เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
 ปายาสิราชัญญสูตร มีทิฐิว่า 1.โลกหน้าไม่มี 2.สัตว์ผุดเกิดไม่มี 3. กรรมสัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี 1341
 

(โดยย่อ)

ปายาสิราชัญญสูตร เจ้าปายาสิ มีทิฐิ ว่า
1.โลกหน้าไม่มี
2. เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี
3. ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี



เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน

 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๒๓๔

๑๐. ปายาสิราชัญญสูตร (๒๓)


            [๓๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง ท่านพระกุมารกัสสป เที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ลุถึงนครแห่งชาวโกศล ชื่อเสตัพยะ ได้ยินว่าสมัยนั้น ท่านพระกุมารกัสสปอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด ด้านเหนือนครเสตัพยะ เขตนครเสตัพยะ

      ก็สมัยนั้น เจ้าปายาสิครอง เสตัพยนคร ซึ่งคับคั่งด้วยประชาชน และหมู่สัตว์ สมบูรณ์ด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติอัน พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานปูนบำเหน็จ ให้เป็นส่วนพรหมไทย

      สมัยนั้น ทิฐิอันลามกเห็นปานนี้ บังเกิดแก่ เจ้าปายาสิ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี

      พราหมณ์และคฤหบดี ชาวนครเสตัพยะ ได้ทราบข่าวว่า ท่านพระกุมารกัสสป สาวกของพระสมณโคดม เที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ลุถึงนครเสตัพยะ แล้ว อยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด ด้านเหนือ นครเสตัพยะ เขตนครเสตัพยะเกียรติศัพท์ อันงามของท่านกุมารกัสสป องค์นั้นขจรไปแล้ว อย่างนี้ว่า เป็นบัณฑิต เฉียบแหลมมีปัญญา เป็นพหูสูต ถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดี เป็นทั้งพุทธบุคคล เป็นทั้งพระอรหันต์ ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล ดังนี้ ครั้งนั้นพราหมณ์ และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ พากันออกจาก นครเสตัพยะ เป็นหมู่ๆ บ่ายหน้าทางทิศอุดร ไปยังป่าไม้สีเสียด ฯ

        [๓๐๒] สมัยนั้น เจ้าปายาสิ ทรงพักผ่อนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้นบนได้เห็น พราหมณ์ และคฤหบดี ชาวนครเสตัพยะ พากันออกจากนครเสตัพยะเป็นหมู่ๆ บ่ายหน้าไปทางทิศอุดร จึงเรียกนายนักการ มาถามว่าพ่อนักการ พราหมณ์ และ คฤหบดี ชาวนครเสตัพยะ พากันออกจากนครเสตัพยะ เป็นหมู่ๆ บ่ายหน้าทางทิศ อุดรไปยังป่าไม้สีเสียดทำไมกัน

      น. มีเรื่องอยู่พระองค์ พระสมณกุมารกัสสป สาวกของพระสมณโคดม เที่ยวจาริกไป ในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ลุถึงนครเสตัพยะแล้ว อยู่ณ ป่าไม้สีเสียด ด้านเหนือนครเสตัพยะ เขตนครเสตัพยะ เกียรติศัพท์อันงามของท่านกุมารกัสสป องค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา เป็นพหูสูต มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดี เป็นทั้งพุทธบุคคล เป็นทั้งพระอรหันต์ พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น พากันเข้าไปหาเพื่อดูท่าน กุมารกัสสปองค์นั้น

      ป. ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้าไปหาพราหมณ์ และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ บอกเขา อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย เจ้าปายาสิ สั่งว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงรอก่อน เจ้าปายาสิ จะเข้าไปหาพระสมณ กุมารกัสสปด้วย เมื่อก่อน พระกุมารกัสสปได้ยัง พราหมณ์ และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ ผู้เขลาไม่เฉียบแหลมให้เข้าใจว่า แม้เพราะ เหตุนี้ โลกหน้า มีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วมีอยู่ พ่อนักการ ความจริงโลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่ว ไม่มี

      นักการรับพระดำรัส ของเจ้าปายาสิแล้ว เข้าไปหาพราหมณ์และคฤหบดี ชาวนครเสตัพยะ แล้วบอกว่า ท่านทั้งหลาย เจ้าปายาสิรับสั่งว่า ขอท่านทั้งหลาย จงรอก่อน เจ้าปายาสิ จะเสด็จเข้าไปหาพระกุมารกัสสปด้วย

      ลำดับนั้น เจ้าปายาสิ แวดล้อมด้วยพราหมณ์ และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะเสด็จเข้าไปหา ท่านพระกุมารกัสสป ยังป่าไม้สีเสียดครั้นแล้วได้ปราศรัย กับ ท่านพระกุมารกัสสป ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายพราหมณ์ และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ บางพวกก็ถวาย อภิวาท บางพวกก็ปราศรัย บางพวกก็ประนมอัญชลีไปทางท่าน พระกุมารกัสสปบางพวกก็ประกาศชื่อและโคตรบางพวกก็นิ่งอยู่ แล้วต่างก็นั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วเจ้าปายาสิ ได้ตรัสกะท่านพระกุมารกัสสปอย่างนี้ว่า

(คำถาม๑)

    ดูกรท่านกัสสป ข้าพเจ้า มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

      ท่านพระกุมารกัสสป ถวายพรว่า ดูกรบพิตร อาตมภาพได้เห็นแล้ว หรือได้ยินแล้ว ซึ่งบุคคลผู้มีวาทะอย่างนี้ ผู้มีทิฐิอย่างนี้ ดำริว่าไฉนเล่า เขาจึงกล่าวอย่างนี้ ว่าแม้เพราะเหตุนี้โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มีผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี

      ถ้าเช่นนั้นอาตมภาพ จะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ บพิตรพึงทรงพยากรณ์ ตามที่ควรแก่บพิตร บพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระจันทร์ และพระอาทิตย์นี้ อยู่ในโลกนี้ หรือในโลกหน้า เป็นเทวดาหรือมนุษย์

(คำถาม๒)

       ป. ดูกรท่านกัสสป พระจันทร์และพระอาทิตย์นี้ อยู่ในโลกหน้า มิใช่โลกนี้ เป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์

(คำถาม ๓)

       ก. ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แลต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วมีอยู่

        [๓๐๓] ป.ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้า ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

(คำถาม ๔)

      ก. ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ
      ป.มีอยู่ ท่านกัสสป

      ก. เปรียบเหมือนอะไร บพิตร

      ดูกรท่านกัสสป มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคน ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด สมัยอื่น คนเหล่านั้นป่วย ได้รับทุกข์เป็นไข้หนักเมื่อใด ข้าพเจ้าทราบว่า บัดนี้ คนพวกนี้จักไม่หายจากป่วย เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเข้าไปหาคนพวกนั้น แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

      ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า บุคคล ที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พวกท่านเป็น คนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่นมีความเห็นผิด

      ถ้าคำของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นจริง พวกท่านเบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก จักต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก พวกท่านพึง เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกไซร้ พึงมาบอกเราด้วยวิธีไรว่า แม้เพราะ เหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่ว มีอยู่

      พวกท่านแล พอเป็นที่เชื่อถือ พอเป็นที่ไว้ใจของเราได้ สิ่งใดที่พวกท่านเห็น สิ่งนั้นจักเป็นเหมือนดังเราเห็นเอง คนเหล่านั้นรับ คำข้าพเจ้าแล้ว หาได้มาบอกไม่ หาได้ส่งทูตมาไม่

      ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่ อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

        [๓๐๔] ก. ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตร ในข้อนี้ บพิตรพึงทรงพยากรณ์ ตามที่ควรแก่บพิตร บพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

       บุรุษในโลกนี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบ มาแสดงแก่บพิตรว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้นี้เป็นโจรประพฤติชั่วหยาบ ต่อพระองค์พระองค์ ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใด แก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสอาชญานั้นเถิด

      บพิตรพึงตรัสบอกบุรุษพวกนั้น อย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่าน จงเอาเชือกอย่าง เหนียวมัดบุรุษนี้ให้มีมือไพล่หลัง อย่างมั่นคง แล้วโกนศีรษะพาเที่ยวตระเวนไป ตามถนนทุกถนน ตามตรอกทุกตรอก ด้วยบัณเฑาะว์มีเสียงดัง แล้วออกทางประตู ด้านทักษิณ แล้วตัดศีรษะเสียที่ ตะแลงแกง ทางทิศทักษิณแห่งพระนคร

      บุรุษพวกนั้นรับพระดำรัสแล้ว พึงเอาเชือก อย่างเหนียวมัดบุรุษนั้น ให้มีมือ ไพล่หลัง อย่างมั่นคง แล้วโกนศีรษะพาเที่ยวตระเวน ไปตามถนนทุกถนน ตามตรอก ทุกตรอก ด้วยบัณเฑาะว์ มีเสียงดัง แล้วออกโดยประตูด้านทักษิณ แล้วให้นั่งที่ ตะแลงแกง ทางทิศทักษิณแห่งพระนคร

      ดูกรบพิตร โจรจะพึงได้รับหรือหนอ ซึ่งความผ่อนผันในนายเพชฌฆาตว่า ขอท่านนายเพชฌฆาตจงรอจนกว่าข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่ มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ในบ้านหรือนิคมโน้นแล้วจะมาหรือว่านายเพชฌฆาต จะพึงตัดศีรษะโจร ผู้กำลังอ้อนวอนอยู่ ฯ

      ป. ดูกรท่านกัสสป โจรนั้นจะไม่พึงได้รับความผ่อนผัน ในนายเพชฌฆาตว่า ขอท่านนายเพชฌฆาตจงรอจนกว่าข้าพเจ้า จะได้ไปแจ้งแก่ มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ในบ้านหรือนิคมโน้นแล้วจะมา ที่แท้นายเพชฌฆาตจะพึงตัดศีรษะโจร นั้นผู้กำลังอ้อนวอนอยู่ทีเดียว ฯ

      ก. ดูกรบพิตร โจรนั้นเป็นมนุษย์ ยังไม่ได้รับความผ่อนผันในนายเพชฌฆาต ผู้เป็นมนุษย์ว่า ขอท่านนายเพชฌฆาต จงรอจนกว่า ข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่ มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตในบ้านหรือนิคมโน้นแล้วจะมา มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบพิตร ที่เป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาตนรกแล้ว จักได้ความ ผ่อนผัน ในนายนิรยบาลละหรือว่า

      ขอท่านนายนิรยบาล จงรอจนกว่าข้าพเจ้า จะไปบอกแก่เจ้าปายาสิ แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วมีอยู่ ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตร

      นี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น มีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

        [๓๐๕] ป. ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้า ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้น ไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

      ก. ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ
        ป. มีอยู่ ท่านกัสสป ฯ
        ก. เปรียบเหมือนอะไร บพิตร

      ดูกรท่านกัสสป มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้าย ผู้อื่นมีความเห็นชอบ สมัยอื่นคนเหล่านั้นป่วย ได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก เมื่อใดข้าพเจ้าทราบว่า บัดนี้คนพวกนี้จักไม่หายจากป่วย เมื่อนั้น ข้าพเจ้าไปหาคนพวก นั้นแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

      ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่าบุคคลที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามงดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วย ความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

      พวกท่าน เป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่นมีความเห็นชอบ ถ้าคำของสมณพราหมณ์ นั้นเป็นจริง พวกท่าน เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้าเบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก

      พวกท่านพึงเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ไซร้ พึงมาบอกเราด้วยวิธีไรว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น มีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่ว มีอยู่ พวกท่านแล เป็นที่เชื่อถือ เป็นที่ ไว้ใจของเราได้ สิ่งที่พวกท่านเห็น สิ่งนั้นจัก เป็นหมือนดังเราเห็นเอง คนเหล่านั้น รับคำข้าพเจ้าแล้ว หาได้มาบอกไม่ หาได้ ส่งทูตมาไม่

      ดูกรท่านกัสสป ปริยายนี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มีเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ

        [๓๐๖] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมาจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา

      ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจมแล้วในหลุมคูถ จมมิดศีรษะเมื่อเป็นเช่นนั้น บพิตรพึงตรัสสั่งบุรุษว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงช่วยกัน ยกบุรุษนั้นขึ้นจากหลุมคูถนั้น พวกเขารับพระดำรัสของบพิตรแล้ว จึงช่วยกันยกบุรุษนั้นขึ้นจากหลุมคูถนั้น

      บพิตรพึงตรัสบอก พวกเขาอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาซี่ไม้ไผ่ขูดคูถ ออกจากกายบุรุษนั้น ให้หมดจด พวกเขารับพระดำรัสของบพิตรแล้ว เอาซี่ไม้ไผ่ ขูดคูถออกจากกายบุรุษนั้นหมดจดแล้ว

      บพิตรพึงตรัสบอกพวกเขา อย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาดิน สีเหลือง ขัดสีกายบุรุษนั้นสามครั้ง พวกเขารับพระดำรัสของบพิตรแล้ว เอาดิน สีเหลืองชัดสี กายบุรุษนั้นสามครั้ง

      บพิตรพึงตรัสสั่งพวกเขาอย่างนี้ว่าถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาน้ำมันชะโลม บุรุษ นั้น แล้วกระทำการลูบไล้ด้วยจุณอย่างละเอียด ให้ผุดผ่องสิ้นสามครั้ง พวกเขาก็เอา น้ำมันชะโลมบุรุษนั้น แล้วกระทำการลูบไล้ ด้วยจุณอย่างละเอียดให้ผุดผ่อง สิ้นสามครั้ง

      บพิตรพึงตรัส บอกพวกเขาอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงตัดผม และหนวด ของบุรุษนั้น พวกเขาก็ตัดผมและหนวดของบุรุษนั้น


      บพิตรพึงตรัสบอกพวกเขาอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่าน จงนำพวงดอกไม้ เครื่องลูบไล้และผ้า ซึ่งล้วนมีราคามากเข้าไปให้แก่บุรุษนั้น พวกเขาก็นำพวงดอกไม้ เครื่องลูบไล้และผ้า ซึ่งล้วนมีราคามากเข้าไปให้แก่บุรุษนั้น

      บพิตรพึงตรัสบอกพวก เขาอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่าน จงเชิญบุรุษนั้นขึ้น สู่ปราสาท แล้วบำรุงด้วย กามคุณ ๕ พวกเขาก็เชิญบุรุษนั้นขึ้นสู่ปราสาท แล้วบำรุง ด้วยกามคุณ ๕

      ดูกรบพิตร บพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อบุรุษนั้นอาบน้ำแล้ว ลูบไล้ ดีแล้ว ตัดผมและหนวดแล้ว ประดับด้วยอาภรณ์ แก้วมณีแล้ว นุ่งผ้าขาวสะอาด ขึ้นสู่ ปราสาทอย่างประเสริฐชั้นบน เพรียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่ จะพึงม ีความ ประสงค์ที่จะจมลงในหลุมคูถนั้นอีก บ้างหรือหนอ ฯ

      ป. หามิได้ ท่านกัสสป
      ก. ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร

      ป. เพราะหลุมคูถไม่สะอาด เป็นทั้งไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่สะอาด ทั้งมีกลิ่น เหม็น ทั้งนับว่ามีกลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งนับว่าน่าเกลียด ทั้งปฏิกูล ทั้งนับว่า ปฏิกูล
      ก. ฉันนั้นแหละ บพิตร พวกมนุษย์เป็นผู้ไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่สะอาด ทั้งมี กลิ่นเหม็น ทั้งนับว่ามีกลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งนับว่าน่าเกลียด ทั้งปฏิกูล ทั้งนับว่าปฏิกูลของพวกเทวดา กลิ่นมนุษย์ย่อมฟุ้งไปในเทวดา ตลอดร้อยโยชน์ 

      ก็มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบพิตร ที่เป็นคนงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากการพูดเท็จพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตกไปเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์แล้ว พวกเขาจักมาทูล พระองค์ได้ละหรือว่า  

      แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

      ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้า มีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

        [๓๐๗] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้ายังคง มีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี

      ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้า ไม่มีเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ มีอยู่ ท่านกัสสป เปรียบเหมือนอะไร บพิตร

      ดูกรท่านกัสสป มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคน งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัย อันเป็นฐานแห่งความประมาท

      สมัยอื่น คนเหล่านั้น ป่วยได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก เมื่อใด ข้าพเจ้าทราบว่า บัดนี้คนพวกนี้จักไม่หายจากป่วย เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเข้าไปหาคนพวกนั้นแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

      บุคคลที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นฐานแห่งความประมาท เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความ เป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์

      พวกท่านเป็นคนเว้น จากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดใน กาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัยอันเป็นฐาน แห่งความประมาท ถ้าคำของสมณพราหมณ์ พวกนั้นเป็นความจริง

      พวกท่านเบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความ เป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก พวกท่านพึง เข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ถึงความ เป็นสหายกับเทวดา ชั้นดาวดึงส์ไซร้ พึงมาบอกเรา ด้วยวิธีไรว่า

      แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ พวกท่านแล พอเป็นที่เชื่อถือ พอเป็นที่ไว้ใจของเราได้ สิ่งใด ที่พวกท่านเห็น สิ่งนั้นจักเป็นเหมือนดังเราเห็นเอง คนเหล่านั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว หาได้มาบอกไม่ หาได้ส่งทูตมาไม่

      ดูกรท่านกัสสปปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

        [๓๐๘] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตร ในข้อนี้ บพิตรพึงทรงพยากรณ์ ตามที่ควรแก่บพิตร ร้อยปีของมนุษย์ เป็นวันหนึ่งคืนหนึ่ง ของพวก เทวดา ชั้นดาวดึงส์ สามสิบราตรี โดยราตรีนั้น เป็นเดือนหนึ่ง สิบสองเดือน โดยเดือนนั้น เป็นปีหนึ่ง พันปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของพวกเทวดา ชั้นดาวดึงส์

      มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบพิตร ที่เป็นคนเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัย อันเป็นฐานแห่งความ ประมาท เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหาย กับพวก เทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว ถ้าพวกเขาจักมีความคิดอย่างนี้ว่า รอเวลาที่พวกเรา เพรียบพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่ตลอดสองคืนสองวัน หรือสามคืนสามวัน ก่อน จะพึงไปทูลเจ้าปายาสิว่า

      แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ พวกเขาจะพึงมาทูลว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบาก ของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ บ้างหรือหนอ

      หามิได้ ท่านกัสสป ด้วยว่า พวกเราถึงจะทำกาละไปนาน แล้วก็จริง แต่ใครเล่า บอกความข้อนี้ แก่ท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้น ดาวดึงส์ มีอายุยืนเท่านี้ พวกเรามิได้เชื่อต่อท่านกัสสปว่า พวกเทวดา ชั้นดาวดึงส์ มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดา ชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้

       ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิด ไม่พึงเห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบและไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์ เขาจะพึงพูดอย่างนี้ว่า รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบ และไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ ไม่มีผู้ที่เห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดงสีแดงฝาด รูปที่เรียบและ ไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ ก็ไม่มี เราไม่รู้สิ่งนี้ เราไม่เห็นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มี ดูกรบพิตร บุคคล เมื่อจะพูดให้ถูก จะพึงพูดดังนั้น หรือหนอ

      หามิได้ ท่านกัสสป รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบ และไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์มีอยู่ ผู้ที่เห็น รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบและไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ ก็มีอยู่ ดูกรท่านกัสสป บุคคลนั้นเมื่อจะพูดให้ถูก จะพึงพูดว่าเราไม่รู้สิ่งนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มีดังนี้ หาได้ไม่

      ฉันนั้นแหละ บพิตร บพิตรย่อมปรากฏเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด เหตุพระดำรัส ที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ก็ใครเล่าบอกความแก่ท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีอายุยืนเท่านี้ พวกเรามิได้เชื่อ ต่อ ท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีอยู่หรือว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีอายุยืนเท่านี้ โลกหน้า บุคคลจะพึงเห็น เหมือนดังที่บพิตรทรงทราบ ด้วยมังสจักษุนี้ หามิได้

      ดูกรบพิตร สมณพราหมณ์ พวกใดเสพเสนาสนะ อันสงัดซึ่งอยู่ในป่า สมณ พราหมณ์ พวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ในเสนาสนะ นั้น ยังทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ มีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์แล้ว ย่อมแลเห็น ทั้งโลกนี้ทั้งโลกหน้า และเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น ก็โลกหน้า บุคคล จะพึงเห็นได้ ด้วยประการฉะนี้แล หาเหมือนดังที่บพิตรทรงทราบ ด้วยมังสจักษุนี้ไม่  

      ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ ว่าแม้เพราะเหตุนี้ โลก หน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

        [๓๐๙] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้า ก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิด ขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

       ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้ เพราะเหตุนี้โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ ทำดี ทำชั่ว ไม่มี มีอยู่หรือ
        มีอยู่ ท่านกัสสป
        เปรียบเหมือนอะไร บพิตร

      ดูกรท่านกัสสป ข้าพเจ้าได้เห็นสมณพราหมณ์ในโลกนี้ ซึ่งเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ยังประสงค์จะมีชีวิตอยู่ ไม่ประสงค์จะตาย ยังปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า ถ้าท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มี  กัลยาณธรรม พวกนี้จะพึงทราบอย่างนี้ว่า เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้ว คุณงามความดีจักมีดังนี้ไซร้

      บัดนี้ ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมพวกนี้ พึงดื่มยาพิษ พึงนำมา ซึ่งศาตรา พึงผูกคอตาย หรือพึงโจนลงไปในเหว ก็เพราะเหตุที่ท่านสมณพราหมณ์ ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม พวกนี้ไม่ทราบอย่างนี้ว่า เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้ว คุณงามความดีจักมี ฉะนั้นจึงยังประสงค์จะมีชีวิตอยู่ ไม่ประสงค์จะตาย ยังปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์

      ดูกรท่านกัสสป ปริยาย แม้นี้แลเป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้า ไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

        [๓๑๐] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา เรื่องเคยมีมา แล้ว พราหมณ์คนหนึ่ง มีภริยาสองคน ภริยาคนหนึ่งมีบุตรอายุได้ ๑๐ ปี หรือมีอายุได้ ๑๒ ปี ภริยาคนหนึ่ง ตั้งครรภ์จวนจะคลอด

      ครั้งนั้น พราหมณ์นั้น ทำกาละแล้ว จึงมาณพนั้นได้พูดกะแม่เลี้ยงว่า แม่ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินหรือทอง ทั้งหมดนั้นของฉัน แม่หามีส่วนอะไรในทรัพย์สมบัตินี้ไม่ ขอแม่จงมอบมรดก ซึ่งเป็นของบิดาแก่ฉันเถิด เมื่อเขาพูดอย่างนั้นแล้ว นางพราหมณี กล่าวตอบมาณพนั้นว่า พ่อ ขอพ่อจงรอจนกว่าแม่จะคลอดเถิด ถ้าลูกที่ คลอดออกมาเป็นชาย เขาจักได้รับส่วนหนึ่งถ้าเป็นหญิง ก็จักเป็นบาทปริจาริก ของพ่อ    

      แม้ครั้งที่สอง มาณพก็ได้พูดกะแม่เลี้ยงอย่างนั้น ... แม้ครั้งที่สอง นางพราหมณี นั้น ก็ได้พูดกะมาณพนั้นอย่างนั้น ... แม้ครั้งที่สาม มาณพนั้นก็ได้พูด กะแม่เลี้ยง อย่างนั้น ว่าแม่ ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินหรือทองทั้งหมดนั้นเป็นของฉัน แม่หามี ส่วนอะไรในทรัพย์สมบัตินี้ไม่ ขอแม่จงมอบมรดก ซึ่งเป็นของบิดาแก่ฉันเถิด 

      ลำดับนั้นนางพราหมณีนั้น ถือมีดเข้าไปในห้องน้อย แหวะท้อง เพื่อจะทราบว่า บุตรเป็นชายหรือหญิงนางพราหมณีได้ทำลายตน ชีวิตครรภ์และทรัพย์สมบัติ เพราะนางพราหมณีเป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหามรดกโดยอุบาย ไม่แยบคาย ได้ถึงความพินาศ ฉันใด บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหาโลกหน้าด้วยอุบายไม่แยบคาย จักถึงความพินาศ เหมือนนางพราหมณี ผู้เป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหามรดก โดยอุบายไม่แยบคาย ได้ถึงความพินาศ ฉะนั้น

      ดูกรบพิตร สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ย่อมจะไม่บ่มผลที่ยังไม่สุก ให้รีบสุก และผู้เป็นบัณฑิต ย่อมรอผลอันสุกเอง อันชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แปลกกว่าคนอื่นๆ คือว่า สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมดำรง อยู่สิ้นกาลนานเท่าใด ท่านย่อมประสพบุญมากเท่านั้น และปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

      ดูกรบพิตรโดยปริยายนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

        [๓๑๑] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้าก็ยัง คงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น ไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

      ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่าโลกหน้า
ไม่มี เหล่าสัตว์ ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ
        มีอยู่ ท่านกัสสป
        เปรียบเหมือนอะไร บพิตร

      ดูกรกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่ว หยาบมาแสดงแก่ ข้าพเจ้า ว่าข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์  ทรงปรารถนา จะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด ข้าพเจ้า บอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า

  ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงใส่บุรุษผู้นี้ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในหม้อ แล้วปิดปาก หม้อเสีย เอาหนังที่ยังสดรัด แล้วเอาดินเหนียวพอกเข้าให้หนา ยกขึ้นสู่เตาแล้ว ติดไฟ บุรุษพวกนั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว จึงใส่บุรุษนี้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เข้าในหม้อ แล้ว ปิดปากหม้อ เอาหนังที่ยังสดรัด แล้วเอาดินเหนียวพอกเข้า ให้หนา ยกขึ้นสู่เตา แล้วติดไฟ

      เมื่อข้าพเจ้าทราบว่า บุรุษนั้นทำกาละแล้ว จึงให้ยก หม้อนั้นลง กะเทาะดิน ออกแล้วเปิดปากหม้อค่อยๆ ตรวจดูว่า บางทีจะได้เห็น ชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง พวกเราไม่ได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย

      ดูกรท่าน กัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ยังคงมีความเห็นอยู่ อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบาก ของกรรม ที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี

      ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ บพิตรพึงทรง พยากรณ์ตามที่ควรแก่บพิตร บพิตรบรรทมกลางวัน ทรงรู้สึกฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์พื้นที่อันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์บ้างหรือ

      เคยฝัน ท่านกัสสป
      ในเวลานั้นหญิงค่อม หญิงเตี้ย นางพนักงานภูษามาลา หรือกุมาริกา คอยรักษา บพิตรอยู่หรือ
       อย่างนั้น ท่านกัสสป
       คนเหล่านั้นเห็นชีวะของบพิตรเข้าหรือออกบ้างหรือเปล่า
       หามิได้ ท่านกัสสป

      ดูกรบพิตร ก็คนเหล่านั้น มีชีวิตอยู่ ยังมิได้เห็นชีวะของบพิตรผู้ยังทรง พระชนม์ อยู่เข้าหรือออกอยู่ ก็ไฉนบพิตรจักได้ทอดพระเนตรชีวะของผู้ที่ทำกาละไปแล้ว เข้าหรือออกอยู่เล่า

        ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

        [๓๑๒] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้นในปริยายนี้ ข้าพเจ้า  ก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้น ไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

      ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะ เหตุนี้โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ
        มีอยู่ ท่านกัสสป
        เปรียบเหมือนอะไร บพิตร

       ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมา แสดงแก่ ข้าพเจ้าว่าข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนา จะลงอาชญา อย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด ข้าพเจ้าบอกบุรุษ พวกนั้นอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงเอาตาชั่ง ชั่งบุรุษนี้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตาย แล้วเอาตาชั่ง ชั่งอีกครั้งหนึ่ง

      บุรุษพวกนั้น รับคำข้าพเจ้าแล้ว เอาตาชั่ง ชั่งบุรุษนั้นผู้ยังมีชีวิตอยู่แล้วเอาเชือก รัด ให้ขาดใจตายแล้วเอาตาชั่ง ชั่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อบุรุษนั้นยังมีชีวิต อยู่ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า และควรแก่การงานกว่า แต่เมื่อเขาทำกาละแล้ว ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า และ ไม่ควรแก่การงานกว่า

      ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่อย่างนี้ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มีฯ

        [๓๑๓] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา

        ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษเอาตาชั่ง ชั่งก้อนเหล็กที่เผาไว้วันยังค่ำ ไฟติดทั่ว ลุกโพลงแล้ว ต่อมา เอาตาชั่ง ชั่งเหล็กนั้นซึ่งเย็นสนิทแล้ว เมื่อไรหนอ ก้อนเหล็กนั้นจะเบากว่า อ่อนกว่า หรือควรแก่การงานกว่า คือว่าเมื่อไฟติดทั่ว ลุกโพลงอยู่แล้ว หรือว่าเมื่อเย็นสนิทแล้ว

      ดูกรท่านกัสสป เมื่อใดก้อนเหล็กนั้น ประกอบด้วยไฟ ประกอบด้วยลมไฟ ติดทั่วลุกโพลงแล้ว เมื่อนั้นจึงจะเบากว่า อ่อนกว่า และควรแก่การงานกว่า แต่ เมื่อใดก้อนเหล็กนั้นไม่ประกอบด้วยไฟ และไม่ประกอบด้วยลม เย็นสนิทแล้ว       เมื่อนั้น จึงจะหนักกว่า กระด้างกว่าและไม่ควรแก่การงานกว่า

      ฉันนั้นแหละบพิตร เมื่อใด กายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้น ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่า แต่ว่า เมื่อใด กายนี้ ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่น และวิญญาณ เมื่อนั้น ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า ไม่ควรแก่การงานกว่า

        ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น มีอยู่ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

        [๓๑๔] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้นในปริยายนี้ ข้าพเจ้า    ก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น ไม่มีผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ

      ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้ เพราะเหตุนี้โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ
        มีอยู่ ท่านกัสสป
        เปรียบเหมือนอะไร บพิตร

      ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมา แสดงแก่ ข้าพเจ้าว่าข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรง ปรารถนา จะลงอาชญาอย่างใด แก่โจรผู้นี้ ขอให้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด

      ข้าพเจ้าบอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงปลงบุรุษนี้จากชีวิต อย่าให้ผิวหนัง เนื้อเอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำบางทีจะได้เห็นชีวะ ของ บุรุษนั้นออกมาบ้าง บุรุษพวกนั้น รับคำของข้าพเจ้าแล้ว ย่อมปลงบุรุษนั้นจากชีวิต มิให้ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำ เมื่อบุรุษนั้นเริ่มจะตาย ข้าพเจ้าสั่งบุรุษพวกนั้นว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงผลักบุรุษนี้ให้ นอนหงาย บางทีจะได้เห็นชีวะของเขาออกมาบ้าง บุรุษพวกนั้น ผลักบุรุษนั้นให้ นอนหงาย พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย ข้าพเจ้าจึงสั่งบุรุษพวกนั้นว่า

      ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงพลิกบุรุษนี้ ให้นอนคว่ำลง จงพลิกให้นอนตะแคง ข้างหนึ่ง จงพลิกให้นอนตะแคง อีกข้างหนึ่ง จงพยุงให้ยืนขึ้น จงจับเอาศีรษะลง จงทุบด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา จงลากมาข้างนี้ จงลากไป ข้างโน้นจงลากไปๆ มาๆ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง

      บุรุษ พวกนั้นลากบุรุษนั้นมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น ลากไปๆ มาๆ พวกเรามิได้ เห็น ชีวะของเขาออกมาเลย ตาของเขาก็ดวงนั้นแหละ รูปก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้ง รูปายตนะ ด้วยตาไม่ได้ หูก็อันนั้นแหละ เสียงก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้ง สัททายตนะด้วยหูไม่ได้ จมูกก็อันนั้นแหละ กลิ่นก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งคันธายตนะ ด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้นก็อันนั้นแหละ รสก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งรสายตนะด้วยลิ้นไม่ได้ กายก็อันนั้น แหละ โผฏฐัพพะก็อันนั้น แต่เขารู้แจ้งโผฏฐัพพายตนะด้วยกายไม่ได้

      ดูกรท่านกัสสป ปริยายนี้ แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ยังคงมีความเห็นอยู่ อย่างนี้ ว่าแม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดี ทำชั่วไม่มี

        [๓๑๕] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพ จักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้ บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คนเป่าสังข์คนหนึ่ง ถือเอาสังข์ไปยังปัจจันตชนบท เขาเข้าไปยัง บ้านแห่งหนึ่ง ยืนอยู่กลางบ้านเป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ไว้ที่ แผ่นดิน นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

      ลำดับนั้น พวกมนุษย์ในปัจจันตชนบท ได้เกิดความตื่นเต้นว่า ท่านทั้งหลาย นั่นเสียงใครหนอ ช่างเป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ ควรแก่การงานถึงเพียงนี้ เป็นที่ตั้ง แห่งความเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ ช่างจับจิตถึงเพียงนี้ช่างไพเราะถึงเพียงนี้ พวกเขา ต่างมาล้อมถามคนเป่าสังข์นั้นว่า พ่อ นั่น เสียงของใครหนอ ช่างเป็นที่พอใจ ถึงเพียงนี้ ... ช่างไพเราะถึงเพียงนี้

      คนเป่าสังข์  ตอบว่า ท่านทั้งหลาย นั่นคือสังข์ซึ่งมีเสียง เป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ ... ช่างไพเราะ ถึงเพียงนี้ พวกเขาจับสังข์นั้นหงายขึ้นแล้วบอกว่า พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์  สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่ พวกเขาจับสังข์นั้นให้คว่ำลง จับให้ตะแคง ข้างหนึ่งจับให้ตะแคงอีกข้างหนึ่ง ชูให้สูง วางให้ต่ำ เคาะด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วย ท่อนไม้ ด้วยศาตรา ลากมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น ลากไปๆ มาๆ แล้วบอกว่า  พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์ สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่

      ลำดับนั้น คนเป่าสังข์ ได้มีความคิดว่า พวกมนุษย์ ปัจจันตชนบทเหล่านี้ ช่างโง่ เหลือเกิน จักแสวงหาเสียงสังข์โดยไม่ถูกทางได้อย่างไรกันเมื่อมนุษย์ พวกนั้น กำลังมองดูอยู่ เขาจึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ ครั้ง แล้วถือเอาสังข์นั้นไป มนุษย์ ปัจจันตชนบท

      พวกนั้นได้พูดกันว่า ท่านทั้งหลาย นัยว่าเมื่อใด สังข์นี้ประกอบด้วยคน ความพยายาม และลม เมื่อนั้น สังข์นี้จึงจะออกเสียง แต่ว่าเมื่อใด สังข์นี้มิได้ ประกอบด้วยคน ความพยายามและลม เมื่อนั้น สังข์นี้ไม่ออกเสียง ฉันนั้นเหมือนกัน

      บพิตร เมื่อใดกายนี้ประกอบด้วยอายุไออุ่น และวิญญาณ เมื่อนั้น กายนี้ก้าวไป ได้ ถอยกลับได้ ยืนได้ นั่งได้ สำเร็จการนอนได้เห็นรูปด้วยนัยน์ตาได้ ฟังเสียงด้วยหู ได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายได้ รู้ธรรมารมณ์ ด้วยใจได้

      แต่ว่าเมื่อใดกายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณเมื่อนั้นกายนี้ ก้าวไป ไม่ได้ ถอยกลับไม่ได้ ยืนไม่ได้ นั่งไม่ได้ สำเร็จการนอน ไม่ได้ เห็นรูป ด้วยนัยน์ตา ไม่ได้ ฟังเสียงด้วยหูไม่ได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นไม่ได้ ถูกต้อง โผฏฐัพพะ ด้วยกายไม่ได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจไม่ได้ 

      ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่

จบ ภาณวารที่หนึ่ง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

            [๓๑๖] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในปริยายนี้ ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ

      ดูกรบพิตร ก็ปริยายซึ่งเป็นเหตุให้บพิตร ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ
      มีอยู่ ท่านกัสสป
      เปรียบเหมือนอะไร บพิตร
      ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมา แสดงแก่ ข้าพเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรง ปรารถนา จะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญา นั้นเถิด    

      ข้าพเจ้าได้บอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเชือดผิวหนัง ของบุรุษนี้ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นบ้างพวกเขาเชือดผิวหนังของบุรุษนั้น พวก เรามิได้เห็นชีวะของเขาเลย

      ข้าพเจ้าจึงบอกบุรุษพวกนั้นว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่าน จงเชือดหนัง เฉือนเนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก ตัดเยื่อในกระดูกของบุรุษนี้ บางที จะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นบ้าง พวกเขาตัดเยื่อ ในกระดูกของบุรุษนั้น พวกเรามิได้ เห็นชีวะของเขาเลย

      ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่อย่างนี้ ว่า แม้เพราะเหตุนี้โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ

        [๓๑๗] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความ ของคำพูดด้วยอุปมา

        ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว ชฏิลผู้บำเรอไฟผู้หนึ่ง อยู่ในกุฎีอันมุงบัง ด้วย ใบไม้ ณ ที่ชายป่า

      ครั้งนั้น ชนบทแห่งหนึ่งเป็นที่พัก ของหมู่เกวียนอยู่แล้ว หมู่เกวียนนั้น พักอยู่ ราตรีหนึ่ง ในที่ใกล้อาศรมชฎิลผู้บำเรอไฟนั้น แล้วจึงหลีกไป

      ลำดับนั้น ชฎิลผู้บำเรอไฟนั้น มีความคิดขึ้นว่า ถ้ากระไร เราควรจะเข้าไปในที่ ที่หมู่เกวียน นั้นพัก บางทีจะได้เครื่องอุปกรณ์อะไรในที่นั้นบ้าง ชฎิลผู้บำเรอไฟลุกขึ้น แต่เช้า เข้าไปยังที่ที่หมู่เกวียนนั้นพัก ครั้นแล้ว ได้เห็นเด็กอ่อนศีรษะโล้น เขาทิ้งนอน หงายไว้ที่ที่หมู่เกวียนนั้นพัก

      ครั้นเห็น ได้เกิดความคิดขึ้นว่า เมื่อเราพบเห็นอยู่ จะปล่อยให้มนุษย์ทำกาละ เสียนั้นไม่สมควรแก่เราเลย ถ้ากระไรเราควรจะนำทารกนี้ไปยังอาศรม แล้วเลี้ยงดู ให้เติบโตขึ้น

      ชฎิลผู้บำเรอไฟ นำทารกนั้น ไปยังอาศรมแล้ว เลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นแล้ว เมื่อทารกนั้น อายุย่างเข้า ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี ชฎิลผู้บำเรอไฟ มีกรณียะบางอย่าง ในชนบทเกิดขึ้น เขาได้บอกทารกนั้น ว่า พ่อ เราปรารถนาจะไปยังชนบท เจ้าพึง บำเรอไฟ อย่าให้ไฟของเจ้าดับ ถ้าไฟของเจ้าดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟแล้ว บำเรอไฟเถิด เขาสั่งทารกนั้นอย่างนี้แล้ว ได้ไปยังชนบท

      เมื่อทารกนั้นมัวเล่นเสีย ไฟดับแล้ว ทารกนั้นนึกขึ้นได้ว่า บิดาได้บอกเราไว้ อย่างนี้ว่า พ่อ เจ้าพึงบำเรอไฟ อย่าให้ไฟของ เจ้าดับ ถ้าว่าไฟของเจ้าดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟแล้วบำเรอไฟเถิด ถ้ากระไร เราควรจะก่อไฟแล้ว บำเรอไฟ ทารกนั้นเอามีดถากไม้สีไฟ ด้วยเข้าใจว่าบางทีจะพบไฟบ้าง เขาไม่พบไฟ เลย จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก แล้วผ่าออกเป็น ๓ ซีก ๔ ซีก๕ ซีก ๑๐ ซีก ๒๐ ซีก แล้วเกรียกให้เป็นชิ้นเล็กๆ

      ครั้นแล้ว จึงโขลกในครก ครั้นโขลก แล้วจึงโปรยในที่มีลมมาก ด้วยเข้าใจว่า บางทีจะพบไฟบ้าง เขาไม่พบไฟเลย ลำดับนั้น ชฎิลผู้บำเรอไฟนั้น ทำกรณียะนั่น ในชนบทสำเร็จแล้ว จึงกลับมายังอาศรมของตน

      ครั้นแล้วได้กล่าวกะทารก นั้นว่า พ่อ ไฟของเจ้าดับเสียแล้วหรือ ทารกนั้น ตอบว่า ข้าแต่คุณพ่อ ขอประทานโทษเถิด กระผมมัวเล่นเสียไฟจึงดับ กระผมนึก ขึ้นได้ว่า พ่อได้บอกเราไว้อย่าง นี้ว่า พ่อ เจ้าพึงบำเรอไฟ อย่าให้ไฟของเจ้าดับ ถ้าไของเจ้าดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟแล้วบำเรอไฟเถิด

      ถ้ากระไรเราควรจะก่อไฟแล้วบำเรอ ทีนั้น กระผมจึงเอามีดถากไม้สีไฟด้วย เข้าใจว่า บางทีจะพบไฟบ้าง กระผมมิได้พบไฟเลย จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก แล้วผ่าออกเป็น ๓ ซีก ๔ ซีก ๕ ซีก ๑๐ ซีก ๒๐ ซีก แล้วเกรียกให้เป็นชิ้นเล็กๆ ครั้นแล้วจึงโขลกในครก ครั้นโขลก แล้วเอาโปรยในที่มีลมมากด้วยเข้าใจว่า บางทีจะพบไฟบ้าง กระผมไม่พบไฟเลย

ลำดับนั้น ชฎิลผู้บำเรอไฟนั้นได้มีความคิดว่าทารกนี้ช่างโง่เหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม จักแสวงหาไฟโดยไม่ถูกทางได้ อย่างไรกัน เมื่อทารกนั้นกำลังมองดู อยู่ ชฎิลนั้น หยิบไม้สีไฟมาสีให้เกิดไฟแล้ว ได้บอกทารกนั้นว่า เขาติดไฟกัน อย่างนี้ ไม่เหมือน อย่างเจ้าซึ่งยังเขลา ไม่เฉียบแหลม แสวงหาไฟโดยไม่ถูกทาง

    ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังทรงเขลา ไม่เฉียบแหลม ทรงแสวงหา ปรโลกโดยไม่ถูกทาง ขอบพิตรจงทรง สละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ขอบพิตร  จงปล่อยวางทิฐิอันลามก นั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้บังเกิดมีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ

        [๓๑๘] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้ายังหาอาจ สละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่ พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้ง หลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่าพญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้ เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี

      ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจะสละคืนทิฐิอันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า พญาปายาสิช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิดข้าพเจ้าก็ จักยึดทิฐินั้นไว้ เพราะความโกรธบ้าง เพราะความลบหลู่บ้าง เพราะความตีเสมอ บ้าง ฯ

        [๓๑๙] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้นอาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้ บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว พ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ มีเกวียนประมาณพันเล่ม ได้ เดินทาง จากชนบทอันตั้งอยู่ในบุรพทิศ ไปยังชนบทอันตั้งอยู่ในปัจจิมทิศ พ่อค้า เกวียน หมู่นั้น ไปอยู่ หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สด หมดเปลืองไปโดยรวดเร็ว ก็ในหมู่นั้นมีนายกอง เกวียน ๒ คน คนหนึ่งมีพวกเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกคนหนึ่งมี พวกเกวียน ๕๐๐ เล่ม

      ลำดับนั้น นายกองเกวียน ๒ คน นั้นได้ปรึกษากันว่า หมู่เกวียนหมู่ใหญ่นี้ มีเกวียน ประมาณพันเล่ม พวกเราเหล่านั้นไปรวมกันอยู่ หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สด หมดเปลืองไปโดยรวดเร็ว ถ้ากระไร พวกเราควรจะแยก หมู่เกวียนหมู่ใหญ่นี้ออกเป็น ๒ หมู่ คือหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม

      พ่อค้าเกวียนเหล่านั้น แยกหมู่เกวียนนั้นออกเป็น ๒ หมู่แล้ว คือหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม อีกหมู่หนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่ม นายกองเกวียนคนหนึ่งบรรทุกหญ้า ฟืน และน้ำเป็นอันมากแล้วขับหมู่เกวียนไปก่อน

      เมื่อขับไปได้สอง สามวันหมู่เกวียนนั้น ได้เห็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอด แล่งธนู ทัดดอก กุมุท มีผ้าเปียก ผมเปียกแล่นรถอันงดงามมีล้อเปื้อนตมสวนทางมา ครั้นแล้ว จึงได้ถามขึ้นว่า ดูกรท่านท่านมาจากไหน
     ข้าพเจ้ามาจากชนบทโน้น
     ท่านจะไปไหน
     ไปยังชนบทโน้น
     ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมากหรือ

      อย่างนั้นท่าน ในหนทางกันดาร ข้างหน้าฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืนและน้ำมีมาก พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด เกวียน เบาจาก ของหนักจะไปได้รวดเร็ววัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก

      ลำดับนั้น นายกองเกวียน เรียกพวกเกวียนมาบอกว่า บุรุษผู้นี้พูดว่า ในหนทาง กันดาร ข้างหน้าฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืน และน้ำมีมาก พวกท่านจง ทิ้งหญ้าฟืน และน้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนักจักไปได้รวดเร็ว วัวเทียม เกวียนก็ไม่ลำบาก ดังนี้ พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด จงขับหมู่เกวียน ไปด้วยเกวียนเบาเถิด พวกเกวียนรับคำของนายกองเกวียนแล้ว ทิ้งหญ้ ฟืน น้ำ ของเก่า มีเกวียนเบาจากของหนักขับหมู่เกวียนไปแล้ว

     พวกเกวียน เหล่านั้น มิได้เห็น หญ้า ฟืน หรือน้ำ ในที่พักหมู่เกวียนตำบลแรก แม้ ในที่พักหมู่เกวียนตำบลที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก แม้ในที่พักหมู่เกวียนตำบล ที่เจ็ดก็มิได้เห็น หญ้า ฟืน หรือน้ำ ถึงความวอดวายด้วยกันทั้งหมด มนุษย์หรือ ปศุสัตว์ที่อยู่ในหมู่เกวียนนั้น อมนุษย์ กล่าวคือยักษ์กินเสียทั้งหมด เหลือแต่ กระดูกเท่านั้น

      เมื่อนายกองเกวียนพวกที่สองรู้สึกว่า บัดนี้ หมู่เกวียนแรกนั้นออกไปนานแล้ว จึงบรรทุกหญ้า ฟืนและน้ำไปเป็นอันมาก แล้วขับหมู่เกวียนไป เมื่อขับไปได้สองสาม วัน พวกเกวียนนั้นเห็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่ง  ธนู ทัดดอกกุมุท มีผ้าเปียก ผมเปียก แล่นรถอันงดงามมีล้อเปื้อนตมสวนทางมา ครั้นแล้วจึงได้ถาม ขึ้นว่า ดูกรท่าน ท่านมาจากไหน
      ข้าพเจ้ามาจากชนบทโน้น
      ท่านจะไปไหน
      ไปยังชนบทโน้น
      ในหนทางกันดารข้างหน้า ฝนตกมากหรือ

      อย่างนั้นท่าน ในหนทางกันดารข้างหน้าฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืนและน้ำมีมาก พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจาก ของหนักจักไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก ลำดับนั้น นายกอง เกวียน เรียกพวกเกวียนมาบอกว่าบุรุษผู้นี้พูดว่า ในหนทางกันดารข้างหน้าฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ทั้งหญ้า ฟืน และน้ำ มีมาก พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของ เก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนักจักไปได้รวดเร็ววัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบากดังนี้

      ดูกรท่าน บุรุษนี้มิใช่มิตร มิใช่ญาติสาโลหิตของพวกเรา พวกเราจักเชื่อ บุรุษนี้ได้อย่างไร ท่านทั้งหลายไม่พึงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำ ของเก่าเสีย จงขับเกวียน ไปพร้อมทั้งสิ่งของ ตามที่นำมาแล้วเถิด พวกเราจักไม่ทิ้งของเก่าของพวกเรา พวก เกวียนรับคำนายกองเกวียนนั้นแล้ว ขับเกวียนไปพร้อมทั้งสิ่งของตามที่ได้นำมา  พากเกวียนเหล่านั้น มิได้เห็นหญ้าฟืน หรือน้ำในที่พักเกวียนตำบลแรก แม้ในที่  พักเกวียนที่ตำบลที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ก็มิได้เห็นหญ้า ฟืน หรือน้ำ ได้เห็นแต่หมู่เกวียน ที่ได้ถึงความวอดวายเท่านั้น ได้เห็นแต่กระดูกของ มนุษย์ และปศุสัตว์ ที่อยู่ในหมู่เกวียนนั้นเท่านั้น พวกนั้นถูก อมนุษย์ คือยักษ์ กินแล้ว  

      ลำดับนั้น นายกองเกวียน เรียกพวกเกวียนมาบอกว่า นี้คือหมู่เกวียนนั้นได้ถึงแก่ ความวอดวายแล้ว ทั้งนี้เพราะนายกองเกวียนนั้น เป็นคนโง่เขลา ถ้าอย่างนั้น ในหมู่เกวียนของพวกเรา สิ่งของชนิดใดมีสาระน้อยจงทิ้งเสีย ในหมู่เกวียนหมู่นี้ สิ่งของชนิดใดมีสาระมาก จงขนเอาไปเถิด พวกเกวียนพวกนั้นรับคำนาย กองเกวียน นั้นแล้ว จึงทิ้งสิ่งของชนิดมีสาระน้อยในเกวียนของตนๆ ขนเอาไปแต่ สิ่งของมีสาระ มาก ในเกวียนหมู่นั้น ข้ามทางกันดารนั้น ไปได้โดยสวัสดี ทั้งนี้เพราะนายกองเกวียน นั้น เป็นคนฉลาด

      ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังทรงเขลา ไม่เฉียบแหลม ทรงแสวงหา ปรโลกโดยไม่ถูกทาง จักถึงความวอดวาย เหมือนบุรุษนายกองเกวียนฉะนั้น ชนเหล่าใดจักสำคัญทิฐิของบพิตรว่า เป็นสิ่งที่ ควรฟัง ควรเชื่อถือ แม้ชนเหล่านั้น ก็จักถึงความวอดวายเหมือนพ่อค้าเกวียน พวกนั้น

      ฉะนั้น ขอบพิตร จงทรงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ขอบพิตรจง ปล่อยวาง ทิฐิ อันลามกนั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ

        [๓๒๐] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังหาอาจสละ คืน ทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่ พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้ง หลาย ก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้  เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี

      ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจะสละคืนทิฐิอันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด ข้าพเจ้า ก็จักยึดทิฐินั้นไว้ เพราะความโกรธบ้าง เพราะความลบหลู่บ้าง เพราะความตีเสมอ บ้าง

        [๓๒๑] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้ บางพวกย่อมทราบเนื้อความ ของคำพูดด้วยอุปมา

      ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว บุรุษผู้เลี้ยงสุกรคนหนึ่ง ได้ออกจากบ้าน ของตน ไปยังบ้านอื่นได้เห็นคูถแห้งเป็นอันมากซึ่ งเขาทิ้งไว้ในบ้านนั้น ครั้นแล้วเขาได้มี ความคิดขึ้นว่าคูถแห้ง เป็นอันมากซึ่งเขาทิ้งไว้นี้ เป็นอาหารสุกรของเรา ถ้ากระไร เราควรขนคูถแห้งไปจากที่นี้ เขาปูผ้าห่มลงแล้ว โกยเอาคูถแห้งเป็นอันมาก แล้วผูกให้เป็น ห่อทูนศีรษะเดินไปในระหว่างทาง เขาถูกฝนใหญ่แล้ว เขาเปรอะ เปื้อนไปด้วยคูถ ตลอดถึงปลายเล็บพาเอาห่อคูถซึ่งล้นไหลไปแล้ว

      พวกมนุษย์เห็นเขาแล้วได้พูดอย่างนี้ว่า พนาย ท่านเป็นบ้าหรือเปล่า ท่านเสียจริต หรือหนอ ไหนท่านจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยคูถ ตลอดถึงปลายเล็บ จักนำเอาห่อคูถซึ่งล้นไหลอยู่ไปทำไม

      บุรุษนั้นตอบว่า พนาย ในข้อนี้ พวกท่านนั่นแหละเป็นบ้า พวกท่านเสีย จริต  ความจริงสิ่งนี้เป็นอาหารสุกรของเรา

      ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน น่าจะปรากฏเหมือนบุรุษ ผู้ทูนห่อคูถ ขอบพิตร จงสละคืนทิฐิอันลามก นั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงปล่อยวางทิฐิอันลามก นั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่บพิตรเพื่อ มิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ

      [๓๒๒] ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังหา อาจสละ คืน ทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่ พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้งหลาย ก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่าพญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

      ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจักสละคืนทิฐิ อันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด ข้าพเจ้าก็จัก ยึดทิฐินั้นไว้ เพราะความโกรธบ้าง เพราะความลบหลู่บ้าง เพราะความตีเสมอบ้าง ฯ

        [๓๒๓] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว นักเลงสกาสองคนเล่นสกากัน คนหนึ่งกลืนกินเบี้ยแพ้ ที่แล้วๆ มาเสีย นักเลงสกาคนที่สองได้เห็นนักเลงสกานั้น กลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้วๆมา ครั้นแล้วได้พูดว่า ดูกรสหาย ท่านชนะ ข้างเดียว ท่านจงให้ลูกสกาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักเซ่นบูชา นักเลงสกาคนนั้นรับคำแล้ว จึงมอบลูกสกาให้นักเลงสกานั้น

    ลำดับนั้น นักเลงสกา [คนที่สอง] เอายาพิษทาลูกสกาแล้วพูดกะนักเลงสกา [คนที่หนึ่ง] ว่า มาเถิดสหาย เรามาเล่นสกากัน นักเลงสกา [คนที่หนึ่ง] รับคำนักเลงสกา [คนที่สอง] แล้ว นักเลงสกาเหล่านั้น เล่นสกากันเป็นครั้งที่สอง แม้ในครั้งที่สองนักเลงสกา [คนที่หนึ่ง] ก็กลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้วๆ มาเสีย นักเลงสกา คนที่สอง ได้เห็นนักเลงสกา คนกลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้วๆ มา แม้ครั้งที่สอง ครั้นแล้วได้พูดว่า

        [๓๒๔] บุรุษกลืนกินลูกสกาซึ่ งอาบด้วยยาพิษ มีฤทธิ์กล้ายังหารู้สึกไม่ นักเลงชั่วเลวผู้น่าสงสาร กลืนยาพิษเข้าไป ความเร่าร้อนจักมีแก่ท่าน ดังนี้

        [๓๒๕] ดูกรบพิตร บพิตรก็อย่างนั้นเหมือนกัน น่าจะปรากฏเหมือน นักเลง สกาขอบพิตร จงทรงสละคืนทิฐิอันลามก นั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรงปล่อยวางทิฐิ อันลามก นั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย

        [๓๒๖] ท่านกัสสปกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังหาอาจ  สละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่ พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้ง หลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้ เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี

พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด ข้าพเจ้า ก็จักยึดทิฐินั้นไว้ เพราะความโกรธบ้าง เพราะความลบหลู่บ้าง เพราะความตีเสมอ บ้าง

        [๓๒๗] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็น วิญญูชนในโลกนี้บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้วชนบทแห่งหนึ่ง ตั้งขึ้นแล้ว ครั้งนั้น สหายผู้หนึ่งเรียกสหายมา บอกว่ามาไปกันเถิดเพื่อน เราจักเข้าไปยังชนบทนั้น บางทีจะพึง ได้ทรัพย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในชนบทนั้นบ้าง

      สหายคนที่สองรับคำของสหาย [คนที่หนึ่ง] แล้ว เขาทั้งสองเข้าไปยังชนบท ถึงถนนในบ้านแห่งหนึ่งแล้ว ได้เห็นเปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย ที่ตำบลบ้านนั้น

      ครั้นแล้วสหาย [คนที่หนึ่ง] ได้บอก สหาย [คนที่สอง] ว่า สหายนี้เปลือกป่าน เขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจง ผูกเอาเปลือก ป่านไปมัดหนึ่ง และฉันจัก ผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง เราทั้งสอง จักถือเอามัดเปลือกป่านไป

      สหายคนที่สอง รับคำสหายคนที่หนึ่งแล้ว ผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง สหายทั้งสองนั้น ถือเอามัดเปลือกป่านเข้าไปมัดหนึ่ง สหายทั้งสองนั้น ถือเอามัด เปลือกป่านเข้าไปยังถนนในบ้าน อีกแห่งหนึ่งได้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย ในตำบลบ้านนั้น

      ครั้นแล้วสหายคนที่หนึ่ง จึงบอกสหายคนที่สองว่า สหายเราจะปรารถนา เปลือกป่านเพื่อประโยชน์ อันใด นี้ด้ายป่าน ซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด และฉันก็จักทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย เราทั้งสอง จักถือเอามัดด้ายป่านไป สหายคนที่สองตอบว่า สหายมัดเปลือกป่านนี้ เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ขอท่านจงทราบเถิด

      ลำดับนั้น สหายคนที่หนึ่ง ทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย แล้วถือเอามัดด้ายป่าน ไป สหายทั้งสองนั้น เข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้ มากมายที่ตำบลบ้านนั้น

      ครั้นแล้วสหายคนที่หนึ่งบอกสหายคนที่สองว่า สหายเราจะปรารถนา เปลือกป่าน หรือด้ายป่านเพื่อประโยชน์อันใด เหล่านี้ผ้าป่านซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย

      ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด และฉันก็จัก ทิ้งมัดด้ายป่านเสีย เราทั้งสองจักถือเอามัดผ้าป่านไป สหายคนที่สองตอบว่า สหายมัดเปลือกป่านนี้ เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ขอท่านจงทราบเถิด

      ลำดับนั้น สหายคนที่หนึ่งนั้น ทิ้งมัดด้ายป่านแล้ว ถือมัดผ้าป่านไป สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นเปลือกไม้โขมะ ได้เห็น ด้ายเปลือกไม้โขมะ ได้เห็นผ้าเปลือกไม้โขมะ ได้เห็นลูกฝ้าย ได้เห็นด้ายฝ้าย ได้ เห็นผ้าฝ้าย ได้เห็นเหล็ก ได้เห็นโลหะได้เห็นดีบุก ได้เห็นสำริด ได้เห็นเงิน ได้เห็นทอง ที่เขาทิ้งไว้มากมายในถนนในบ้านนั้น

      ครั้นแล้วสหายคนที่หนึ่งจึงบอกสหายคนที่สองว่า สหาย เราจะปรารถนา ประโยชน์อันใดกับเปลือกป่าน หรือด้ายป่าน หรือผ้าป่าน หรือเปลือกไม้โขมะ หรือด้ายเปลือกไม้โขมะ หรือผ้าเปลือกไม้โขมะ หรือลูกฝ้าย หรือด้ายฝ้าย หรือ ผ้าฝ้าย หรือเหล็ก หรือโลหะ หรือดีบุก หรือ สำริด หรือเงิน นี้ทองที่เขาทิ้งไว้ มากมาย

      ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด และฉันก็จักทิ้งห่อเงินเสีย เราทั้งสองจักถือเอาห่อทองไป สหายคนที่สองตอบว่า สหาย มัดเปลือกป่านนี้ เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ขอท่านจงทราบเถิด

      ลำดับนั้น สหายนั้นทิ้งห่อเงิน ถือเอาห่อทองไป สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยัง บ้านของตนๆแล้ว ในเขาทั้งสองนั้น สหายผู้ถือเอามัดเปลือกป่านไป มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ หาได้พากันยินดีไม่ และเขาไม่ได้รับความสุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ได้จากเปลือกป่านนั้นมา ส่วนสหายที่ถือเอาห่อทองไป นั้น มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตร อำมาตย์ พากันยินดี และเขายังได้รับความ สุขโสมนัส ซึ่งเกิดจากเหตุที่ถือเอาห่อทองนั้นมา

      ดูกรบพิตร บพิตรก็อย่างนั้นเหมือนกัน น่าจะปรากฏเหมือนบุรุษผู้ถือ มัดเปลือก ป่านขอบพิตร จงทรงสละคืนทิฐิอันลามก นั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรง ปล่อยวาง ทิฐิ อันลามกนั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้น อย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย

        [๓๒๘] ด้วยข้อความอุปมาข้อก่อนๆ ของท่านกัสสป ข้าพเจ้าก็มีความ พอใจยินดียิ่งแล้วแต่ว่าข้าพเจ้าใคร่จะฟังปฏิภาณ ในการแก้ปัญหาที่วิจิตรเหล่านี้ จึงพยายามโต้แย้งคัดค้านท่านกัสสปอย่างนั้น

      ข้าแต่ท่าน กัสสปผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ภาษิตของท่าน แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด ท่านกัสสปประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

      ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคผู้โคดม พระธรรม และพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอท่านกัสสป จงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะ ตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป

       ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้าปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงชี้แจง วิธีบูชายัญ อันจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลนาน

      ดูกรบพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ต่างๆ ต้องได้รับ ความพินาศ และปฏิคาหก เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจาผิดการงานผิด เลี้ยงชีพผิดพยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มี อานิสงส์ใหญ่ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่

      เปรียบเหมือนชาวนา ถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่านพืชที่หักที่เสีย ถูกลม และแดดแผดเผาแล้ว อันไม่มีแก่น ยังไม่แห้งสนิท ลงในนาไร่อันเลว ซึ่งเป็นพื้น ที่ไม่ดี มิได้แผ้วถางตอ และหนามให้หมด ทั้งฝนก็มิได้ตกชะเชย โดยชอบตามฤดูกาล พืชเหล่านั้น จะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือหนอ ชาวนาจะพึงได้รับ ผลอันไพบูลย์หรือ
      หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านกัสสป

      ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่า สัตว์ ต่างๆ ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจาผิด การงานผิดเลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่

      ดูกรบพิตร ส่วนยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ ต่างๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็ เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบเลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบเช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่ เปรียบเหมือนชาวนาถือเอาพืช และไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่านพืชที่ไม่หัก ไม่เสีย ไม่ถูกลมแดดแผดเผา อันมีแก่น แห้งสนิท ลงในนาไร่อันดี เป็นพื้นที่ดีแผ้ว ถางตอและหนามหมดดีแล้ว ทั้งฝนก็ตก ชะเชยโดยชอบตามฤดูกาล พืชเหล่านั้น จะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ หรือ หนอ ชาวนาจะพึงได้รับผลอันไพบูลย์หรือ
       เป็นอย่างนั้น ท่านกัสสป

      ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ ต่างๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหก ก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่

        [๓๒๙] ลำดับนั้น เจ้าปายาสิ เริ่มให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า  คนเดินทาง วณิพกและยาจกทั้งหลาย แต่ในทานนั้นเธอได้ให้โภชนะ เห็นปานนี้  คือปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับข้าว และได้ให้ผ้าเนื้อหยาบ มีชายขอดเป็นปมๆ และมาณพ ชื่ออุตตระ เป็นเจ้าหน้าที่ในทานนั้น เขาให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ว่า 

      ด้วยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับ เจ้าปายาสิ ในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้ร่วมกัน ในโลก หน้าเลย เจ้าปายาสิได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว รับสั่งให้เรียกอุตตรมาณพ มาแล้ว ได้ตรัสว่า พ่ออุตตระ ได้ยินว่าเธอให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ ทุกครั้งว่า ด้วยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้ร่วมกัน ในโลกหน้าเลย ดังนี้หรือ
      อย่างนั้น พระองค์

      พ่ออุตตระ ก็เพราะเหตุไร เธอให้ทานแล้ว จึงอุทิศอย่างนั้นเล่า พ่ออุตตระ  พวกเราต้องการบุญ หวังผลแห่งทานแท้ๆ มิใช่หรือ

      ในทานของพระองค์ ยังให้โภชนะเห็นปานนี้ คือปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดอง เป็นกับข้าวพระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยพระบาท ไฉนจะทรงบริโภค 

      อนึ่งเล่า ผ้าก็เนื้อหยาบมีชายขอดเป็นปมๆ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้อง แม้ด้วยพระบาท ไฉนจะทรงนุ่งห่มพระองค์เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของพวก ข้าพระพุทธเจ้า พวกข้าพระพุทธเจ้า จะชักจูงผู้ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่พอใจไป ด้วยสิ่ง ไม่เป็นที่พอใจอย่างไรได้

      พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เราบริโภคโภชนะชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่งโภชนะ ชนิดนั้นเป็นทาน เรานุ่งห่มผ้าชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดนั้นเป็นทาน    

      อุตตรมาณพ รับพระดำรัสเจ้าปายาสิแล้ว เริ่มตั้งไว้ซึ่งโภชนะ ชนิดที่เจ้า ปายาสิเสวย และเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดที่เจ้าปายาสิทรงนุ่งห่ม เพราะเหตุที่เจ้าปายาสิ มิได้ทรงให้ ทานโดยเคารพ มิได้ทรงให้ทานด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง มิได้ทรงให้ ทาน โดยความนอบน้อม ทรงให้ทานอย่างทิ้งให้ ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว เข้าถึงความ เป็น สหายกับพวกเทพ ชั้นจาตุมหาราช คือ ได้วิมาน ชื่อเสรีสกะ อันว่างเปล่า

      ส่วน อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทาน โดยเคารพ ให้ทาน ด้วยมือของตนให้ทาน โดยความนอบน้อม มิได้ให้ทาน อย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คือถึงความเป็น สหายกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์

        [๓๓๐] ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระควัมปติเถระ ไปพักกลางวันยังเสรีสกวิมาน อันว่างเปล่าเนืองๆ ลำดับนั้น ปายาสิเทวบุตร เข้าไปหาท่านควัมปติถึงที่อยู่ แล้วอภิวาท ยืนอยู่ ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านควัมปติ ได้กล่าวถามปายา สิเทวบุตร ว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร

      ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือเจ้าปายาสิ

       ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้มีความเห็น อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้า   ไม่มีเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี มิใช่หรือ        เป็นความจริง

      ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี แต่ว่าพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสป ได้ไถ่ถอนข้าพเจ้าออกจากทิฐิอันลามกนั้นแล้ว

      ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของท่าน ไปเกิดที่ไหน

      ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของข้าพเจ้านั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทาน อย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับ พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ส่วนข้าพเจ้ามิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือ ของตน มิได้ให้ทานด้วยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้า แต่ตาย  เพราะกายแตก ก็เข้าถึงซึ่งความอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมาน ชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า

      ท่านควัมปติผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านไปยังมนุษยโลกแล้ว โปรดบอกอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของตน จงให้ทานโดยความ นอบน้อม จงอย่าให้ทานอย่างทิ้งให้ เจ้าปายาสิมิได้ให้ ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทาน ด้วยมือของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เข้าถึงความอยู่ร่วมกับพวกเทวดา ชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมาน ชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า ส่วนอุตตรมาณพ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนให้ ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทาน อย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับ พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์

      ลำดับนั้น ท่านควัมปติมาสู่มนุษยโลกแล้ว ได้บอกอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย  จงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของตน จงให้ทานโดยความนอบน้อม จงอย่าให้ทานอย่างทิ้งให้เจ้าปายาสิมิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือ ของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก เข้าถึงความอยู่ร่วมกับพวกเทพ ชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมาน ชื่อเสรีสกะ อันว่างเปล่า

      ส่วนอุตรมาณพ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทาน ของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดย ความเคารพให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ ทานอย่าง ทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ ร่วมกับพวก เทพชั้นดาวดึงส์

จบ ปายาสิราชัญญสูตร ที่ ๑๐


 






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์