เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  สุญญตวิหารธรรม  (จูฬสุญญตสูตร) พิจารณาความว่าง (สูญญตา)ตามลำดับ 1079
 
 
สุญญตวิหารธรรม (จูฬสุญญตสูตร) พิจารณาความว่าง (สูญญตา) ตามลำดับ

ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อน และบัดนี้ เราอยู่มากด้วย สุญญตวิหารธรรม  เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้ ว่างเปล่าจากช้าง โค ม้า และ ลา ว่างเปล่าจาก ทอง และเงิน ว่างจากการชุมนุม ของสตรี และบุรุษ 
มีไม่ว่างอยู่ ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะภิกษุสงฆ์ เท่านั้น

ภิกษุก็เหมือนกันแล (ใส่ใจสิ่งเดียว ไม่ใส่ใจสิ่งอื่น)
ใส่ใจ แต่เรื่องป่า ไม่ใส่ใจบ้าน มนุษย์ ช้าง โค ...
ใส่ใจ แต่แผ่นดิน ไม่ใส่ใจป่า แม่น้ำ ลำธาร มนุษย์
ใส่ใจ อากาสานัญจายตนสัญญา ไม่ใส่ใจแผ่นดิน ป่า ฯลฯ
ใส่ใจ วิญญาณัญจายตนสัญญา ไม่ใส่ใจ อากาสา และสัญญาอื่นๆ
ใส่ใจ อากิญจัญญายตนสัญญา ไม่ใส่ใจ อากิญจัญญา ไม่ใส่ใจอากาสา ฯลฯ
ใส่ใจ เนวสัญญานาสัญญายตน ไม่ใส่ใจวิญญานัญจา อากิญจัญญา ฯลฯ
ใส่ใจ เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต ไม่ใส่ใจ กามาสวะ ภาวสวะ อวิชชา รู้ชัดว่ามีไม่ว่างก็คือ การเกิด
        อายตนะ๖ อาศัยกายเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ...รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
        กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี 
   เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
   การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
   การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
   แสวงหาสัจจะ บำเพ็ญทุกรกิริยา
   ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
   ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
   ปลงสังขาร ปรินิพพาน
   ลำดับขั้นการปรินิพพาน
   เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
   แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 


ฉบับหลวง  เล่มที่ ๑๔  สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้าที่ ๑๘๐


สุญญตวรรค
๑.  จูฬสุญญตสูตร  (๑๒๑)

        [๓๓๓]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
        สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของ อุบาสิกาวิสาขา มิคาร มารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ออกจากสถานที่หลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ยังที่ประทับ  ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า 

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่สักยนิคมชื่อนครกะ  ในสักกชนบท ณ ที่นั้น  ข้าพระองค์ได้สดับ  ได้รับพระดำรัสนี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มี พระภาคว่า ดูกรอานนท์ บัดนี้เราอยู่มากด้วย สุญญตวิหารธรรมข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้อนี้ข้าพระองค์ได้สดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้วหรือ  ฯ

        [๓๓๔]  พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรอานนท์  แน่นอน  นั่นเธอสดับดีแล้ว  รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว ดูกรอานนท์  ทั้งเมื่อก่อน และบัดนี้  เราอยู่มากด้วย สุญญตวิหารธรรม  เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้  ว่างเปล่า จากช้าง โค ม้า และ ลา ว่างเปล่าจาก ทอง และเงิน ว่างจากการชุมนุม ของสตรี และ บุรุษ มีไม่ว่างอยู่ ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น ฉันใด 


(ใส่ใจ แต่เรื่องป่า ไม่ใส่ใจบ้าน มนุษย์ ช้าง โค ... )

        ดูกรอานนท์  ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล  ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจ สัญญาว่ามนุษย์  ใส่ใจแต่สิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่าป่า จิตของเธอย่อมแล่นไป  เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าป่า 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญา ว่าบ้าน และชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย  มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือภาวะเดียว เฉพาะสัญญาว่าป่า เท่านั้น เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจาก สัญญา ว่าบ้าน สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะ สัญญาว่าป่า เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ ไม่มีอยู่ในสัญญานั้น เลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้น อันยังมีอยู่ ว่ามี 

       ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ


(ใส่ใจ แต่แผ่นดิน ไม่ใส่ใจป่า แม่น้ำ ลำธาร มนุษย์ )

        [๓๓๕]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่า มนุษย์ไม่ ใส่ใจ สัญญาว่าป่าใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดิน จิตของเธอย่อม แล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าแผ่นดิน เปรียบเหมือน หนังโค ที่เขาขึงดีแล้ว ด้วยหลักตั้งร้อย เป็นของปราศจากรอยย่น ฉันใด 

ดูกรอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจแผ่นดินนี้ ซึ่งจะมีชั้นเชิง มีแม่น้ำ  ลำธาร มีที่เต็มด้วยตอหนาม มีภูเขาและพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ ทั้งหมด ใส่ใจแต่สิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่า แผ่นดิน จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ ในสัญญาว่าแผ่นดิน เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในสัญญาว่าแผ่นดินนี้ ไม่มีความกระวน กระวายชนิดที่อาศัย สัญญาว่ามนุษย์ และชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่า มีอยู่ก็แต่เพียง ความกระวนกระวาย คือภาวะเดียว เฉพาะสัญญา ว่าแผ่นดินเท่านั้น 

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์ สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า และรู้ชัด ว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่าแผ่นดิน เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละเธอจึง  พิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้น เลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ ในสัญญานั้น อันยังมีอยู่ว่ามี 

       ดูกรอานนท์  แม้อย่างนี้  ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ


(ใส่ใจ อากาสานัญจายตนสัญญา ไม่ใส่ใจแผ่นดิน ป่า ฯลฯ )

        [๓๓๖]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่าป่า ไม่ใส่ใจ สัญญาว่าแผ่นดิน ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะ อากาสานัญจายตนสัญญา จิตของเธอ ย่อมแล่นไป เลื่อมใสตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน อากาสานัญจายตนสัญญา 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ใน อากาสานัญจายตนสัญญานี้ ไม่มีความกระวนกระวาย  ชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่า และชนิดที่อาศัยสัญญาว่าแผ่นดินมีอยู่ ก็แต่เพียงความ กระวนกระวาย คือภาวะเดียวเฉพาะ อากาสานัญจายตนสัญญาเท่านั้น 

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า สัญญานี้ว่างจาก สัญญาว่าแผ่นดิน และรู้ชัด ว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะ อากาสานัญจายตนสัญญาเท่านั้น ด้วยอาการ นี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ ในสัญญา นั้นเลย และรู้ชัด สิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี 

       ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ฯ

(ใส่ใจ วิญญาณัญจายตนสัญญา ไม่ใส่ใจ อากาสานัญจา- และสัญญาอื่นๆ )

        [๓๓๗]  ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจ สัญญาว่าแผ่นดิน ไม่ใส่ใจ อากาสานัญจายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะ วิญญาณัญจายตน สัญญา จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อม อยู่ใ วิญญาณัญจายตน สัญญา 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าใน วิญญาณัญจายตนสัญญา นี้ไม่มีความกระวนกระวาย ชนิดที่ อาศัยสัญญาว่าแผ่นดิน และชนิดที่อาศัย อากาสานัญจายตนสัญญา มีอยู่ก็แต่เพียง ความกระวนกระวาย คือภาวะเดียวเฉพาะ วิญญาณัญจายตนสัญญาเท่านั้น 

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าแผ่นดิน สัญญานี้ว่างจาก อากาสานัญจายตน สัญญา และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะ วิญญาณัญจายตนสัญญา เท่านั้น  ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่าง นั้น ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ใน  สัญญานั้น เลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้น อันยังมีอยู่ ว่ามี 

       ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ

(ใส่ใจ อากิญจัญญายตนสัญญา ไม่ใส่ใจ อากาสานัญจา วิญญานัญจา ฯลฯ )

        [๓๓๘]  ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจ อากาสานัญจายตน สัญญา ไม่ใส่ใจ วิญญาณัญจายตนสัญญ ใส่ใจแต่สิ่งเดียว เฉพาะ อากิญจัญญา ยตนสัญญา จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และ นึกน้อมอยู่ใน อากิญจัญญายตนสัญญา 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าใน อากิญจัญญายตนสัญญานี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่ อาศัย อากาสานัญจายตนสัญญา และชนิดที่อาศัย วิญญาณัญจายตนสัญญา  มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียว เฉพาะอากิญจัญญายตนสัญญา เท่านั้น 

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจาก อากาสานัญจายตนสัญญา สัญญานี้ว่างจาก วิญญา ณัญจายตนสัญญา และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะ อากิญจัญญายตน สัญญา เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ ในสัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ใน สัญญา นั้นอันยังมีอยู่ว่ามี 

       ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้  ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาดบริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ

(ใส่ใจ เนวสัญญานาสัญญายตน ไม่ใส่ใจ อากิญ -วิญญา-อากาสา ฯลฯ)

        [๓๓๙]  ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจ วิญญาณัญจายตน สัญญา ไม่ใส่ใจ อากิญจัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะ เนวสัญญานา สัญญายตนสัญญา จิตของเธอย่อม แล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และ นึกน้อมอยู่ใน เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญานี้ ไม่มีความกระวนกระวาย ชนิด ที่อาศัย วิญญาณัญจายตนสัญญา และชนิดที่อาศัย อากิญจัญญายตนสัญญา  มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือภาวะเดียวเฉพาะ เนวสัญญานาสัญญายตน สัญญา เท่านั้น 

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจาก วิญญาณัญจายตนสัญญา สัญญานี้ว่างจาก อากิญ จัญญายตนสัญญา และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะ เนวสัญญานาสัญญา ยตนสัญญา เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ ไม่มีอยู่ในสัญญา นั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ใน สัญญานั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี 

       ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้  ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ฯ

(ใส่ใจ เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต ไม่ใส่ใจ สมาธิระดับล่างๆ)

        [๓๔๐]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจ อากิญจัญญายตน สัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียว เฉพาะเจโต สมาธิอันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อม อยู่ใน เจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ใน เจโตสมาธินี้  ไม่มีความ กระวนกระวายชนิดที่อาศัย อากิญ จัญญายตนสัญญา และชนิดที่อาศัย เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา  มีอยู่แต่เพียง วามกระวนกระวาย คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เอง เพราะชีวิตเป็นปัจจัย 

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจาก อากิญจัญญายตนสัญญา สัญญานี้ว่างจาก เนวสัญญา นาสัญญายตนสัญญา และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัย กายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ใน เจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ ในเจโตสมาธิ นั้นอัน ยังมีอยู่ว่ามี 

       ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง  ตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาดบริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ

(ใส่ใจ เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต ไม่ใส่ใจกามาสวะ ภาวสวะ อวิชชา รู้ชัดว่ามีไม่ ว่างก็คือการเกิดแห่งอายตนะ๖ อาศัยกายเพราะชีวิตเป็นปัจจัย)

        [๓๔๑]  ดูกรอานนท์  ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจ อากิญจัญญาตน สัญญา ไม่ใส่ใจนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน เจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้  ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น ไม่เที่ยงมีความดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จาก กามาสวะ แม้จากภวาสวะ  แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว  ย่อมมีญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว  รู้ชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ ความเป็นอย่างนี้มิได้มี 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ ไม่มีความกระวนกระวาย ชนิดที่อาศัยกามาสวะ  ชนิดที่อาศัย ภวาสวะ และชนิดที่อาศัย อวิชชาสวะ  มีอยู่ก็แต่เพียงความ กระวน กระวาย คือ ความเกิดแห่ง อายตนะ ๖  อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย 

เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจาก กามาสวะ สัญญานี้ว่างจาก ภวาสวะ สัญญานี้ว่างจาก อวิชชาสวะ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือ ความเกิด แห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เอง เพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธิ นั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ใน เจโตสมาธิ นั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี

ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด  บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น  ฯ

(บรรลุ สุญญตสมาบัติ อันบริสุทธิ์ )

        [๓๔๒]  ดูกรอานนท์ สมณะหรือพราหมณ์ ในอดีตกาล ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุ สุญญตสมาบัติ อันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น ก็ได้บรรลุ สุญญตสมาบัติ อันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่

สมณะหรือพราหมณ์ ในอนาคตกาลไม่ว่าพวกใดๆ ที่จะบรรลุ สุญญตสมาบัติ อัน บริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น จักบรรลุ สุญญตสมาบัติ อันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอด นี้เองอยู่ 

สมณะหรือพราหมณ์ ในบัดนี้ ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุ สุญญตสมาบัติ อันบริสุทธิ์  เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น ย่อมบรรลุ สุญญตสมาบัติ อันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เอง อยู่ 

       ดูกรอานนท์  เพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า เราจักบรรลุ สุญญตสมาบัติ อันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่  ฯ

        พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี  พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ

จบ  จูฬสุญญตสูตร  ที่  ๑



 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์