พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๓๐๒
พระโมคหายไปปรากฎในพรหมโลก (๔. โมคคัลลานสูตร)
[๓๐๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม ของท่าน อนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมค คัลลานะ หลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า เทวดาเหล่า ไหนหนอ ย่อมมีญาณอย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็น เบื้องหน้า
ก็สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ติสสะ ทำกาละไม่นาน ได้เข้าถึงพรหมโลกชั้นหนึ่ง ณ พรหมโลกแม้ชั้นนั้น เทวดาทั้งหลายย่อมรู้จักพรหมผู้นั้น อย่างนี้ว่า ติสสพรหม เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
ครั้งนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้หายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏใน พรหมโลก เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น
ติสสพรหม ได้เห็นท่านพระโมคคัลลานะมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะ ผู้นิรทุกข์ นิมนต์มาเถิด ท่านมา ดีแล้ว ท่านได้ทำปริยาย ในการมา ณที่นี้นานนักแล นิมนต์นั่งเถิดขอรับ นี้อาสนะปูลาดไว้แล้ว ท่านพระมหา โมคคัลลานะ ได้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แม้ ติสสพรหมอภิวาท ท่านพระมหา โมคคัลลานะแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้ถามว่า
ดูกรท่านติสสพรหม เทวดาชั้นไหนหนอ ย่อมมีญาณอย่างนี้ว่าเราเป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า ติสสพรหม ได้ตอบว่า
ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดาชั้นจาตุมหาราช แล ย่อมมีญาณ อย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง ที่จะตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า
------------------------------------------------------------------
ม. ดูกรติสสพรหม เทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งปวงทีเดียวหรือหนอ ย่อมมี ญาณอย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ ตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า ฯ
ติ. ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดาชั้นจาตุมหาราชมิใช่ทั้งปวง ย่อมมีญาณอย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง ที่จะตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า
ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์
เทวดาชั้นจาตุมหาราชเหล่าใด ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ไม่ประกอบ ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ไม่ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าพอใจเทวดาชั้นจาตุมหาราช เหล่านั้น ย่อมไม่มีญาณ อย่างนี้ ว่าเราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า
ส่วนเทวดาชั้นจาตุมหาราชเหล่าใด ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า...ในพระธรรม... ในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ เทวดาชั้นจาตุมหาราชเหล่านั้น ย่อมมีญาณ อย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความ ไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า
ม. ดูกรท่านติสสพรหม เทวดาชั้นจาตุมหาราชเท่านั้นหรือหนอ ย่อมมีญาณ อย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า หรือว่า แม้ เทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯลฯ แม้เทวดาชั้นยามาฯลฯ แม้เทวดา ชั้นดุสิต ฯลฯ แม้เทวดาชั้น นิมมานรดี ฯลฯ
แม้เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ก็มีญาณ อย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความ ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า
ติ. ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ แม้เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ก็ย่อมมี ญาณ อย่างนี้ว่าเราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ ตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า
ม. ดูกรท่านติสสพรหม เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีทั้งปวงทีเดียว หรือหนอ ย่อมมี ญาณอย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเป็นผู้เที่ยง ที่จะ ตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า
ติ. ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีมิใช่ทั้งปวง ย่อมมี ญาณอย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง ที่จะตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า
ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีเหล่าใด ไม่ประกอบ ด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ไม่ประกอบด้วยศีล ที่พระอริยเจ้าพอใจ เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เหล่านั้น ย่อมไม่มีญาณอย่างนี้ว่า
เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็น เบื้องหน้า ส่วนเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีเหล่าใด ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวใน พระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ...ในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีล ที่พระอริยเจ้าพอใจ
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีเหล่านั้น ย่อมมีญาณอย่างนี้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะชื่นชม อนุโมทนาภาษิตของติสสพรหม แล้วหาย จากพรหมโลก ไปปรากฏ ณ พระวิหารเชตวัน เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลัง พึงเหยียดแขน ที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น
|