลางวันเราอยู่ในชัฏแห่งป่า. ครั้นถึงเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน กลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง กลางคืนเราอยู่ในป่า.

สารีบุตร !
        คาถาน่าเศร้านี้ อันเราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน มาแจ้งแก่เราว่า :-
"เรานั้นแห้ง (ร้อน) แล้วผู้เดียว, เปียกแล้วผู้เดียว, อยู่ในป่า น่าพึงกลัวแต่ผู้เดียว, เป็นผู้มีกายอันเปลือยเปล่า ไม่ผิงไฟ, เป็นมุนีขวนขวายแสวงหาความบริสุทธิ์." ดังนี้.

สารีบุตร !
        เรานั้นนอนในป่าช้า ทับกระดูกแห่งซากศพทั้งหลายฝูงเด็กเลี้ยงโคเข้ามาใกล้เรา โห่ร้องใส่หูเราบ้าง ถ่ายมูตรรดบ้าง ซัดฝุ่นใส่บ้างเอาไม้แหลมๆ ทิ่มช่องหูบ้าง.

สารีบุตร !
        เราไม่รู้สึกซึ่งจิตอันเป็นบาปต่อเด็กเลี้ยงโคทั้งหลายเหล่านั้นแม้ด้วยการทำความคิดนึกให้เกิดขึ้น.

สารีบุตร ! นี้เป็นวัตรในการอยู่อุเบกขาของเรา.


สารีบุตร !
        สมณพราหมณ์บางพวกมักกล่าวมักเห็นอย่างนี้ว่า "ความบริสุทธิ์มีได้เพราะอาหาร", สมณพราหมณ์พวกนั้นกล่าวกันว่า พวกเราจงเลี้ยงชีวิตให้เป็นไปด้วยผลกะเบา* ทั้งหลายเถิด. สมณพราหมณ์เหล่านั้นจึงเคี้ยวกินผลกะเบาบ้าง เคี้ยวกินกะเบาตำผงบ้าง ดื่มน้ำคั้นจากผลกะเบาบ้าง ยิ่งบริโภคผลกะเบาอันทำให้แปลกๆ มีอย่างต่าง ๆ บ้าง.

สารีบุตร !
        เราก็ได้ใช้กะเบาผลหนึ่งเป็นอาหาร.

สารีบุตร !
        คำเล่าลืออาจมีแก่เธอว่า ผลกะเบาในครั้งนั้น ใหญ่มากข้อนี้เธออย่าเห็นอย่างนั้น ผลกะเบาในครั้งนั้น ก็โตเท่านี้เป็นอย่างยิ่งเหมือนในครั้งนี้เหมือนกัน.

สารีบุตร !
        เมื่อเราฉันกะเบาผลเดียวเป็นอาหาร ร่างกายได้ถึงความซูบผอมอย่างยิ่ง.
        - เถาวัลย์อาสีติกบรรพหรือเถากาฬบรรพมีสัณฐานเช่นไร อวัยวะน้อยใหญ่ของเรา ก็เป็นเหมือนเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
        - รอยเท้าอูฐมีสัณฐานเช่นไร รอยตะโพกนั่งทับของเราก็มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
        - เถาวัฏฏนาวฬีมีสัณฐานเช่นใด กระดูกสันหลังของเราก็เป็นข้อๆ มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
        - กลอน (หรือจันทัน) แห่งศาลาที่คร่ำคร่าเกะกะมีสัณฐานเช่นไร ซี่โครงของเราก็เกะกะมีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
        - ดวงดาวที่ปรากฏในน้ำในบ่อน้ำอันลึก ปรากฏอยู่ลึกฉันใด ดวงดาวคือลูกตาของเรา ปรากฏอยู่ลึกในเบ้าตาฉันนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
        - น้ำเต้าที่เขาตัดแต่ยังอ่อน ครั้นถูกลมและแดดย่อมเหี่ยวยู่ยี่ มีสัณฐานเป็นเช่นไร หนังศีรษะแห่งเราก็เหี่ยวยู่มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.

สารีบุตร !
เราตั้งใจว่า ..
        - ลูบท้อง ก็ลูบถูกกระดูกสันหลังด้วย,
        - ตั้งใจว่าลูบกระดูกสันหลัง ก็ลูบถูกท้องด้วย.

สารีบุตร !
        หนังท้อง กับกระดูกสันหลังของเราชิดกันสนิท เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.

สารีบุตร !
        เราเมื่อคิดว่าจักถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ล้มพับอยู่ตรงนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.

สารีบุตร !
        เรา เมื่อจะบรรเทาซึ่งกายนั้นให้มีความสุขบ้าง จึงลูบตัวด้วยฝ่ามือ, เมื่อเราลูบตัวด้วยฝ่ามือ ขนที่มีรากเน่าแล้วได้หลุดออกจากกายร่วงไป เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.

(ต่อจากนี้ มีเรื่องการบริสุทธิ์เพราะอาหารอย่างเดียวกับการบริโภคผลกะเบา ต่างกันแต่แทนผลกะเบา กลายเป็น ถั่วเขียว, งา, ข้าวสาร เท่านั้น. พระองค์ได้ทดลองเปลี่ยนทุกๆ อย่าง. เรื่องตั้งแต่ต้นมา แสดงว่าพระองค์ได้ทรงเคยประพฤติวัตรของเดียรถีย์ ที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค แล้วทุกๆ อย่าง สรุปเรียกได้ว่าส่วนสุดฝ่ายข้างตึง ที่พระองค์สอนให้เว้น ในยุคหลัง. วัตรเหล่านี้สันนิษฐานว่า ทำทีหลัง การไปสำนัก ๒ ดาบส. ถ้าทีหลังก็ต้องก่อนเบญจวัคคีย์ไปอยู่ด้วย ยุติเป็นอย่างไรแล้วแต่จะวินิจฉัย เพราะระยะทำความเพียรนานถึง ๖ ปี ได้เหตุผลเป็นอย่างไรโปรดเผยแผ่กันฟังด้วย).

ตรัสเล่าแก่พระสารีบุตร, บาลี มหาสีหนาทสูตร
สีหนาทวรรค มู.ม. ๑๒/๑๕๕/๑๗๗,
ที่วนสัณฑ์ ใกล้เมืองเวสาลี.

 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์