เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 มหาสมัยสูตร เทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันเพื่อทัศนา พ.และภิกษอรหันต์ ๕๐๐ รูป 1042
 
 
มหาสมัยสูตร ชุมนุมเทวดา ทั้ง ๑๐ โลกธาตุ
เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดา จากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ไฉนหนอแม้พวกเรา ก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

เรื่องเคยมีมาแล้วในอดีต
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ว่าพวกเทวดาได้ประชุมกัน เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้มีแล้วในอดีตกาล เหมือนที่ประชุมกันเพื่อทัศนา เราจักบอกนาม พวกเทวดา เราจักระบุนามพวกเทวดา เราจักแสดงนามพวกเทวดา พวกเธอจงฟังเรื่องนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น ภิกษุเหล่านั้นสดับรับสั่ง ของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียรญาณเป็นเครื่องเห็นพวก อมนุษย์ ได้ปรากฏแก่
ภิกษุบางพวก ได้เห็นอมนุษย์ ร้อยหนึ่ง
ภิกษุบางพวก ได้เห็นอมนุษย์ พันหนึ่ง
ภิกษุบางพวกได้เห็นอมนุษย์ เจ็ดหมื่น
ภิกษุบางพวกได้เห็น อมนุษย์ หนึ่งแสน
ภิกษุบางพวกได้เห็น ไม่มีที่สุด อมนุษย์ได้แผ่ไปทั่วทิศ

(อมนุษย์หมายถึง คล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ เช่นเทวดา ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร นาค กุมภัณฑ์ และ ภิกษุอรหันต์เห็น อมนุษย์ ได้ไม่เท่ากัน เป็นเพราะความแก่กล้าใน "ทิพยจักษุญาณ"ไม่เท่ากัน)

เทวดาที่มาประชุมทัศนา
เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ภุมมเทวดา ยักษ์ประเภทต่างๆ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔
(เป็นอธิบดีหรือผู้เป็นใหญ่ ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา รวมทั้งคนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค ยักษ์)
ท้าวธตรัฏฐ อยู่ด้านทิศบูรพา ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ (เทพชั้นต่ำ เป็นบริวารท้าวธตรฐ ชำนาญในด้านดนตรี และขับร้อง)
ท้าววิรุฬหก อยู่ด้านทิศทักษิณ ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวก กุมภัณฑ์ (อสูรจำพวกหนึ่ง เป็นบริวารของท้าววิรุฬหก อยู่ทิศใต้)
ท้าววิรูปักษอยู่ด้านทิศปัจจิม ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกนาค (พญานาค งูใหญ่ มีหงอน)
ท้าวกุเวรอยู่ด้านทิศอุดร ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ (อมนุษย์ ตัวใหญ่ มีเขี้ยว น่ากลัว)

พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมบริวาร เหล่านาค ต่างๆ ที่อยู่ในสระชื่อนภสะบ้าง อยู่ในเมือง เวสาลีบ้าง พร้อมด้วยนาค บริษัทเหล่าตัจฉกะกัมพลนาค และ อัสสตรนาคก็มา นาคผู้อยู่ในท่า ชื่อปายาคะ กับญาติ ก็มา นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา เกิดในสกุลธตรัฏฐ ผู้มียศ ก็มา. .เอราวัณ เทพบุตร ผู้เป็นช้างใหญ่ แม้นั้นก็มา

ปักษีทวิชาติ (นก) ผู้เป็นทิพย์ นาคราช ทั้งหลาย พวกอสูร อาศัยสมุทร พวกทานเวฆสอสูร ก็มา เวปจิตติอสูร สุจิตติอสูร ปหาราทอสูร และ นมุจีพระยามาร ก็มา

เทวดาชั้นกามภพ ชั้นรูปภพ (ชั้นพรหม) ก็มา ... เทวดาชั้นย่อยต่างๆก็มา เช่น เทวดา ชื่ออาโป ชื่อปฐวี ชื่อเตโช ชื่อวาโย.. เทวดา ผู้อาศัยพระจันทร์ เทวดาผู้อาศัยพระอาทิตย์ เทวดานักษัตร ปชุนนเทวบุตร ซึ่งคำราม ให้ฝนตกทั่วทิศ ก็มา

พระยามาร และ มารเสนาก็มา พร้อมแผลงฤทธิ์ เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน กระทำเสียงน่ากลัว เหมือนเมฆ ยังฝนให้ตก คำราม พร้อมฟ้าแลบ

ภิกษ ท. มารเสนามาแล้ว พวกเธอจงรู้จักเขา ภิกษุเหล่านั้นสดับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร จนมารและเสนามารหลีกไปจากภิกษุ ผู้ปราศจากราคะ ไม่ยังแม้ขนของท่าน ให้ไหว (พระยามารกล่าวสรรเสริญว่า) พวกสาวกของพระองค์ทั้งหมด ชนะสงครามแล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มียศปรากฏ ในหมู่ชนบันเทิงอยู่กับด้วยพระอริยเจ้า ผู้เกิดแล้วในพระศาสนา

   เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
   การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
   การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
   แสวงหาสัจจะ บำเพ็ญทุกรกิริยา
   ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
   ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
   ปลงสังขาร ปรินิพพาน
   ลำดับขั้นการปรินิพพาน
   เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
   แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 


ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้าที่ ๑๙๑ –๑๙๗

๗. มหาสมัยสูตร (๒๐)


      [๒๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาค และ ภิกษุสงฆ์

      ครั้งนั้น เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาค พระองค์นี้ แลประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท พร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดา จากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ไฉนหนอ แม้พวกเราก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

      ครั้นแล้วพึงกล่าวคาถาเฉพาะองค์ละคาถา ในสำนักพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น เทวดาพวกนั้น หายไป ณ เทวโลก ชั้นสุทธาวาส แล้วมาปรากฏเบื้องพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขนที่เหยียดออกเข้า ฉะนั้น เทวดาพวกนั้นถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เทวดาองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

      [๒๓๖] การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ หมู่เทวดามาประชุมกันแล้ว พวกเราพากันมา สู่ธรรมสมัยนี้ เพื่อได้เห็นหมู่ท่านผู้ชนะมาร ฯ

      [๒๓๗] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาค ว่า ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้นมั่นคง กระทำจิตของตนๆให้ตรง บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมรักษาอินทรีย์ เหมือนสารถีถือบังเหียนขับม้า ฉะนั้น ฯ

      [๒๓๘] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนัก พระผู้มีพระภาค ว่า ภิกษุเหล่านั้น ตัดกิเลสดุจตะปู ตัดกิเลสดุจลิ่มสลัก ถอนกิเลสดุจเสาเขื่อนได้แล้ว เป็นผู้ไม่หวั่นไหว หมดจด ปราศจากมลทิน เที่ยวไปท่านเป็นหมู่นาคหนุ่ม อันพระผู้มี พระภาค ผู้มีจักษุทรงฝึกดีแล้ว ฯ

      [๒๓๙] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนัก พระผู้มีพระภาค ว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ เขาจักไม่ไปอบายภูมิ ละกาย มนุษย์แล้ว จักยังเทวกายให้บริบูรณ์ ฯ

      [๒๔๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกเทวดาในโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาตถาคต และ ภิกษุสงฆ์ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละได้ประชุมกัน เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้มีแล้วในอดีตกาล เหมือนที่ประชุมกันเพื่อทัศนา เราในบัดนี้ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละจักประชุมกัน เพื่อทัศนาพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมีในอนาคตกาล เหมือนที่ประชุมกัน เพื่อทัศนาเราในบัดนี้ เราจักบอกนามพวกเทวดา เราจักระบุนามพวกเทวดา เราจักแสดงนามพวกเทวดา พวกเธอ จงฟังเรื่องนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาค แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส  พระคาถานี้ว่า

      [๒๔๑] เราจัก ร้อยกรองโศลก ภุมมเทวดา อาศัยอยู่ ณ ที่ใด พวกภิกษุก็อาศัย ที่นั้น ภิกษุพวกใดอาศัยซอกเขา ส่งตนไปแล้ว มีจิตตั้งมั่น ภิกษุพวกนั้นเป็นอันมาก เร้นอยู่ เหมือนราชสีห์ครอบงำความขนพองสยองเกล้าเสียได้ มีใจผุดผ่อง เป็นผู้ หมดจด ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว พระศาสดาทรงทราบภิกษุประมาณ ๕๐๐ เศษ ที่อยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ แต่นั้นจึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น ภิกษุเหล่านั้นสดับรับสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียรญาณ เป็น เครื่องเห็นพวก อมนุษย์ ได้ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุบางพวก ได้เห็นอมนุษย์ ร้อยหนึ่ง
บางพวก ได้เห็นอมนุษย์ พันหนึ่ง
บางพวกได้เห็นอมนุษย์ เจ็ดหมื่น
บางพวกได้เห็น อมนุษย์ หนึ่งแสน
บางพวกได้เห็นไม่มีที่สุด อมนุษย์ได้แผ่ไปทั่วทิศ

พระศาสดาผู้มี พระจักษุ ทรงใคร่ครวญทราบเหตุนั้นสิ้นแล้วแต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวก ผู้ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้วพวกเธอจงรู้จัก หมู่เทวดานั้น เราจักบอก พวกเธอด้วยวาจาตามลำดับ

ยักษ์เจ็ดพัน เป็น ภุมมเทวดา อาศัยอยู่ในพระนคร กบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศยินดี มุ่งมายัง  ป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ยักษ์หกพัน อยู่ที่เขา เหมวตา มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมา ยังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ยักษ์สามพัน อยู่ที่เขา สาตาคีรี มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ยักษ์เหล่านั้นรวมเป็นหนึ่งหมื่นหกพัน มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ยักษ์ห้าร้อย อยู่ที่เขาเวสสามิตตะ มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่า อันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ยักษ์ชื่อ กุมภีระ อยู่ในพระนครราชคฤห์ เขาเวปุลละ เป็นที่อยู่ของยักษ์นั้น
ยักษ์แสนเศษ แวดล้อมยักษ์ชื่อ กุมภีระ นั้น

ยักษ์ชื่อกุมภีระ
อยู่ในพระนครราชคฤห์ แม้นั้น ก็ได้มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

[๒๔๒] ท้าวธตรัฏฐ อยู่ด้านทิศบูรพา ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็น ที่ประชุมของ

ภิกษุท้าววิรุฬหก อยู่ด้านทิศทักษิณ ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวก กุมภัณฑ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายัง  ป่าอันเป็นที่ ประชุมของภิกษุ

ท้าววิรูปักษ์ อยู่ด้านทิศปัจจิม ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกนาค เธอเป็นมหาราช มียศ  แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่าอินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่า อันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ท้าวกุเวร อยู่ด้านทิศอุดร ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่าอินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
ท้าวธตรัฏฐ เป็นใหญ่ ทิศบูรพา
ท้าววิรุฬหก เป็นใหญ่ ทิศทักษิณ
ท้าววิรูปักษ์ เป็นใหญ่ ทิศปัจจิม
ท้าวกุเวร เป็นใหญ่ ทิศอุดร
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรือง ได้ยืนอยู่แล้วในป่า เขตพระ นครกบิลพัสดุ์ ฯ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔


[๒๔๓] พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น มีมายา ล่อลวง โอ้อวด เจ้าเล่ห์ มาด้วยกัน มีชื่อคือกุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วิฏ ๑ วิฏฏะ ๑ จันทนะ ๑กามเสฏฐะ ๑ กินนุฆัณฑุ ๑  นิฆัณฑุ ๑ และ ท้าวเทวราชทั้งหลายผู้มีนามว่าปนาทะ ๑ โอปมัญญะ ๑ เทพสารถีมีนามว่า มาตลิ ๑ จิตตเสนะ ผู้คนธรรพ์ ๑ นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑ ติมพรู ๑ สุริยวัจฉสาเทพธิดา ๑ มาทั้งนั้น ราชาและคนธรรพ์พวกนั้น และ พวกอื่นกับเทวราชทั้งหลายยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

อนึ่งเหล่านาค ที่อยู่ในสระชื่อนภสะบ้าง อยู่ในเมืองเวสาลีบ้าง พร้อมด้วยนาค บริษัทเหล่าตัจฉกะกัมพลนาค และ อัสสตรนาคก็มา
นาคผู้อยู่ในท่า ชื่อปายาคะ กับญาติ ก็มา
นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา เกิดในสกุลธตรัฏฐ ผู้มียศ ก็มา

เอราวัณ เทพบุตร ผู้เป็นช้างใหญ่ แม้นั้นก็มา ยังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ

[๒๔๔] ปักษีทวิชาติ(นก) ผู้เป็นทิพย์ มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ นำนาคราชไปได้ โดยพลัน นั้น มาโดยทางอากาศถึงท่ามกลางป่า ชื่อของปักษีนั้นว่า จิตรสุบรรณ

ในเวลานั้น นาคราช ทั้งหลาย ไม่ได้มีความกลัว พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำให้ ปลอดภัย จากครุฑ นาคกับครุฑ เจรจากัน ด้วยวาจาอันไพเราะ กระทำพระพุทธเจ้าให้ เป็น สรณะ

พวกอสูร อาศัยสมุทรอยู่ อันท้าววชิรหันถ์ รบชนะแล้ว เป็นพี่น้องของท้าววาสพ มีฤทธิ์ มียศ เหล่านี้คือพวก กาลกัญชอสูร มีกายใหญ่น่ากลัวก็มา

พวกทานเวฆสอสูร ก็มา
เวปจิตติอสูร สุจิตติอสูร ปหาราทอสูร และ นมุจีพระยามาร ก็มาด้วยกัน

บุตรของพลิอสูร หนึ่งร้อย มีชื่อว่าไพโรจน์ทั้งหมด ผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง เข้าไป ใกล้ อสุรินทราหู แล้วกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เจริญ บัดนี้ เป็นสมัยที่จะประชุมกัน ดังนี้แล้ว เข้าไปยังป่า อันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๒๔๕] ในเวลานั้น
เทวดาทั้งหลาย
ชื่ออาโป ชื่อปฐวี ชื่อเตโช ชื่อวาโย ได้พากันมาแล้ว
เทวดา ชื่อวรุณะ ชื่อวารุณะ ชื่อโสมะ ชื่อยสสะ ก็มาด้วยกัน
เทวดาผู้บังเกิด ในหมู่เทวดาด้วยเมตตา และ กรุณาฌาน เป็นผู้มียศ ก็มา
หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆกัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
------------------------------------------------------------------------------------------------------

เทวดา ชื่อ เวณฑู ชื่อสหลี ชื่ออสมา ชื่อยมะ ทั้งสองพวกก็มา
เทวดา ผู้อาศัยพระจันทร์ กระทำพระจันทร์ ไว้ในเบื้องหน้าก็มา
เทวดา ผู้อาศัยพระอาทิตย์ กระทำพระอาทิตย์ ไว้ในเบื้องหน้าก็มา
เทวดา กระทำนักษัตร ไว้ในเบื้องหน้าก็มา มันทพลาหกเทวดาก็มา
แม้ท้าวสักก ปุรินททวาสวะ ซึ่งประเสริฐกว่าสุเทวดาทั้งหลายก็เสด็จมา

หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
อนึ่ง
เทวดา
ชื่อ สหภู ผู้รุ่งเรืองดุจเปลวไฟ ก็มา
เทวดา ชื่อ อริฏฐกะ ชื่อโรชะ มีรัศมีดังสีดอกผักตบ ก็มา
เทวดา ชื่อ วรุณะ ชื่อสหธรรม ชื่ออัจจุตะ ชื่ออเนชกะ ชื่อสุเลยยะ ชื่อรุจิระ ก็มา
เทวดา ชื่อ วาสวเนสี ก็มา

หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมด ล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมีมียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
------------------------------------------------------------------------------------------------------

เทวดา ชื่อสมานะ ชื่อมหา สมานะ ชื่อมานุสะ ชื่อมานุสุตตมะ ชื่อขิฑฑาปทูสิกะ ก็มา เทวดา ชื่อมโนปทูสิกะ ก็มา อนึ่ง เทวดาชื่อหริ เทวดาชื่อโลหิต วาสี ชื่อปารคะ ชื่อมหาปารคะ ผู้มียศ ก็มา
หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวกทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ  มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
------------------------------------------------------------------------------------------------------

เทวดา ชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ชื่ออรุณะ ชื่อเวฆนสะก็มาด้วยกัน
เทวดา ชื่อโอทาตคัยหะ ผู้เป็นหัวหน้า เทวดาชื่อ วิจักขณะ ก็มา
เทวดา ชื่อสทามัตตะ ชื่อหารคชะ และ ชื่อมิสสกะผู้มียศ ก็มา
ปชุนนเทวบุตร ซึ่งคำราม ให้ฝนตกทั่วทิศ ก็มา
หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
------------------------------------------------------------------------------------------------------

เทวดา ชื่อเขมิยะ เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นยามะ และเทวดาชื่อกัฏฐกะ มียศ
เทวดา ชื่อลัมพิตกะ ชื่อลามเสฏฐะ ชื่อโชตินามะ ชื่ออาสา และ เทวดาชั้นนิมมานรดี ก็มา

อนึ่ง เทวดาชั้นปรนิมมิตะ ก็มา
หมู่เทวดา ๑๐เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมด ล้วนมีรัศมี ต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพมีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุม ของภิกษุ

หมู่เทวดา ๖๐ เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆกัน มาแล้วโดยกำหนดชื่อ และ เทวดาเหล่าอื่น ผู้เช่นกัน มาพร้อมกันด้วยคิดว่า เราทั้งหลายจักเห็นพระนาค ผู้ปราศจากชาติ ไม่มีกิเลสดุจตะปู มีโอฆะอัน ข้ามแล้ว ไม่มีอาสวะข้ามพ้นโอฆะ ผู้ล่วงความยึดถือได้แล้ว ดุจพระจันทร์พ้นจากเมฆฉะนั้น. ฯ

      [๒๔๖] สุพรหม และ ปรมัตตพรหม ซึ่งเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าผู้มีฤทธิ์ ก็มาด้วย สนังกุมารพรหม และติสสพรหม แม้นั้น ก็มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของ ภิกษุ ท้าวมหาพรหม ย่อมปกครอง พรหมโลกพันหนึ่ง ท้าวมหาพรหมนั้นบังเกิดแล้ว ใน พรหมโลก มีอานุภาพ มีกายใหญ่โต มียศ ก็มา

พรหม ๑๐ พวก ผู้เป็น อิสระในพวกพรหมพันหนึ่ง มีอำนาจเป็นไปเฉพาะ องค์ละ อย่าง ก็มา มหาพรหม ชื่อหาริตะ อันบริวารแวดล้อมแล้ว มาในท่ามกลางพรหม เหล่านั้น มารเสนา ได้เห็นพวกเทวดา พร้อมทั้ง พระอินทร์พระพรหมทั้งหมดนั้น ผู้มุ่งมา ก็มาด้วย แล้วกล่าวว่า ท่านจงดูความเขลาของมาร พระยามาร กล่าวว่า

พวกท่าน จงมาจับเทวดาเหล่านี้ผูกไว้ความผูกด้วยราคะ จงมีแก่ท่านทั้งหลาย  พวกท่านจงล้อมไว้โดยรอบ อย่าปล่อยใคร ๆ ไปพระยามาร บังคับเสนามาร ในที่ประชุมนั้น ดังนี้แล้ว เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน กระทำเสียงน่ากลัว เหมือนเมฆ ยังฝนให้ตก คำรามอยู่ พร้อมทั้ง ฟ้าแลบ ฉะนั้น

เวลานั้น พระยามารนั้นไม่อาจ ยังใครให้เป็นไป ในอำนาจได้โกรธจัด กลับไปแล้ว พระศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงพิจารณาทราบเหตุนั้นทั้งหมด แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารเสนามาแล้ว  พวกเธอจงรู้จักเขา ภิกษุเหล่านั้น สดับ พระดำรัสสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร มาร และเสนามารหลีกไป  จากภิกษุ ผู้ปราศจากราคะ ไม่ยังแม้ขนของท่านให้ไหว (พระยามารกล่าวสรรเสริญว่า) พวกสาวกของพระองค์ทั้งหมดชนะสงครามแล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มียศปรากฏ ในหมู่ชนบันเทิงอยู่กับด้วยพระอริยเจ้า ผู้เกิดแล้วในพระศาสนา ดังนี้แล. ฯ

จบมหาสมัยสูตร ที่ ๗

 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์