จากหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า55
ทรงประพฤติ อัตตกิลมถานุโยค (วัตรของเดียรถีย์)
(ทรงเล่าให้พระสารีบุตรฟัง ที่วนสัณฑ์ ใกล้เมืองเวสาลี)
สารีบุตร ! เราตถาคตรู้เฉพาะซึ่ง พรหมจรรย์อันประกอบด้วยองค์ ๔ ที่ได้ประพฤติแล้ว;
ตปัสสีวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง (วัตรเพื่อมีตบะ)
ลูขวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง (วัตรในการเศร้าหมอง)
เชคุจฉิวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง
ปวิวิตตวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง.
ในวัตร ๔ อย่างนั้น นี้เป็น ตปัสสีวัตร (วัตรเพื่อมีตบะ) ของเรา คือ
เราได้ ประพฤติ เปลือยกาย มีมรรยาทอันปล่อยทิ้งเสียแล้ว
เป็นผู้ประพฤติ เช็ดอุจจาระของตนด้วยมือ
ถือเป็นผู้ไม่รับอาหารที่เขาร้องเชิญว่าท่านผู้เจริญจงมา
ไม่รับอาหารที่เขาร้องนิมนต์ว่าท่านผู้เจริญจงหยุดก่อน
ไม่ยินดีในอาหารที่เขานำมาจำเพาะ
ไม่ยินดีในอาหารที่เขาทำอุทิศเจาะจง
ไม่ยินดีในอาหารที่เขาร้องนิมนต์เรา
ไม่รับอาหารจากปากหม้อ
ไม่รับอาหารจากปากภาชนะ
ไม่รับอาหารคร่อมธรณีประตู
ไม่รับอาหารคร่อมท่อนไม้
ไม่รับอาหารคร่อมสาก
ไม่รับอาหารของชนสองคนผู้บริโภคอยู่
ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์
ไม่รับอาหารของหญิงที่กำลังให้บุตรดื่มนมอยู่
ไม่รับอาหารของหญิงผู้ไปในระหว่างแห่งบุรุษ
ไม่รับอาหารในอาหารที่มนุษย์ชักชวนร่วมกันทำ
ไม่รับอาหารในที่ที่มีสุนัขเข้าไปยืนเฝ้าอยู่
ไม่รับอาหารในที่ที่เห็นแมลงวันบินไปเป็นหมู่ๆ
ไม่รับปลาไม่รับเนื้อ
ไม่รับสุรา ไม่รับเมรัย ไม่ดื่มน้ำอันดองด้วยแกลบ
เรารับเรือนเดียวฉันคำเดียวบ้าง รับสองเรือนฉันสองคำบ้าง รับสามเรือนฉันสามคำบ้าง ....ฯลฯ.... รับเจ็ดเรือน ฉันเจ็ดคำบ้าง เราเลี้ยงร่างกายด้วยอาหาร ในภาชนะน้อย ๆ ภาชนะเดียวบ้าง
เลี้ยงร่างกายด้วยอาหารใน ภาชนะน้อย ๆ สองภาชนะบ้าง ....ฯลฯ.... เลี้ยงร่างกายด้วยอาหาร ในภาชนะน้อยๆ เจ็ดภาชนะบ้าง เราฉัน อาหารที่เก็บไว้วันเดียวบ้าง ฉันอาหารที่ เก็บไว้สองวัน บ้าง ....ฯลฯ....
ฉันอาหารที่เก็บไว้เจ็ดวันบ้าง เราประกอบความเพียรในภัตรและโภชนะ มีปริยาย อย่างนี้ จนถึง กึ่งเดือนด้วยอาการอย่างนี้.
เรานั้น มีผักเป็นภักษาบ้าง มีสารแห่งหญ้ากับแก้เป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษา บ้าง มีเปลือกไม้เป็นภักษา บ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำข้าวเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็น ภักษาบ้าง มีข้าวสารหักเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัย (ขี้วัว) เป็นภักษาบ้าง มีผลไม้และรากไม้ในป่า เป็นอาหารบ้าง บริโภคผลไม้ อันเป็นไป (หล่นเอง) ยังชีวิตให้เป็นไปบ้าง.
เรานั้นนุ่งห่มด้วยผ้าป่านบ้าง นุ่งห่มผ้าเจือกันบ้าง นุ่งห่มผ้าที่เขาทิ้งไว้กับซากศพบ้าง นุ่งห่มผ้าคลุกฝุ่นบ้าง นุ่งห่มเปลือกไม้บ้าง นุ่งห่มหนังอชินะบ้าง นุ่งห่มหนังอชินะ ทั้งเล็บบ้าง นุ่งห่มแผ่นหญ้าคากรองบ้าง นุ่งห่มแผ่น ปอกรองบ้าง นุ่งห่มแผ่นกระดาน กรองบ้าง นุ่งห่มผ้ากัมพลผมคนบ้าง นุ่งห่มผ้ากัมพล ทำด้วยขนหางสัตว์บ้าง นุ่งห่ม ปีกนกเค้าบ้าง (ศัพท์นี้แปลกที่ไม่มีคำว่ากัมพล)
เราตัดผมและหนวด ประกอบตามซึ่งความเพียรในการตัดผมและหนวด เราเป็นผู้ยืน กระหย่ง ห้ามเสียซึ่งการนั่งเป็นผู้เดินกระหย่ง ประกอบตามซึ่งความเพียร ในการเดิน กระหย่งบ้าง เราประกอบการยืนการเดินบนหนาม สำเร็จการนอน บนที่นอนทำด้วย หนาม เราประกอบตามซึ่งความเพียรในการลงสู่น้ำ เวลาเย็นเป็นครั้งที่สามบ้าง เราประกอบตามซึ่งความเพียรในการทำ(กิเลสใน) กายให้เหือดแห้ง ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นนี้ ด้วยอาการ อย่างนี้. สารีบุตร ! นี่แลป็นวัตรเพื่อความเป็นผู้มีตบะ ของเรา
สารีบุตร ! ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น ลูขวัตร (วัตรในการเศร้าหมอง) ของเรา คือ ธุลีเกรอะกรังแล้ว ที่กาย สิ้นปีเป็นอันมากเกิดเป็นสะเก็ดขึ้น.
สารีบุตร !เปรียบเหมือนตอตะโกนานปีมีสะเก็ดขึ้นแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น ธุลีเกรอะกรัง แล้ว ที่กาย สิ้นปีเป็นอันมาก จนเกิดเป็นสะเก็ดขึ้น.
สารีบุตร ! ความคิดนึกว่า โอหนอเราพึงลูบธุลีนี้ออกเสียด้วยฝ่ามือเถิด ดังนี้ ไม่มีแก่เรา, แม้ความคิดนึกว่า ก็หรือชนเหล่าอื่นพึงลูบธุลีนี้ออกเสียด้วยฝ่ามือเถิด ดังนี้ ก็มิได้มีแก่เรา.
ดูก่อนสารีบุตร ! นี้แล เป็นวัตรในความเป็นผู้เศร้าหมองของเรา.
สารีบุตร ! ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น เชคุจฉิวัตร (วัตรในความเป็นผู้รังเกียจ) ของเรา คือ
ดูก่อนสารีบุตร ! เรานั้นมีสติก้าวขาไป มีสติก้าวขากลับโดยอาการเท่าที่ความ เอ็นดู อ่อนโยนของเราพึงบังเกิดขึ้น แม้ในหยาด แห่งน้ำว่าเราอย่าทำสัตว์น้อยๆ ทั้งหลายที่มีคติไม่เสมอกันให้ลำบากเลย. สารีบุตร ! นี้แล เป็นวัตรในความเป็น ผู้รังเกียจของเรา.
สารีบุตร ! ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น ปวิวิตตวัตร (วัตรในความเป็นผู้สงัดทั่วแล้ว) ของเรา คือ
ดูก่อนสารีบุตร ! เรานั้นเข้าสู่ราวป่าแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแลอยู่ เมื่อเห็นคนเลี้ยงโค หรือคนเลี้ยง ปศุสัตว์ หรือคนเกี่ยวหญ้า หรือคนหาไม้หรือคนทำงานในป่ามา เราก็รีบลัดเลาะจากป่านี้ไปป่าโน้น จากรกชัฏนี้สู่รกชัฏโน้นจากลุ่มนี้ สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ ดอนโน้น เพราะเหตุคิดว่า ขอคนพวกนั้น อย่าเห็นเราเลย และเราก็อย่าได้เห็น ชนพวกนั้น.
สารีบุตร ! เปรียบเหมือนเนื้ออันอยู่ในป่า เห็นมนุษย์แล้วย่อมเลาะลัดจากป่านี้สู่ป่า โน้น จากรกชัฏนี้ สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น, ฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราเมื่อเห็นคนเลี้ยงโคหรือ คนเลี้ยงปศุสัตว์ หรือคนเกี่ยวหญ้า คนหาไม้ คนทำงาน ในป่ามาก็รีบเลาะลัดจากป่านี้สู่ป่าโน้น จากรกชัฏนี้สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้นด้วยหวังว่าคนพวกนี้ อย่าเห็น เราเลย และเราก็อย่าได้เห็น คนพวกนั้น.
สารีบุตร !นี้แล เป็นวัตรในความเป็นผู้สงัดทั่วของเรา.
สารีบุตร ! เรานั้น โคเหล่าใดออกจากคอกหาคนเลี้ยงมิได้, เราก็คลานเข้าไป ใน ที่นั้น ถือเอาโคมัย ของลูกโค น้อยๆ ที่ยังดื่มนมแม่เป็นอาหาร. สารีบุตร !มูตรและกรีส (ปัสสาวะ และอัจจาระ) ของตนเอง ยังไม่หมดเพียงใด เราก็ถือมูตร และกรีสนั้น เป็นอาหารตลอด กาลเพียงนั้น.
ดูก่อน สารีบุตร ! นี้แลเป็นวัตรในมหาวิกฏโภชนวัตร ของเรา.
สารีบุตร ! เราแลเข้าไปสู่ชัฏแห่งป่าน่าพึงกลัวแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแลอยู่. เพราะชัฏแห่งป่านั้น กระทำซึ่งความกลัวเป็นเหตุ ผู้ที่มีสันดานยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ชัฏป่านั้นแล้ว โลมชาติ ย่อมชูชันโดยมาก.
สารีบุตร ! เรานั้นในราตรีทั้งหลายอันมีในฤดูหนาวระหว่างแปดวัน เป็นสมัยที่ ตกแห่ง หิมะอันเย็น เยือกกลางคืน เราอยู่ที่กลางแจ้ง กลางวันเราอยู่ในชัฏ แห่งป่า. ครั้นถึงเดือน สุดท้ายแห่งฤดูร้อน กลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง กลางคืนเราอยู่ ในป่า.
สารีบุตร ! คาถาน่าเศร้านี้ อันเราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน มาแจ้งแก่เราว่า “เรานั้นแห้ง (ร้อน) แล้วผู้เดียว, เปียกแล้วผู้เดียว, อยู่ในป่าน่าพึงกลัวแต่ผู้เดียว, เป็นผู้มีกายอัน เปลือยเปล่า ไม่ผิงไฟ,
เป็นมุนีขวนขวายแสวงหาความบริสุทธ์ิ.” ดังนี้.
สารีบุตร ! เรานั้นนอนในป่าช้า ทับกระดูกแห่งซากศพทั้งหลายฝูงเด็กเลี้ยงโค เข้ามาใกล้เรา โห่ร้องใส่หูเราบ้าง ถ่ายมูตรรดบ้าง ซัดฝุ่นใส่บ้างเอาไม้แหลมๆ ทิ่มช่องหูบ้าง.
สารีบุตร ! เราไม่รู้สึกซึ่งจิตอันเป็นบาปต่อเด็กเลี้ยงโคทั้งหลายเหล่านั้น แม้ด้วยการทำความ คิดนึกให้เกิดขึ้น. สารีบุตร ! นี้เป็นวัตรในการอยู่อุเบกขา ของเรา.
สารีบุตร ! สมณพราหมณ์บางพวกมักกล่าวมักเห็นอย่างนี้ว่า “ความบริสุทธิ์มีได้ เพราะอาหาร”สมณพราหมณ์พวกนั้นกล่าวกันว่า พวกเราจง เลี้ยงชีวิตให้เป็นไปด้วย ผลกะเบา๑ ทั้งหลายเถิด. สมณพราหมณ์เหล่านั้นจึงเคี้ยวกินผลกะเบาบ้าง เคี้ยวกิน กะเบาตำผงบ้าง ดื่มน้ำคั้น จากผลกะเบา บ้าง ย่อมบริโภคผลกะเบาอันทำให้แปลกๆ มีอย่างต่าง ๆ บ้าง.
สารีบุตร ! เราก็ได้ใช้กะเบาผลหนึ่งเป็นอาหาร
สารีบุตร ! คำเล่าลืออาจมีแก่เธอว่า ผลกะเบาในครั้งนั้น ใหญ่มากข้อนี้เธออย่าเห็นอย่างนั้น ผลกะเบาในครั้งนั้น ก็โต เท่านี้ เป็นอย่างยิ่งเหมือนในครั้งนี้เหมือนกัน.
สารีบุตร ! เมื่อเราฉันกะเบาผลเดียวเป็นอาหาร ร่างกายได้ถึงความซูบผอมอย่างยิ่ง. เถาวัลย์อาสีติกบรรพ หรือ เถากาฬบรรพ มีสัณฐานเช่นไร อวัยวะน้อยใหญ่ของเรา ก็เป็นเหมือนเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
รอยเท้าอูฐ มีสัณฐานเช่นไร รอยตะโพกนั่งทับของเราก็มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความ เป็นผู้มีอาหารน้อย.
เถาวัฏฏนาวฬี มีสัณฐานเช่นใด กระดูกสันหลังของเราก็เป็นข้อๆ มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
กลอน(หรือจันทัน) แห่งศาลาที่คร่ำคร่าเกะกะมีสัณฐานเช่นไร ซี่โครงของเราก็เกะกะ มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
ดวงดาว ที่ปรากฏในน้ำในบ่อน้ำอันลึก ปรากฏอยู่ลึกฉันใด ดวงดาวคือลูกตาของเรา ปรากฏอยู่ลึก ในเบ้าตา ฉันนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย.
น้ำเต้า ที่เขาตัดแต่ยังอ่อน ครั้นถูกลมและแดด ย่อมเหี่ยวยู่ยี่ มีสัณฐาน เป็นเช่นไร หนังศีรษะแห่งเราก็เหี่ยวยู่มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้ มีอาหารน้อย.
สารีบุตร ! เราตั้งใจว่าลูบท้อง ก็ลูบถูกกระดูกสันหลังด้วย ตั้งใจว่าลูบกระดูกสันหลัง ก็ลูบถูกท้องด้วย
สารีบุตร ! หนังท้องกับกระดูกสันหลังของเราชิดกันสนิท เพราะความเป็นผู้มีอาหาร น้อย.
สารีบุตร ! เรา เมื่อคิดว่าจักถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ล้มพับอยู่ตรงนั้น เพราะความเป็น ผู้มี อาหารน้อย.
สารีบุตร ! เรา เมื่อจะบรรเทาซึ่งกายนั้นให้มีความสุขบ้าง จึงลูบตัวด้วยฝ่ามือ เมื่อเรา ลูบตัวด้วย ฝ่ามือ ขนที่มี รากเน่าแล้วได้หลุดออกจากกายร่วงไป เพราะความเป็นผู้มี อาหารน้อย.
ตรัสเล่าแก่ตระสารีบุตร, บาลี มหาสีหนาทสูตร สีหนาทวรรค มู.ม. ๑๒/๑๕๕/๑๗๗, ที่ วนสัณฑ์ ใกล้เมืองเวสาลี. วัตรเหล่านี้ในบาลีไม่แสดงไว้ชัดว่า ทรงทำก่อนหรือ หลังการไปสำนัก ๒ ดาบส หรือคราวเดียวกับทุกรกิริยาอดอาหาร.
|