เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

  อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร สิ่งมหัศจรรย์ ๑๔ อย่าง์ ในการประสูติ ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ 1118
(สรุปย่อพอสังเขป)

อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร 
(การประสูติของอรหันตสัมมาสัมพุทธะในทุกพระองค์ จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์เหมือนๆกัน)

1. ในกาลใดพระโพธิสัตว์ จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์พระมารดา จะเกิดแสงสว่างอันโอฬาร หาประมาณมิได้ แม้ในโลกันนรกที่มึดมิดก็ยังปรากฏแสงสว่าง แม้หมื่นโลกธาตุนี้ ย่อมสะเทือน
สะท้านหวั่นไหว 

2. จะมีเทวบุตรทั้ง ๔ ถวายอารักขาใน ๔ ทิศ ด้วยคิดว่ามนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือใครๆ อย่าได้เบียดเบียน พระโพธิสัตว์ หรือพระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย

3. พระมารดาฯ จะเป็นผู้มีศีลโดยปรกติ คือเว้นขาดจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราและเมรัย

4. พระมารดาฯ มิได้มีพระหฤทัย ใฝ่ฝันกามคุณ ในบุรุษเกิดขึ้น และจะเป็นผู้ไม่ถูกบุรุษ ที่มีจิตกำหนัดแล้ว ล่วงเกินได้

5. พระมารดาฯ จะเป็นผู้ได้ เบญจกามคุณคือ พระนางจะเพรียบพร้อม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่

6. พระมารดาฯ ไม่มีพระโรคาพาธ ไรๆ เกิดขึ้น จะมีความสุข ไม่ลำบากพระกาย และจะทรงเห็น พระโพธิสัตว์ ประทับอยู่ ภายในพระอุทร มีพระอวัยวะน้อยใหญ่ครบ

7. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูตรแล้วได้ ๗ วันพระมารดาฯ จะเสด็จสวรรคต จะเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต

8. พระมารดาของพระโพธิสัตว์ จะทรงครองพระโพธิสัตว์ด้วยพระอุทร ๑๐ เดือนถ้วน แล้วจึงประสูติ

9. พระมารดาจะประสูติพระโพธิสัตว์ พระนางจะประทับยืนท่าเดียวแล้วประสูติพระโพธิสัตว์

10. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ ในกาลนั้นพวกเทวดาจะรับก่อน พวกมนุษย์จะรับทีหลัง

11. พระโพธิสัตว์ยังไม่ทันถึงแผ่นดิน เทวบุตรทั้ง ๔ ก็รับแล้ว วางลงตรงพระพักตร์พระมารดา ให้ทรงหมายรู้ว่า ขอพระเทวีจงมี พระทัยยินดีเถิด พระโอรสของพระองค์ผู้มีศักดิ์มากเสด็จอุปบัติแล้ว

12. พระองค์ย่อมประสูติอย่างบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ ด้วยเสมหะ ฯลฯ เหมือนแก้วมณี

13. ในกาลนั้นธารน้ำ ๒ สายย่อมปรากฏจากอากาศ สายหนึ่งเป็น ธารน้ำเย็น สายหนึ่งเป็นธารน้ำอุ่น เป็นเครื่องทำการสนาน พระโพธิสัตว์ และ พระมารดา

14. พระโพธิสัตว์ในบัดดลที่ประสูติ ก็ประทับพระบาทเสมอแผ่นดิน แล้วบ่ายพระพักตร์สู่ ทิศอุดร (เหนือ) ย่างพระบาท ๗ ก้าว มีเทพบุตรกั้นเศวตฉัตรตามไป ทรงเหลียวดูทิศทั้งปวง และทรงเปล่ง พระวาจา อย่างผู้องอาจว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุด ในโลก ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๙๔

๓.  อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร  (๑๒๓)
(การประสูติของอรหันตสัมมาสัมพุทธะของทุกพระองค์ จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ เหมือนๆกัน )

        [๓๕๗]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้วนั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อสนทนากันขึ้น ในระหว่าง ดังนี้ว่า 

        ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง  ไม่น่าเป็นไปได้เลยข้อที่พระ ตถาคต มีอิทธานุภาพมาก  ซึ่งเป็นเหตุให้ทรงทราบพระพุทธเจ้าในอดีต  ผู้ปรินิพพานแล้ว  ทรงตัดปปัญจธรรมแล้ว  ทรงตัดตอวัฏฏะแล้ว  ทรงครอบงำ วัฏฏะแล้ว  ทรงล่วงทุกข์ ทั้งปวงแล้ว  ว่าพระผู้มีพระภาคนั้นๆ  มีพระชาติอย่างนี้บ้าง  มีพระนามอย่างนี้บ้าง  มีโครตอย่างนี้บ้าง  มีศีลอย่างนี้บ้าง  มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรม อย่างนี้บ้าง  มีวิมุตติอย่างนี้บ้าง 

        เมื่อภิกษุเหล่านั้น  สนทนากันอย่างนี้  ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวกะภิกษุ เหล่านั้น ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  พระตถาคตทั้งหลาย  ทั้งน่าอัศจรรย์ และ ประกอบด้วยธรรมน่าอัศจรรย์  พระตถาคตทั้งหลาย  ทั้งไม่น่าเป็นไปได้ และ ประกอบด้วยธรรม ไม่น่าเป็นไปได้ข้อสนทนากัน ในระหว่างของภิกษุเหล่านั้น  ค้างอยู่เพียงเท่านี้ 

        [๓๕๘]  ขณะนั้นแล  พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสถานที่ ทรงหลีกเร้นอยู่ ในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยัง อุปัฏฐานศาลานั้น แล้วจึงประทับนั่ง ณ อาสนะ ที่เขา แต่งตั้งไว้ แล้วตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอนั่งประชุม สนทนาเรื่องอะไรกัน  และพวกเธอสนทนาเรื่องอะไรกันในระหว่างค้างอยู่แล้ว

        ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ณ  โอกาสนี้  พวกข้าพระองค์ กลับจาก บิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว  นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา  เกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า

        ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  น่าอัศจรรย์จริงไม่น่าเป็นไปได้เลย  ข้อที่พระตถาคต มีอิทธานุภาพมาก ซึ่งเป็นเหตุให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าในอดีต  ผู้ปรินิพพานแล้ว  ทรงตัดปปัญจธรรมแล้ว  ทรงตัดตอวัฏฏะแล้ว  ทรงครอบงำวัฏฏะแล้ว  ทรงล่วงทุกข์ ทั้งปวงแล้ว  ว่าพระผู้มีพระภาคนั้นๆ มีพระชาติอย่างนี้บ้าง  มีพระนามอย่างนี้บ้าง  มีพระโครตอย่างนี้บ้าง  มีศีลอย่างนี้บ้างมีธรรมอย่างนี้บ้าง  มีปัญญาอย่างนี้บ้าง  มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง  มีวิมุตติอย่างนี้บ้าง

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกข้าพระองค์สนทนากันอย่างนี้  ท่านพระอานนท์  ได้กล่าวกะพวกข้าพระองค์ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  พระตถาคตทั้งหลาย ทั้งน่าอัศจรรย์ และประกอบด้วยธรรมน่าอัศจรรย์ พระตถาคตทั้งหลาย  ทั้งไม่น่า เป็นไปได้ และประกอบด้วยธรรมไม่น่าเป็นไปได้  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้อสนทนากัน ในระหว่างของพวกข้าพระองค์ค้างอยู่เท่านี้แล  พอดีพระผู้มีพระภาค ก็เสด็จมาถึง 

        [๓๕๙]  ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า  ดูกรอานนท์ ถ้ากระนั้นแล ขอธรรม อันไม่น่าเป็นไปได้  อันน่าอัศจรรย์ของตถาคต  จงแจ่มแจ้ง กะเธอ ยิ่งกว่าประมาณเถิด 

        [๓๖๐]  ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับ  รับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  พระโพธิสัตว์ มีสติสัมปชัญญะ  ได้เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค 

        [๓๖๑]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ  ได้สถิต อยู่ใน หมู่ เทวดาชั้นดุสิต  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรม ไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาค  ฯ

        [๓๖๒]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  พระโพธิสัตว์ได้สถิตอยู่ในหมู่เทวดาชั้นดุสิต  จนตลอดอายุ  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรม ไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๖๓]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ  จุติจากหมู่ เทวดาชั้นดุสิตแล้วลงสู่พระครรภ์พระมารดา  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้ ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค 
-------------------------------------------------------------------------------------------------

        [๓๖๔]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า 

         ดูกรอานนท์ (๑) ในกาลใดพระโพธิสัตว์จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิต ลงสู่ พระครรภ์ พระมารดา ในกาลนั้นแสงสว่างอย่างโอฬาร หาประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่ง เทวานุภาพ ของเหล่าเทวดา ย่อมปรากฏในโลก  พร้อมทั้งเทวดา มารพรหม  และใน หมู่สัตว์  พร้อมทั้งสมณะ และพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์  แม้ในโลกัน ตริกนรก ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผย มีแต่ความมืดมิดซึ่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ มีอิทธานุภาพ มาก อย่างนี้  ส่องแสงไปไม่ถึง  ก็ยังปรากฏแสงสว่างอย่างโอฬาร หาประมาณมิได้  ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา  ด้วยแสงสว่างนั้น 

        แม้หมู่สัตว์ผู้อุบัติในนรกนั้น  ก็รู้กันว่าแม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดในที่นี้ อนึ่ง หมื่นโลกธาตุนี้ ย่อมสะเทื้อน สะท้าน หวั่นไหว และแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณ มิได้  ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพ ของเหล่าเทวดา  ย่อมปรากฏในโลก  ข้าแต่ พระองค์ ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค  ฯ

        [๓๖๕]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ เสด็จลงสู่พระครรภ์ พระมารดาแล้ว(๒) ในกาลนั้นเทวบุตรทั้ง  ๔  จะใกล้ชิดพระโพธิสัตว์ถวายอารักขา ใน  ๔  ทิศ  ด้วยคิดว่า  มนุษย์  หรืออมนุษย์หรือใครๆ  อย่าได้เบียดเบียน พระโพธิสัตว์  หรือพระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๖๖]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ เสด็จลงสู่พระครรภ์ พระมารดาแล้ว (๓) ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์จะเป็นผู้มีศีลโดยปรกติ  คือเว้นขาดจากปาณาติบาต  เว้นขาดจากอทินนาทาน  เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากมุสาวาท  เว้นขาดจากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท  เพราะดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่าเป็นธรรม ไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๖๗]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ พระมารดาแล้ว(๔) ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์  มิได้มีพระหฤทัย ใฝ่ฝันกามคุณ ในบุรุษเกิดขึ้น  และจะเป็นผู้ไม่ถูกบุรุษไรๆ  ที่มีจิตกำหนัดแล้ว ล่วงเกินได้  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่าเป็นธรรม ไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๖๘]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์เสด็จ ลงสู่ พระครรภ์ พระมารดาแล้ว (๕) ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ได้เบญจกามคุณ คือ  พระนางจะเพรียบพร้อม  พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ  ๕  บำเรออยู่  ข้าแต่พระองค์  ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๖๙]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่ พระครรภ์ พระมารดาแล้ว(๖) ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์  ไม่มีพระโรคาพาธ ไรๆ เกิดขึ้น  จะมีความสุข  ไม่ลำบากพระกาย และจะทรงเห็น พระโพธิสัตว์ ประทับอยู่  ภายในพระอุทร  มีพระอวัยวะน้อยใหญ่ครบ  มีอินทรีย์ไม่เสื่อมโทรมได้  เปรียบเหมือน แก้วไพฑูรย์ งามโชติช่วงแปดเหลี่ยม  อันเขาเจียระไนดีแล้ว ในแก้วนั้น เขาร้อยด้าย สีเขียว  หรือสีเหลืองอ่อน  สีแดง  สีขาว  สีเหลืองแก่  เข้าไว้บุรุษ ผู้มีตาดี  วางแก้วนั้น ในมือ  พึงเห็นชัดได้ว่า  แก้วไพฑูรย์นี้งามโชติช่วง แปดเหลี่ยม  อันเขาเจียระไนดีแล้ว  ในแก้วนั้น  เขาร้อยด้ายสีเขียว  หรือ สีเหลืองอ่อน  สีแดง  สีขาว  สีเหลืองแก่ เข้าไว้  ฉันใด  ดูกรอานนท์  ฉันนั้น เหมือนกันแล 
        ในกาลใด  พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว  ในกาลนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์  ไม่มีพระโรคาพาธไรๆ เกิดขึ้น จะมีความสุข ไม่ลำบาก พระกาย และจะทรงเห็นพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ภายในพระอุทร มีพระอวัยวะน้อย ใหญ่ครบ  มีอินทรีย์ไม่เสื่อมโทรมได้  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้ข้าพระองค์ ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของ พระผู้มีพระภาค

        [๓๗๐]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์ (๗) เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูตรแล้วได้  ๗  วันพระมารดาของพระโพธิสัตว์ จะเสด็จสวรรคต  จะเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๗๑]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์ (๘)  พระมารดาของพระโพธิสัตว์  จะประสูติ โพธิสัตว์  ไม่เหมือนอย่าง หญิงอื่นๆ  ที่ครองครรภ์ด้วยท้อง  ๙  เดือน  หรือ  ๑๐  เดือนแล้วจึงคลอด  คือ  พระนางจะทรงครองพระโพธิสัตว์ด้วยพระอุทร  ๑๐  เดือนถ้วน แล้วจึงประสูติ  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ ก็ทรงจำไว้ว่า เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๗๒]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์ (๙) พระมารดาของพระโพธิสัตว์  จะประสูติ พระโพธิสัตว์ไม่เหมือนอย่างหญิงอื่นๆ  ที่นั่งหรือนอนคลอด  คือ  พระนางจะประทับ  ยืนท่าเดียวแล้วประสูติพระโพธิสัตว์  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๗๓]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์ (๑๐) ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ประสูติจาก พระอุทร ของพระมารดา  ในกาลนั้นพวกเทวดาจะรับก่อน  พวกมนุษย์จะรับทีหลัง  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรม ไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๗๔]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ประสูติ จากพระอุทร ของพระมารดา(๑๑) ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ยังไม่ทันถึงแผ่นดิน  เทวบุตรทั้ง  ๔  ก็รับแล้ว วางลงตรงพระพักตร์พระมารดา ให้ทรงหมายรู้ว่า  ขอพระเทวีจงมี พระทัยยินดีเถิด  พระโอรสของพระองค์ผู้มีศักดิ์มากเสด็จอุปบัติแล้ว  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๗๕]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ประสูติ จากพระอุทร ของพระมารดา (๑๒) ในกาลนั้นพระองค์ ย่อมประสูติอย่างบริสุทธิ์แท้  คือไม่  แปดเปื้อนด้วยน้ำ  ด้วยเสมหะ  ด้วยเลือด ด้วยน้ำเหลือง  ด้วยของไม่สะอาดไรๆ  นับว่าหมดจด บริสุทธิ์  เปรียบเหมือนแก้วมณีที่เขาวางลงบนผ้ากาสิกพัสตร์  ย่อมไม่เปื้อนผ้า กาสิกพัสตร์  แม้ผ้ากาสิกพัสตร์ก็ไม่เปื้อนแก้วมณี  นั่นเพราะเหตุไร เพราะของทั้งสอง อย่างบริสุทธิ์  ฉันใด 
        ดูกรอานนท์  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ในกาลใดพระโพธิสัตว์ประสูติจาก พระอุทร ของพระมารดา ในกาลนั้น  พระองค์ย่อมประสูติอย่างบริสุทธิ์แท้  คือ  ไม่แปดเปื้อน ด้วยน้ำ  ด้วยเสมหะ  ด้วยเลือดด้วยน้ำเหลือง  ด้วยของไม่สะอาดไรๆ  นับว่าหมดจด บริสุทธิ์  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญแม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรม ไม่น่าเป็นไปได้ น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค  ฯ

        [๓๗๖]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์(๑๓) ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ประสูติจาก พระอุทร ของพระมารดา  ในกาลนั้น ธารน้ำ  ๒  สายย่อมปรากฏจากอากาศ  สายหนึ่งเป็น ธารน้ำเย็น  สายหนึ่งเป็นธารน้ำอุ่น  เป็นเครื่องทำการสนาน พระโพธิสัตว์ และ พระมารดา  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำ ไว้ว่าเป็นธรรม ไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๗๗]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์ (๑๔) พระโพธิสัตว์ในบัดดลที่ประสูติ  ก็ประทับ พระยุคลบาท อันเสมอบนแผ่นดินแล้วบ่ายพระพักตร์สู่ทิศอุดร  เสด็จดำเนินไป ด้วยย่างพระบาท  ๗  ก้าว  เมื่อเทพบุตรกั้นเศวตฉัตรตามไป  พระองค์จะทรงเหลียว  ดูทิศทั้งปวง  และทรงเปล่งพระวาจา อย่างผู้องอาจว่า  เราเป็นผู้เลิศในโลก  เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก  เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก  ชาตินี้เป็นชาติที่สุด  บัดนี้ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของพระผู้มีพระภาค

        [๓๗๘]  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์  พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ดูกรอานนท์  ในกาลใด  พระโพธิสัตว์ประสูติ จากพระอุทร ของพระมารดา  ในกาลนั้นแสงสว่างอย่างโอฬารหาประมาณมิได้  ล่วงเสียซึ่ง เทวานุภาพ ของเหล่าเทวดา  ย่อมปรากฏในโลกพร้อมทั้งเทวดา  มาร  พรหม  และในหมู่สัตว์  พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์  พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์  แม้ใน โลกันตริกนรก  ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผย  มีแต่ความมืดมิด  ซึ่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้  ส่องแสงไปไม่ถึง  ก็ยังปรากฏแสงสว่างอย่างโอฬารหา  ประมาณมิได้ ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพของเหล่าเทวดา  ด้วยแสงสว่างนั้น  แม้หมู่สัตว์ ผู้อุปบัติในนรกนั้น  ก็รู้กันว่าแม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีเกิดในที่นี้  อนึ่ง  หมื่นโลกธาตุนี้ย่อม สะเทื้อน  สะท้าน  หวั่นไหว  และแสงสว่างอย่างโอฬาร หาประมาณมิได้  ล่วงเสียซึ่ง เทวานุภาพของเหล่าเทวดา  ย่อมปรากฏในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้  ข้าพระองค์ก็ทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์ของ พระผู้มีพระภาค 

        [๓๗๙]  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรอานนท์  เพราะฉะนั้นแล  เธอจงทรงจำ ธรรม ไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์  ของตถาคต  แม้นี้ไว้เถิด  ดูกรอานนท์  ในเรื่องนี้  เวทนาของตถาคตปรากฏเกิดขึ้น  ปรากฏตั้งอยู่  ปรากฏถึงความดับไปสัญญา ของตถาคต  ปรากฏเกิดขึ้น  ปรากฏตั้งอยู่  ปรากฏถึงความดับไป  วิตกของตถาคต  ปรากฏเกิดขึ้น  ปรากฏตั้งอยู่  ปรากฏถึงความดับไป  ดูกรอานนท์  แม้ข้อนี้แล  เธอก็จงทรงจำไว้เถิดว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์ ของตถาคต

        ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  แม้ข้อที่เวทนาของ พระผู้มีพระภาค ปรากฏเกิดขึ้น  ปรากฏตั้งอยู่  ปรากฏถึงความดับไป  สัญญาของ พระผู้มีพระภาค  ปรากฏเกิดขึ้นปรากฏตั้งอยู่  ปรากฏถึงความดับไป  วิตกของ พระผู้มีพระภาค  ปรากฏเกิดขึ้น  ปรากฏตั้งอยู่ปรากฏถึงความดับไปนี้  ข้าพระองค์ ก็จะทรงจำไว้ว่า  เป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้  น่าอัศจรรย์ของพระผู้มีพระภาค

        ท่านพระอานนท์กล่าวคำนี้จบแล้ว  พระศาสดาได้ทรงโปรดปราน  ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระอานนท์แล

จบ  อัจฉริยัพภูตธัมมสูตร  ที่  ๓




พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์