เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  อุทกสูตร : ธรรมดำ-ธรรมขาว (กุศล-อกุศล) ของพระเทวทัต 224  
 
  (โดยย่อ)

พระผู้มีพระภาคพยากรณ์ว่า
พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ ...
ดูกรอานนท์ เราย่อมไม่พิจารณาเห็นบุคคลอื่น แม้คนหนึ่ง ที่เราได้ กำหนดรู้เหตุ ทั้งปวงด้วยใจ แล้วพยากรณ์อย่างนี้ เหมือนพระเทวทัตเลย

ก็เราได้เห็น ธรรมขาว ของพระเทวทัต (ส่วนดี) แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจาก ปลายขนทราย เพียงใด เราก็ยังไม่พยากรณ์พระเทวทัตเพียงนั้นว่า พระเทวทัตจะต้อง เกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ ตลอดกัปเยียวยาไม่ได้ แต่ว่าเมื่อใด เราไม่ได้เห็นธรรมขาว ของพระเทวทัต แม้ประมาณ เท่าน้ำที่ สลัดออกจากปลายขนทราย เมื่อนั้นเราจึงได้พยากรณ์พระเทวทัตนั้นว่าพระเทวทัต จะต้องเกิดใน อบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้

(พระพุทธเจ้าไม่เห็น ธรรมส่วนดีของพระเทวทัต แม้จะเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทราย ก็ยังไม่มีเลย)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 


อุทกสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔


อุทกสูตร (ธรรมดำ-ธรรมขาว ของพระเทวทัต)

(ธรรมดำ-ธรรมขาว กุศล-อกุศล ญาณเครื่องกำหนดรู้ อินทรีย์มนุษย์ เรื่องเจาะแทง กิเลส ด้วยปลายขนทราย)

          [๓๓๓] สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของชาวโกศลชื่อทัณฑกัปปกะ ครั้งนั้นพระผู้มี พระภาค ได้ทรงแวะลงจากหนทาง ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว ณ โคนไม้ ต้นหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นได้พากันเข้าไปสู่นิคมชื่อทัณฑกัปปกะ เพื่อแสวงหาที่พัก ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์พร้อมด้วยภิกษุหลายรูป ได้ไปที่แม่น้ำอจิรวดี เพื่อสรงน้ำ

          ครั้นสรงน้ำในแม่น้ำอจิรวดีเสร็จแล้ว ก็ขึ้นมานุ่งอันตรวาสกผืนเดียว ยืนผึ่งตัว อยู่ ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วถามว่า ดูกรอาวุโส อานนท์ พระผู้มีพระภาค ทรงกำหนดรู้เหตุทั้งปวงด้วยพระหฤทัยแล้ว หรือ หนอ จึงพยากรณ์ พระเทวทัต ว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยา ไม่ได้ หรือว่าพระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้ โดยปริยาย บางประการเท่านั้น จึงได้ทรง พยากรณ์ พระเทวทัต ดังนี้ ท่านพระอานนท์ตอบว่า

          ดูกรอาวุโส ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์อย่างนั้นแล ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์กับ ภิกษุ หลายรูปได้ไปยังแม่น้ำอจิรวดีเพื่อสรงน้ำ ครั้นสรงเสร็จแล้ว ก็ขึ้นมานุ่งอันตรวาสก ผืนเดียวยืนผึ่งตัวอยู่

           ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปหาข้าพระองค์ แล้วถามว่า ดูกรอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้เหตุทั้งปวง ด้วยพระหฤทัย แล้วหรือหนอ จึงได้ทรง พยากรณ์พระเทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ หรือว่าพระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้โดยปริยาย บางประการเท่านั้น จึงได้ทรงพยากรณ์พระเทวทัตดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าว กับภิกษุนั้นว่า

ดูกรอาวุโส ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์อย่างนั้นแล

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุรูปนั้นจักเป็นภิกษุใหม่บวชไม่นาน หรือว่า เป็นภิกษุเถระ แต่เป็นคนโง่เขลา ไม่ฉลาด เพราะว่าข้อที่เราพยากรณ์แล้ว โดยส่วนเดียว จักเป็นสองได้อย่างไร

          ดูกรอานนท์ เราย่อมไม่พิจารณาเห็นบุคคลอื่น แม้คนหนึ่ง ที่เราได้ กำหนดรู้เหตุ ทั้งปวงด้วยใจ แล้วพยากรณ์อย่างนี้ เหมือนพระเทวทัตเลย

ก็เราได้เห็น ธรรมขาว ของพระเทวทัต (ส่วนดี) แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจาก ปลายขนทรายเพียงใด เราก็ยังไม่พยากรณ์พระเทวทัตเพียงนั้นว่า พระเทวทัตจะต้อง เกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัปเยียวยาไม่ได้

แต่ว่าเมื่อใด เราไม่ได้เห็นธรรมขาว ของพระเทวทัต แม้ประมาณเท่าน้ำที่ สลัดออกจากปลายขนทราย เมื่อนั้นเราจึงได้พยากรณ์พระเทวทัตนั้นว่าพระเทวทัต จะต้องเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้

          ดูกรอานนท์เปรียบเหมือนหลุมคูถเป็นที่ถ่ายอุจจาระ ลึกชั่วบุรุษ เต็มด้วยคูถ เสมอ ขอบ ปากหลุม บุรุษพึงตกลงไปที่หลุมคูถนั้นจมมิดศีรษะ บุรุษบางคนผู้ใคร่ ประโยชน์ ใคร่ความเกื้อกูล ปรารถนาความเกษมจากการตกหลุมคูถของบุรุษนั้น ใคร่จะยกเขาขึ้น จากหลุมคูถนั้น พึงมา

เขาเดินรอบหลุมคูถนั้นอยู่ ก็ไม่พึงเห็นอวัยวะที่ไม่เปื้อนคูถซึ่งพอจะจับเขายกขึ้นมาได้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายของบุรุษนั้น ฉันใด เราก็ไม่ได้เห็น ธรรมขาวของพระเทวทัตแม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทราย ฉันนั้น เหมือนกัน เมื่อนั้น เราจึงได้พยากรณ์พระเทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิด ใน อบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ ถ้าว่าเธอทั้งหลายจะพึงฟังตถาคต จำแนกญาณเครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของบุรุษไซร้

อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้เป็นกาลควร ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลควร ที่พระผู้มี พระภาคจะพึงทรง จำแนกญาณเครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของบุรุษ ภิกษุทั้งหลาย ได้สดับจากพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้

          พ. ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระ อานนท์ ทูลรับ พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์เราย่อม กำหนดรู้ใจบุคคล บางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของ บุคคลนี้แลหายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า กุศลมูลที่บุคคลนั้นยังตัดไม่ขาด มีอยู่

          เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอย่างอื่นของเขาจักปรากฏด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้ จักเป็นผู้ไม่ เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลม และแดดเผา เกิดในต้นฤดูหนาว เก็บไว้ดีแล้วอันบุคคลปลูก ณ ที่ดินอันพรวนดีแล้ว ในที่นาดี เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชเหล่านี้จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

          พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้อยู่มี สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขา ยังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน

          ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดญาณ เป็นเครื่องทราบ อินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น ต่อไปด้วยใจ แม้ด้วย ประการฉะนี้

          ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคล นั้น ด้วยใจ อย่างนี้ ว่าอกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูล ที่เขา ยังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้น อกุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการ อย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือน เมล็ดพืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลมและแดดเผา เกิดในต้นฤดูหนาว เก็บไว้ดีแล้ว อันบุคคลปลูก ณ ที่ศิลา แท่งทึบ เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชเหล่านี้จัก ไม่ถึง ความเจริญ งอกงามไพบูลย์

อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

          พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคล นั้น ด้วยใจ อย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูล ที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้นอกุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการ อย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน

           ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจกำหนดรู้ญาณ เป็นเครื่องทราบ อินทรีย์ของบุรุษ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้

          ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคล นั้น ด้วยใจ อย่างนี้ ว่า ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลาย ขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไปจักเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่หักเน่า ถูกลมและแดดแผดเผา อันบุคคลปลูก ณ ที่ดินซึ่งพรวนดีแล้วในนาดี เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชนี้จักไม่ถึง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย์

อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

          พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออก จากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉันนั้นเหมือนกันดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจ บุคคลด้วยใจ กำหนดรู้ ญาณ เป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษ กำหนดรู้ธรรม ที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้

          เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงสามารถบัญญัติบุคคล ๓ จำพวกนี้ออกเป็น ส่วนละ ๓ อีกหรือ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สามารถ อานนท์ เราย่อม กำหนดรู้ใจบุคคลบางคน ในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของ บุคคลนี้มีอยู่

           สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของ บุคคลนี้ หายไป อกุศลธรรม ปรากฏ ขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลนั้น ก็ถึงความถอน ขึ้น โดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จัก เป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้วลุกโพลงสว่างไสว อันบุคคลเก็บไว้บนศิลาทึบ เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์

อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์ตกไปในเวลาเย็น เธอพึงทราบ ไหมว่า แสงสว่างจักหายไป ความมืดจักปรากฏ

อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหารของราชสกุลในเวลา เที่ยงคืนเธอพึงทราบไหม ว่า แสงสว่างหายไปหมดแล้ว ความมืดได้ปรากฏแล้ว ฯ

อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคล นั้น ด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูล ที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความถอนขึ้น โดยประการ ทั้งปวง

          ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่อง ทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้

          ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคล นั้น ด้วยใจ อย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูล ที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้น โดย ประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบ เหมือน ถ่านไฟ ที่ไฟติด ทั่วแล้ว ลุกโพลงสว่างไสวอันบุคคลเก็บไว้ บนกองหญ้า แห้ง หรือบนกองไม้แห้ง เธอพึง ทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักถึงความเจริญงอกงาม ไพบูลย์

อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์กำลังขึ้นมาในเวลารุ่งอรุณ เธอพึง ทราบไหมว่า ความมืดจักหายไป แสงสว่างจักปรากฏ

อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหารของราชสกุล ในเวลา เที่ยงวัน เธอพึงทราบ ไหมว่า ความมืดหายไปหมดแล้วแสงสว่างได้ปรากฏแล้ว ฯ

อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจ อย่างนี้ ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขา ยังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้น โดย ประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ ญาณ เป็นเครื่องทราบ อินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรม ที่อาศัยกัน เกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วย ประการฉะนี้

          ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคลนั้น ด้วยใจ อย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออก จากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาว อย่างเดียว จักปรินิพพาน ในปัจจุบันทีเดียว เปรียบเหมือนถ่านไฟที่เย็น มีไฟดับแล้ว อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้า แห้ง หรือบนกองไม้แห้ง เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟ เหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงาม ไพบูลย์

อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

          พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรม ก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคล นั้น ด้วยใจ อย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออก จาก ปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว จักปรินิพพานใน ปัจจุบันทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน

          ดูกรอานนท์ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณเป็น เครื่องทราบ อินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไป ด้วยใจ แม้ด้วย ประการฉะนี้

          ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนั้น บุคคล ๓ จำพวกข้างต้น คนหนึ่งเป็นผู้ ไม่เสื่อมเป็น ธรรมดา คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา คนหนึ่งเป็นผู้เกิดในอบาย ตกนรก ในบุคคล ๖ จำพวกนั้น บุคคล ๓ จำพวกข้างหลังคนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อม เป็นธรรมดา คนหนึ่งเป็น ผู้เสื่อมเป็นธรรมดา คนหนึ่งเป็นผู้จะปรินิพพานเป็นธรรมดา

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์