พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๑๔๒
กัสสกสูตรที่ ๙ (เพราะไม่มีเรา ท่านจึงไม่เห็นเรา)
[๔๗๐] สาวัตถีนิทาน ฯ
ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงยังภิกษุทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน และภิกษุเหล่านั้น ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ทรงยัง ภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วย พระนิพพาน ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดม ถึงที่ประทับ เพื่อการกำบัง ตาเถิด
[๔๗๑] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป จึงนิรมิตเพศ เป็นชาวนาแบกไถใหญ่
ถือปะฏัก มีด้ามยาวมีผมยาวรุงรัง ปกหน้า ปกหลัง นุ่งผ้าเนื้อหยาบ มีเท้าทั้งสอง เปื้อนโคลน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมณะ ท่านได้ เห็นโคทั้งหลายบ้างไหม
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า แน่ะ มารผู้มีบาป ท่านจะต้องการอะไรด้วย โคทั้งหลาย เล่า
มารกราบทูลว่า
ข้าแต่พระสมณะ (๑) จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา อายตนะ คือ วิญญาณ อันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเรา ไปไหนพ้น
ข้าแต่สมณะ (๒) โสตเป็นของเราเสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ โสตสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
ข้าแต่สมณะ(๓) จมูกเป็นของเรา กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณ อันเกิด แต่ฆานสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
ข้าแต่สมณะ(๔) ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือ วิญญาณอันเกิดแต่ ชิวหา สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
ข้าแต่สมณะ (๕) กายเป็นของเราโผฏฐัพพะ เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณ อันเกิด แต่กาย สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
ข้าแต่สมณะ (๖) ใจเป็นของเรา ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณ อันเกิด แต่มโนสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น
[๔๗๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรมารผู้มีบาป
(๑) จักษุเป็นของท่าน รูปเป็นของท่าน อายตนะ คือวิญญาณ อันเกิดแต่จักษุ สัมผัส ก็เป็นของท่านแท้
ดูกรมารผู้มีบาป แต่ในที่ใด ไม่มีจักษุ ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะ คือวิญญาณ อันเกิดแต่ จักษุสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน
(๒) โสตเป็นของท่าน เสียงเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณ อันเกิดแต่โสต สัมผัส ก็เป็นของท่าน แต่ในที่ใด ไม่มีโสต ไม่มีเสียง ไม่มีอายตนะคือวิญญาณ อันเกิดแต่โสตสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน จมูกเป็นของท่าน
(๓) กลิ่นเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ ฆานสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ ลิ้นเป็นของท่าน
(๔) รสเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณ อันเกิดแต่ชิวหาสัมผัส เป็นของท่าน ฯลฯ
(๕) กายเป็นของท่าน โผฏฐัพพะเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณ อันเกิดแต่กาย สัมผัส เป็นของท่าน ฯลฯ
(๖) ใจเป็นของท่าน ธรรมารมณ์ทั้งหลาย เป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณ อันเกิดแต่ มโนสัมผัสก็เป็น ของท่าน แต่ในที่ใด ไม่มีใจ ไม่มีธรรมารมณ์ ไม่มีอายตนะ คือ วิญญาณ อันเกิดแต่ มโนสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน ฯ
[๔๗๓] มารกราบทูลว่าชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใดว่านี้ของเรา และกล่าวว่า นี้เป็นเรา ถ้าใจของท่านมีอยู่ในสิ่งนั้น ข้าแต่สมณะ ท่านก็จะไม่พ้นเราไปได้
[๔๗๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้น ไม่มี แก่เรา ชนเหล่าใดกล่าว ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรา
ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้ ท่านย่อมไม่เห็น แม้ทางของเรา
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง |