พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๒๔๕ ข้อที่ [๕๔๓]
(1)
ปุพพสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนตรัสรู้ เราเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ ได้คิดว่า ในโลก อะไรหนอเป็นคุณ อะไรหนอเป็นโทษ อะไรหนอเป็นอุบาย เครื่อง ออกไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้คิดว่า
-สุขโสมนัส อาศัยสภาพใดเกิดขึ้นในโลก สภาพนี้ เป็นคุณในโลก
-โลกไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในโลก -การปราบปรามฉันทราคะ การละฉันทราคะ ได้เด็ดขาดในโลก นี้เป็นอุบาย เครื่องออกไปในโลก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่รู้ยิ่ง
- ซึ่งคุณของโลก โดยเป็นคุณ
- ซึ่งโทษของโลก โดยความเป็นโทษ และ
- ซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปของโลก โดยความเป็นอุบายเครื่องออกไป ตามความ เป็นจริง เพียงใด
เรายังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้ซึ่ง อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้ง เทวโลก มารโลกพรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น
ก็เมื่อใด เรารู้ยิ่งซึ่งคุณของโลกโดยความเป็นคุณ ซึ่งโทษของโลกโดยความ เป็นโทษ และซึ่งอุบาย เป็นเครื่องออกไปของโลกโดยความเป็นอุบาย เครื่องออก ไป ตามความเป็นจริง
เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็แหละญาณทัสสนะ เกิดขึ้นแล้ว แก่เราว่าวิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๒๔๕ ข้อที่ [๕๔๔]
(2)
มนุสสสูตร
เราได้เที่ยวแสวงหา คุณของโลก ได้พบคุณในโลกนั้นแล้วคุณในโลกมีประมาณเท่าใด
เราได้เห็นคุณประมาณเท่านั้น ด้วยปัญญาแล้ว
เราได้เที่ยวแสวงหา โทษของโลก
เราได้พบโทษในโลกนั้นแล้วโทษในโลก มีประมาณเท่าใด
เราได้เห็นโทษประมาณเท่านั้นด้วยปัญญาแล้ว
เราเที่ยวแสวงหาอุบาย เป็นเครื่องออกไปของโลก ได้พบอุบายเป็นเครื่องออกไปในโลกนั้นแล้ว
อุบายเป็นเครื่องออกไปในโลก มีประมาณเท่าใด
เราได้เห็นอุบายเครื่องออกไปประมาณเท่านั้น ด้วยปัญญาแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เรายังไม่รู้คุณของโลกโดยเป็นคุณ ...บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๒๔๖ [๕๔๕]
(3)
อัสสาทสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าคุณในโลกนี้จักไม่มีแล้วไซร้
สัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่พึงกำหนัดในโลก แต่เพราะคุณในโลกมีอยู่
ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย จึงกำหนัดอยู่ในโลก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าโทษในโลกนี้ไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายจะไม่พึงเบื่อหน่ายในโลก แต่เพราะโทษในโลกมีอยู่
ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในโลก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าอุบายเครื่องออกไปในโลกนี้ จักไม่มีแล้วไซร้
สัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่พึงออกไป จากโลกได้ แต่เพราะอุบายเครื่องออกไปในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงออกไปจากโลกได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลายยังไม่รู้
ซึ่งคุณของโลก โดยความเป็นคุณ
ซึ่งโทษของโลก โดยความเป็นโทษ
และซึ่งอุบายเครื่องออกไปของโลก โดยเป็นอุบายเครื่องออกไปตามความเป็นจริง เพียงใด
สัตว์ทั้งหลายจะออกไป หลุดไปพ้นไปจากโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก จากหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์เทวดา และมนุษย์ มีใจปราศจาก เขตแดนอยู่ ไม่ได้เพียงนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็เมื่อใด สัตว์ทั้งหลายรู้
ซึ่งคุณของโลก
โดยความเป็นคุณ
ซึ่งโทษของโลก โดยความเป็นโทษ และ
ซึ่งอุบายเครื่องออกไปของโลก โดยความเป็นอุบายเครื่องออกไป ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายย่อมออกไป หลุดไป พ้นไปจากโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก จากหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีใจปราศจากเขตแดนอยู่ ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๒๔๗ ข้อที่ [๕๔๖]
(4)
สมณสูตร
สมณะ หรือ พราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ทราบชัด
ซึ่งคุณของโลก โดยความ เป็นคุณ
ซึ่งโทษของโลกโดยความเป็นโทษ
และ
ซึ่งอุบายเครื่องออกไปของโลกโดยความเป็นอุบายเครื่องออกไป ตามความเป็นจริง
สมณะ หรือ พราหมณ์เหล่านั้น เราไม่ยกย่องว่าเป็นสมณะ ในหมู่สมณะ หรือว่า เป็น พราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และ ท่านเหล่านั้น หาทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่ง ความ เป็นสมณะ และประโยชน์แห่ง ความ เป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองใน ปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ไม่
ส่วนสมณะ หรือ พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทราบชัด
ซึ่งคุณของโลกโดยความ เป็นคุณ
ซึ่งโทษของโลก โดยความเป็นโทษ
และ
ซึ่งอุบายเครื่องออกไปของโลก โดยความเป็นอุบายเครื่องออกไป ตามความเป็นจริง
สมณะ หรือ พราหมณ์เหล่านั้น เรายกย่องว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ หรือว่าเป็น พราหมณ์ ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้น ย่อมทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความ เป็นสมณะ และ ประโยชน์แห่ง ความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ |