อุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) กับ สังโยชน์(เครื่องร้อยรัด) มีความต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร
คำตอบจากAI
อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) และ สังโยชน์ (เครื่องร้อยรัด) เป็นธรรมะในพระพุทธศาสนา ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยสังโยชน์ คือกลุ่มของกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน และอุปาทานก็เป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นผลมาจากสังโยชน์
 |
 |
 |
 |
| ลักษณะ |
อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) |
สังโยชน์ (เครื่องร้อยรัด) |
| ความหมายหลัก |
เป็นสภาวะทางจิตที่ฝังแน่น
เป็นความยึดติดถือมั่นอย่างมีกำลัง |
เป็นกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้ในกองทุกข์
ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ |
| ประเภท |
มี 4 อย่าง ได้แก่ กามุปาทาน (ยึดในกาม),
ทิฏฐุปาทาน (ยึดในความเห็นผิด),
สีลัพพตุปาทาน (ยึดในศีลพรตที่ผิด), และ
อัตตวาทุปาทาน (ยึดในความเป็นตัวตน) |
มี 10 อย่าง (แบ่งเป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5
และ
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5)
ซึ่งครอบคลุมกิเลสที่หลากหลายกว่า |
| สถานะ |
เป็นตัวการที่ทำให้เกิดทุกข์โดยตรง
(อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์) |
เป็นธรรมที่ขัดขวางการบรรลุธรรม
หรือการหลุดพ้น |
| ระดับ |
เป็นระดับความยึดมั่น
ที่เกิดจากตัณหาที่มีกำลังมากขึ้น |
เป็นตัวกิเลสพื้นฐานที่ทำหน้าที่ผูกมัดจิต |
ความเหมือนกัน
เป็นกิเลส
ทั้งคู่จัดเป็นกิเลสหรือธรรมที่เป็นอกุศล ซึ่งทำให้จิตใจเศร้าหมองและเป็นเหตุแห่งทุกข์
เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน
สังโยชน์ (โดยเฉพาะ สักกายทิฏฐิ, กามราคะ, เป็นต้น) เป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การเกิดอุปาทาน ส่วนอุปาทานก็เป็นตัวเสริมให้สังโยชน์มีความแน่นแฟ้นขึ้น
เป้าหมายการละ
การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนามีเป้าหมายเพื่อละทั้งอุปาทานและสังโยชน์ เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์และบรรลุมรรคผลนิพพาน
ลักษณะการผูกมัด
ทั้งสองมีลักษณะเป็นการผูกมัด ร้อยรัดจิตใจของสัตว์ไว้กับวัฏฏสงสาร ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นได้
โดยสรุป
สังโยชน์ เป็นเสมือนกลุ่มของเชือก 10 เส้นที่ผูกมัดสัตว์ไว้กับวัฏสงสาร ส่วน อุปาทาน เป็นความรู้สึก ยึดมั่นถือมั่นที่เกิดขึ้นจากเชือกเหล่านั้นทำงาน (โดยเฉพาะโลภะและทิฏฐิ) ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง และต้องละไปพร้อมๆ กันตามลำดับขั้นของการบรรลุธรรม (พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์)
ความเห็น
อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) มีนัยยะที่กว้างครอบคลุมทั้งระบบของ สังขตะ อุปาทานมีได้ก็เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้ธรรมชาติตามความเป็นจริง)เป็นต้นเงื่อน และใช้วัดสอบความรู้ความเข้าใจในธรรม ว่าอยู่ระดับไหนค่อนข้างยาก
ส่วนสังโยชน์ (เครื่องร้อยรัด) ความจริงก็คล้ายกับความยึดมั่นในอีกแง่มุมหนึ่ง แต่เป็นเครื่องมือวัดสอบ ความก้าวหน้าในการบรรลุธรรม ว่าอยู่ระดับไหน คล้าย Checklist (แบบตรวจสอบ)ในความเป็นอริยะบุคคล ของตนว่าก้าวพ้นปุถุชนภูมิได้แล้วหรือยัง อะไรที่ละได้ อะไรที่ยังละไม่ได้ ถึงแม้สังโยชน์จะเป็น เครื่องมือตรวจสอบ แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายนัก โดยเฉพาะข้อ 1 คือสักกายทิฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน) ว่าเห็นจริงรู้แจ้งแค่ไหน และ ข้อ 3 คือกามฉันทะ (ความพอใจในกาม) ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากยิ่ง
สังโยชน์
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (เบื้องต่ำ)
๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน)
๒. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๓. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต)
๔. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม)
๕. พยาบาท (ความคิดร้าย)
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (เบื้องสูง)
๑. รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน)
๒. อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน)
๓. มานะ (ความถือตัว)
๔. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
๕. อวิชชา (ความไม่รู้แจ้ง) |