พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๘๘-๒๙๗
๑. ฆฏิการสูตร
(พระพุทธเจ้าแย้มพระสรวล)
[๔๐๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์หมู่ใหญ่.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออกจากทาง แล้วได้ทรงแย้มพระสรวล ในประเทศแห่งหนึ่ง. ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดว่า เหตุอะไรหนอ ปัจจัยอะไร ที่พระผู้มีพระภาคทรงแย้มพระสรวล พระตถาคตทั้งหลาย จะทรงแย้ม พระสรวลโดยหาเหตุมิได้นั้นไม่มี ดังนี้.
ท่านพระอานนท์ จึงทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทาง พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุอะไร หนอ ปัจจัยอะไร ที่พระผู้มีพระภาคทรงแย้มพระสรวล พระตถาคตทั้งหลาย จะทรง แย้มพระสรวล โดยหาเหตุมิได้นั้น ไม่มี?
[๔๐๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ที่ประเทศนี้ ได้มีนิคม ชื่อ เวภฬิคะ เป็นนิคมมั่งคั่งและเจริญ มีคนมาก มีมนุษย์หนาแน่น. พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัย เวภฬิคนิคมอยู่.
ดูกรอานนท์ได้ยินว่า ที่นี่เป็นพระอารามของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งตรัสสอนภิกษุสงฆ์ที่นี่.
เรื่องช่างหม้อชื่อฆฏิการะ
(สมณโคดมพระพุทธเจ้า ในกาลสมัยของ พระพุทธเจ้ากัสสป มีชื่อว่า โชติปาละ ซึ่งเป็น สหายของช่างหมอที่ชื่อ ฆฏิการะ เมื่อพระพุทธเจ้ากัสสปเสด็จมาที่นิคมนั้น ฆฏิการะ ชวนสหาย โชติปาละ ไปฟังธรรม แต่ถูกปฏิเสธ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ ได้จับ โชติปาลมาณพที่ชายพก ก็ปฏิเสธ ถึงขนาดจับให้อาบน้ำ ดำผุดดำว่าย จนต้องยอมไป เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้ากัสสปะ ได้ฟังธรรม จนได้บวชประมาณกึ่งเดือน พระพุทธเจ้ากัสสปะ ก็ต้องจาริกไปที่เมืองพารานสี)
[๔๐๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ ได้ปูผ้าสังฆาฏิสี่ชั้นถวาย แล้วกราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้นขอพระผู้มีพระภาคประทับ นั่ง เถิด เมื่อเป็นเช่นนี้ภูมิประเทศนี้ จักได้เป็นส่วนที่พระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า สองพระองค์ทรงบริโภค. พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งบนอาสนะ ที่ท่านพระอานนท์ ปูถวายแล้ว. (พระพุทธเจ้าสองพระองค์ ประทับนั่งในที่เดียวกัน)
จึงตรัสกะพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในประเทศนี้มีนิคม ชื่อเวภฬิคะ เป็นนิคมมั่งคั่ง และเจริญมีคนมาก มีมนุษย์หนาแน่น. ดูกรอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอาศัย เวภฬิคนิคมอยู่ ได้ยินว่า ที่นี่เป็นพระอารามของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาพุทธเจ้า ประทับนั่งตรัสสอนภิกษุสงฆ์ที่นี่. และในเวภฬิคนิคม มีช่างหม้อ ชื่อฆฏิการะเป็นอุปัฏฐาก ของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็น พระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอุปัฏฐากผู้เลิศ. มีมาณพ ชื่อ โชติปาละ เป็นสหาย ของ ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ เป็นสหายที่รัก. (สมณโคดมพระพุทธเจ้า ในกาลสมัยของ พระพุทธเจ้ากัสสป ก็คือ โชติปาละ ซึ่งเป็นสหายของช่างปั้นหมอที่ชื่อ ฆฏิการะ)
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ เรียกโชติปาลมาณพ มาว่า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี.
[๔๐๖] ดูกรอานนท์ เมื่อฆฏิการะช่างหม้อ กล่าวอย่างนี้แล้ว โชติปาล มาณพ ได้กล่าวว่าอย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะ ศีรษะ โล้น นั้นที่เราเห็นแล้วเล่า? ดูกรอานนท์ แม้ครั้งที่สอง ฆฏิการะช่างหม้อ ก็ได้กล่าว กะ โชติปาลมาณพว่า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เรา ได้เห็น พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี.
แม้ครั้งที่สอง โชติปาลมาณพ ก็ได้กล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วย พระสมณะศีรษะโล้นนั้น ที่เราเห็นแล้วเล่า? แม้ครั้งที่สาม ฆฏิการะช่างหม้อก็ได้กล่าวว่า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการ ที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่า เป็นความดี.
ดูกรอานนท์ แม้ครั้งที่สาม โชติปาลมาณพก็กล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วเล่า?
ฆ. เพื่อนโชติปาละ ถ้าอย่างนั้น เรามาถือเอาเครื่องสำหรับสีตัว เมื่อเวลาอาบน้ำ ไปแม่น้ำ เพื่ออาบน้ำกันเถิด โชติปาลมาณพรับคำ ฆฏิการะช่างหม้อแล้ว.
[๔๐๗] ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ และโชติปาลมาณพ ได้ถือเอาเครื่องสำหรับสีตัว เมื่อเวลาอาบน้ำไปยังแม่น้ำ เพื่ออาบน้ำ. ครั้งนั้นแล ฆฏิการะช่างหม้อ ได้เรียกโชติปาลมาณพ มากล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ก็ไม่ไกล พระอารามของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี.
[๔๐๘] ดูกรอานนท์ เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกล่าวอย่างนี้แล้ว โชติปาล มาณพ ได้กล่าวกะ ฆฏิการะช่างหม้อว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไร ด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้น ที่เราเห็นแล้วเล่า? แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม ฆฏิการะช่างหม้อ ก็ได้เรียกโชติปาลมาณพ มากล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ไม่ไกล พระอารามของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนาม ว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า สมมติกันว่าเป็นความดี. แม้ครั้งที่สาม โชติปาล มาณพ ก็ได้กล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไร ด้วย พระสมณะศีรษะโล้นนั้น ที่เราเห็นแล้วเล่า?
[๔๐๙] ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ ได้จับโชติปาล มาณพ ที่ชายพก แล้วกล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ก็ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มี พระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อน โชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี. ลำดับนั้น โชติปาลมาณพให้ ฆฏิการะ ช่างหม้อปล่อยชายพก แล้วกล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์ อะไร ด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้น ที่เราเห็นแล้วเล่า?
ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อจับโชติปาละ ผู้อาบน้ำดำเกล้า ที่ผมแล้วกล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มีพระภาค ทรง พระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจัก เข้าไปเฝ้าพระมีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี.
ครั้งนั้น โชติปาลมาณพ มีความคิดว่า น่าอัศจรรย์หนอท่าน ไม่เคยมีมา หนอ ท่าน ที่ฆฏิการะช่างหม้อผู้มีชาติต่ำ มาจับที่ผมของเราผู้อาบน้ำ ดำเกล้าแล้ว การ ที่เราจะไปนี้ เห็นจะไม่เป็นการไปเล็กน้อยหนอ ดังนี้แล้ว ได้กล่าวกะ ฆฏิการะ ช่างหม้อว่า เพื่อนฆฏิการะ การที่เพื่อนทำความพยายามตั้งแต่ชักชวนด้วยวาจา จับที่ชายพก จนล่วงเลยถึงจับที่ผมนั้น ก็เพื่อจะชวนให้กันไปในสำนักพระผู้มี พระภาค ทรงพระนามว่า กัสสปผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เท่านั้นเอง หรือ?
ฆ. เท่านั้นเองเพื่อนโชติปาละ จริงเช่นนั้นเพื่อน ก็การที่เราได้เห็นพระผู้มี พระภาค ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นความดี.
โช. เพื่อนฆฏิการะ ถ้าอย่างนั้น จงปล่อยเถิด เราจักไป.
[๔๑๐] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ และโชติปาลมาณพ ได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ถึงที่ประทับ แล้วฆฏิการะช่างหม้อถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง. ส่วนโชติปาลมาณพ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ฆฏิการะช่างหม้อนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ นี่โชติปาลมาณพ เป็นสหายที่รักของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มี พระภาค โปรดทรง แสดงธรรม แก่โชติปาลมาณพ นี้เถิด
[๔๑๑] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังฆฏิการะช่างหม้อ และโชติปาลมาณพ ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
ลำดับนั้น ฆฏิการะ ช่างหม้อ และโชติปาลมาณพ อันพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เพลิดเพลินชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลุกจากอาสนะ ถวาย อภิวาทพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทำประทักษิณ แล้ว หลีกไป
[๔๑๒] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น โชติปาลมาณพ ได้ถามฆฏิการะ ช่างหม้อว่า เพื่อนฆฏิการะเมื่อท่านฟังธรรมนี้อยู่ และเมื่อเช่นนั้น ท่านจะออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิต หรือหนอ?
ฆ. เพื่อนโชติปาละ ท่านก็รู้อยู่ว่า เราต้องเลี้ยงมารดาบิดา ซึ่งเป็นคนตาบอด ผู้ชรา แล้วมิใช่หรือ?
โช. เพื่อนฆฏิการะ ถ้าเช่นนั้น เราจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.
[๔๑๓] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ และโชติปาลมาณพ ได้ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ฆฏิการะช่างหม้อได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี่โชติปาลมาณพ เป็น สหายที่รักของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคทรงให้โชติปาลมาณพ นี้ บวชเถิด ดังนี้โชติปาลมาณพ ได้บรรพชาอุปสมบทแล้วในสำนัก พระผู้มีพระภาค ทรงพระนาม ว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า.
ครั้นเมื่อโชติปาลมาณพ อุปสมบทแล้ว ไม่นานประมาณกึ่งเดือน พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในเวภฬิคนิคมตาม ควรแก่พระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จ หลีกจาริกไปทาง พระนครพาราณสี เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงพระนครพาราณสี แล้ว
--------------------------------------------------------------------------------
เรื่องพระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกิ
[๔๑๔] ดูกรอานนท์ ได้ยินว่า ในคราวนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี.
ครั้งนั้น พระเจ้ากาสี ทรงพระนามว่า กิกิ ได้ทรงสดับว่าได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จถึงพระนครพาราณสี ประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี.
ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกา สิราช รับสั่งให้เทียบราชยานที่ดีๆ แล้วทรงราชยาน อย่างดีเสด็จออกจากพระนคร พาราณสี ด้วยราชยานอย่างดี ด้วยราชานุภาพอย่าง ยิ่งใหญ่ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า เสด็จไป โดยเท่าที่ยานจะไปได้แล้ว เสด็จลงจากราชยาน เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาท เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๔๑๕] ดูกรอานนท์ พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยัง พระเจ้ากิกิกาสิราช ให้ทรงเห็นแจ้ง ให้ทรง สมาทาน ให้ทรงอาจหาญ ให้ทรงร่าเริง ด้วยธรรมีกถา.
ลำดับนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราช อันพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทรงเห็นแจ้ง ให้ทรงสมาทาน ให้ทรงอาจหาญ ให้ทรงร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี พระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารของหม่อมฉัน ในวันพรุ่งนี้.
พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรับด้วยอาการดุษณีภาพ. พระเจ้ากิกิกาสิราช ทรงทราบว่าพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรับนิมนต์แล้วเสด็จลุก จากอาสนะ ถวายบังคม ทรงทำประทักษิณแล้ว เสด็จหลีกไป.
พอล่วงราตรีนั้นไป พระเจ้ากิกิกาสิราช รับสั่งให้ตกแต่ง ขาทนียโภชนียะ อันประณีต ล้วนแต่เป็นข้าวสาลี อันขาวและอ่อน มีสิ่งดำเก็บออกหมดแล้ว มีแกง และ กับเป็นอเนก ในพระราชนิเวศน์ของท้าวเธอ แล้วรับสั่งให้ราชบุรุษไปกราบทูล ภัตกาลว่า ได้เวลาแล้ว พระเจ้าข้า ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.
[๔๑๖] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร และจีวร เสด็จเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ ของพระเจ้ากิกิกาสิราช ประทับนั่งบนอาสนะที่เขา จัดถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.
ลำดับนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราช ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุข ให้อิ่มหนำเพียงพอ ด้วยของเคี้ยวของฉัน อันประณีต ด้วยพระหัตถ์ของท้าวเธอ ครั้นพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสปอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยเสร็จ วางพระหัตถ์ จากบาตรแล้ว พระเจ้ากิกิกาสิราช ทรงถืออาสนะต่ำอันหนึ่ง ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค ทรงรับ การอยู่ จำพรรษา ณ เมืองพาราณสี ของหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจักได้บำรุง พระสงฆ์ เห็นปานนี้.
พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเลย มหาบพิตรอาตมภาพ รับการอยู่จำพรรษาเสียแล้ว. แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม พระเจ้ากิกิกาสิราชได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค ทรงรับ การอยู่จำพรรษา ณ เมืองพาราณสีของหม่อมฉันเถิด หม่อมฉัน จักได้บำรุงพระสงฆ์ เห็นปานนี้.
แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่ากัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตรัสว่า อย่าเลย มหาบพิตร อาตมภาพ รับการอยู่จำพรรษาเสียแล้ว. ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราช ทรงเสียพระทัย ทรงโทมนัสว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงรับการอยู่จำพรรษา ณ เมืองพาราณสี ของเราเสียแล้ว ดังนี้ แล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีใครอื่นที่เป็นอุปัฏฐาก ยิ่งกว่าหม่อมฉันหรือ?
พระกัสสปพุทธเจ้าสรรเสริญช่างหม้อชื่อ ฆฏิการะ
พระกัสสปทรงสรรเสริญ ช่างหม้อฆฏิการะ
1. ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
2. เว้นขาดจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเม มุสาวาท และสุราเมรัย
3. มีความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวใน พระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์
4. ประกอบด้วยศีล ที่พระอริยเจ้าใคร่
5. บริโภคมื้อเดียว มีศีล มีธรรม ปล่อยวางแก้วมณีและทองคำ และไม่ใช้ทองและเงิน
6. ไม่ขุดแผ่นดินด้วยสาก และ ด้วยมือของตน
7. ช่างหม้อฆฏิการะ เลี้ยงมารดาบิดา ผู้ชรา ตาบอด
8. ช่างหม้อฆฏิการะ เป็นอุปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น
9. พ.กัสสป ได้เอาข้าวสุกเอาแกงที่ฆฏิการะทำไว้ไปฉัน "เป็นลาภของเราแล้วหนอ"
10. ฆฏิการะช่างหม้อ ปีติและสุข ตลอดกึ่งเดือน มารดาบิดาปีติและสุขตลอดเจ็ดวัน
11.กุฎีของพระกัสสป รั่ว ฆฏิการะให้ภิกษุรื้อหลังคาบ้านให้ไปตามสะดวก
|
[๔๑๗] มีอยู่ มหาบพิตร นิคมชื่อเวภฬิคะ ช่างหม้อชื่อ ฆฏิการะ อยู่ใน นิคมนั้นเขาเป็นอุปัฏฐาก ของอาตมภาพ นับเป็นอุปัฏฐากชั้นเลิศ พระองค์แล ทรงเสีย พระทัย มีความโทมนัสว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสปอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงรับการอยู่จำพรรษา ในเมืองพาราณสีของเราเสียแล้ว ความเสียใจ และความโทมนัสนี้นั้น ย่อมไม่มี และจักไม่มีในช่างหม้อฆฏิการะ
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะแล(๑) ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ (๒) เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน เว้นขาดจาก กาเม สุมิจฉาจาร เว้นขาดจากมุสาวาท เว้นขาดจากน้ำเมาคือสุรา และเมรัย อันเป็นที่ตั้ง แห่งความ ประมาท
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ (๓) เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่ หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ (๔) ประกอบด้วยศีล ที่พระอริยเจ้าใคร่
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ (๔) เป็นผู้หมดสงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ใน ทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (๕) บริโภคภัตมื้อเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ปล่อยวางแก้วมณีและทองคำ ปราศจากการใช้ทองและเงิน
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ แล (๖) ไม่ขุดแผ่นดินด้วยสาก และ ด้วยมือ ของตน นำมาแต่ดินตลิ่งพัง หรือขุยหนูซึ่งมีอยู่ด้วยหาบ ทำเป็นภาชนะแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ในภาชนะนี้ ผู้ใดต้องการ ผู้นั้นจงวางถุงใส่ข้าวสาร ถุงใส่ถั่วเขียว หรือถุงใส่ถั่วดำไว้ แล้วนำภาชนะ ที่ต้องการนั้นไปเถิด
ดูกรมหาบพิตร (๗) ช่างหม้อฆฏิการะ เลี้ยงมารดาบิดา ผู้ชรา ตาบอด
(๘) ช่างหม้อฆฏิการะ เป็นอุปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่กลับจาก โลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าประการหมดสิ้นไป
[๔๑๘] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่นิคม ชื่อเวภฬิคะนั้นเอง. เวลาเช้าอาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปหามารดาบิดาของฆฏิการะ ช่างหม้อ ถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่าดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า? มารดาบิดา ของฆฏิการะ ช่างหม้อ ตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไป เสียแล้ว ขอพระองค์ จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้ เอาแกงจากหม้อแกงนี้ เสวยเถิด.
ดูกรมหาบพิตร (๙) ครั้งนั้นอาตมภาพ ได้เอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกง จากหม้อแกงฉันแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป.
ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหา มารดา บิดา ถึงที่อยู่แล้วได้ถามว่า ใครมาเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง บริโภคแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไป.
มารดาบิดาบอกว่า ดูกรพ่อ พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่า กัสสปอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
ครั้งนั้นฆฏิการะช่างหม้อ มีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดี แล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคย อย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร (๑๐) ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละ ฆฏิการะช่างหม้อ ตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
[๔๑๙] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง. ครั้งนั้น เวลาเช้าอาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปหามารดาบิดา ของ ฆฏิการะ ช่างหม้อถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่าดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า?
มารดาบิดาของ ฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญอุปัฏฐากของ พระองค์ ออกไปเสียแล้ว ขอพระองค์จงเอาขนมสด จากกระเช้านี้ เอาแกงจาก หม้อแกงนี้เสวยเถิด.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมภาพได้เอาขนมสด จากกระเช้า เอาแกงจากหม้อ แกงฉันแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป. ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ เข้าไปหามารดา บิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมาเอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกง บริโภค แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.
มารดาบิดาบอกว่า ดูกรพ่อ พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสป อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว เสด็จลุกจาก อาสนะหลีกไป.
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ มีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้ว หนอ ที่พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสปอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคย อย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อ ตลอดกึ่งเดือน ไม่ละ มารดาบิดา ตลอดเจ็ดวัน. (ข้อความนี้ ฉบับมหาจุฬาแปลว่า ปีติและสุขไม่จางหายจาก ช่างหม้อชื่อฆฏิการะตลอดกึ่งเดือน ไม่จางหายจากมารดาบิดาตลอด ๗ วัน)
(ช่างหม้อฆฏิการะ รื้อหลังคาบ้านตนเพื่อนำไปสร้างกุฎีของ พ.กัสสป)
[๔๒๐] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง. ก็สมัยนั้น กุฏิรั่ว. อาตมภาพจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงพากันไปดูหญ้าที่นิเวศน์ของ ฆฏิการะช่างหม้อ. เมื่ออาตมภาพกล่าว อย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญ้าที่ นิเวศน์ ของฆฏิการะ ช่างหม้อไม่มี มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ ฆฏิการะ ช่างหม้อ อยู่เท่านั้น.
อาตมภาพ ได้สั่งภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากัน ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือน ที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่มาเถิด.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นได้ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือน ที่ ฆฏิการะช่างหม้ออยู่มาแล้ว. ลำดับนั้น มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อ ได้กล่าวกะ ภิกษุเหล่านั้นว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเล่า.
ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ดูกรน้องหญิง (๑๑) กุฎีของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว มารดาบิดาฆฏิการะ ช่างหม้อได้กล่าวว่า เอาไป เถิดเจ้าข้า เอาไปตามสะดวกเถิด ท่านผู้เจริญ.
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ เข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า?
มารดาบิดาตอบว่า ดูกรพ่อ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า กุฎีของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนาม ว่า กัสสปอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว. ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ฆฏิการะ ช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสปอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคย อย่างยิ่ง เช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อ ตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน. และครั้งนั้น เรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่ทั้งหลังนั้น มีอากาศเป็นหลังคา อยู่ตลอดสามเดือน ถึงฝนตกก็ไม่รั่ว ดูกรมหาบพิตร ฆฏิการะช่างหม้อมีคุณเห็นปานนี้.
กิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นลาภของฆฏิการะช่างหม้อแล้ว ฆฏิการะ ช่างหม้อได้ดีแล้ว ที่พระผู้มีพระภาค ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เขา.
[๔๒๑] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราช ได้ส่งเกวียนบรรทุก ข้าวสารข้าวปัณฑุมุฑิกสาลี ประมาณ ๕๐๐ เล่ม และเครื่องแกงอันสมควรแก่ ข้าวสารนั้น ไปพระราชทานแก่ฆฏิการะช่างหม้อ.
ครั้งนั้น ราชบุรุษทั้งหลาย เข้าไปหาฆฏิการะช่างหม้อ แล้วได้กล่าวว่า ดูกรท่านผู้เจริญ นี่ข้าวสารข้าวปัณฑุมุฑิกสาลี บรรทุกเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม และเครื่องแกง อันสมควรแก่ข้าวสารนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราช ส่งมาพระราชทาน แก่ท่านแล้ว จงรับของพระราชทานเหล่านั้นไว้เถิด.
ฆฏิการะช่างหม้อได้ตอบว่า พระราชามีพระราชกิจมาก มีราชกรณียะมาก ของที่พระราชทานมานี้ อย่าเป็นของข้าพเจ้าเลย จงเป็นของหลวงเถิด.
[๔๒๒] ดูกรอานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็น โชติปาลมาณพแน่นอน แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเราได้เป็น โชติปาลมาณพ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ยินดีชื่นชม พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล.
จบ ฆฏิการสูตร ที่ ๑.
|