ความเข้าใจของวัจฉะ ว่า
พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวงทรงปฏิญญาญาณทัศนะ ไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัศนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไป
ดูกรวัจฉะ
ชนที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญญาญาณ ทัสนะ ไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสนะปรากฏแล้ว เสมอติดต่อกันไป ดังนี้ ไม่เป็นอันกล่าวตามคำ ที่เรากล่าวแล้ว และชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำ ที่ไม่มี ไม่เป็นจริง (เข้าใจว่าพระพุทธเจ้ามีญาณ ต่อเนื่องกัน ตลอดเวลา ทั้งหลับ ทั้งตื่น ซึ่ง ไม่เป็นความจริง)
จากนั้นวัจฉะถามต่อว่า แล้วอย่างไรเล่าจึงจะไม่เป็นการกล่าวตู่ด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระองค์มีวิชชา ๓ (เตวิชชะ) คือ
1. ระลึกชาติก่อนๆได้ เป็นอันมาก
2. เห็นการจุติและการอุบัติของสัตว์ ว่าเป็นไปตามกรรม
3.
เป็นผู้ทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ผู้ใดกล่าวว่าตถาคต มี เตวิชชะ (วิชชา ๓) ถือว่ากล่าวจริง กล่าวตรง ไม่ได้กล่าวตู่แต่อย่างใด
วัจฉะถามต่อเรื่องการละสังโยชน์ ว่า
1. คฤหัสถ์ ที่ยังละสังโยชน์ไม่ได้ เมื่อตายไปจะสิ้นทุกข์ได้หรือไม่ พระศาสดาตอบว่า ไม่ได้เลย
2.
คฤหัสถ์ ที่ยังละสังโยชน์ไม่ได้ เมื่อตายไปจะ ไปเกิดในสวรรค์ได้หรือไม่ พ. มีอยู่มากทีเดียว
3.
อชีวก ที่ยังละสังโยชน์ไม่ได้ เมื่อตายไปจะสิ้นทุกข์ได้หรือไม่ พระศาสดาตอบว่า ไม่ได้เลย
4.
อาชีวกบางคน เมื่อตายไปจะไปสวรรค์ได้ มีอยู่หรือ? พ. อาชีวกที่ไปสวรรค์หามิได้ นอกจาก
อาชีวกคนเดียวที่เป็น กรรมวาที กิริยาวาที (เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม)
|