|
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้าที่ ๑๘๓
- บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๓๙/๑๘๕.
ตรัสแก่ที่ประชุมปริพพาชกซึ่งกำลังสนทนากันอยู่ด้วยเรื่องพราหมณสัจจ์ ที่ปริพพาชการาม ริมฝั่งแม่น้ำสัปปินี, แต่นี่พราหมณสัจจ์อย่างพุทธศาสนา.
ทรงทราบพราหมณสัจจ์
ปริพพาชกทั้งหลาย ! พราหมณสัจจ์ ๔ อย่างนี้ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญา อันยิ่งเอง แล้ว ประกาศให้รู้ทั่วกัน.
พราหมณสัจจ์ ๔ คืออะไรเล่า ?
(1) ปริพพาชก ท. ! ในธรรมวินัยนี้ พราหมณ์ได้พูดกันอย่างนี้ว่า
“สัตว์ทั้งปวง ไม่ควรฆ่า”
พราหมณ์ที่พูดอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าพูดคำสัจจ์ ไม่ใช่กล่าวมุสา
และพราหมณ์นั้น ไม่ถือเอาการที่พูดคำสัจจ์นั้น เป็นเหตุสำคัญตัวว่า
“เราเป็นสมณะ เราเป็นพราหมณ์ เราดีกว่าเขา เราเสมอกับเขา เราเลวกว่าเขา”
เป็นแต่ว่าความจริงอันใดมีอยู่ในข้อนั้น ครั้นรู้ความจริงนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อความเอ็นดูสงสารสัตว์ทั้งหลายเท่านั้นเอง.
------------------------------------------------------------------------------
(2) ปริพพาชก ท. ! อีกข้อหนึ่ง พราหมณ์ได้พูดกันอย่างนี้ว่า
“กามทุกชนิด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอันแปรปรวนเป็นธรรมดา”
พราหมณ์ที่พูดอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าพูดคำสัจจ์ ไม่ใช่กล่าวมุสา
และพราหมณ์นั้นไม่ถือเอาการที่พูดคำสัจจ์นั้นขึ้นเป็นเหตุสำคัญตัวว่า
“เราเป็นสมณะ เราเป็นพราหมณ์ เราดีกว่าเขา เราเสมอกับเขา เราเลวกว่าเขา”
เป็นแต่ว่าความจริงอันใดมีอยู่ในข้อนั้น ครั้นรู้ความจริงนั้นด้วย ปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหน่ายกาม เพื่อคลายกำหนัดในกาม เพื่อดับกามทั้งหลายเสีย เท่านั้นเอง.
------------------------------------------------------------------------------
(3) ปริพพาชก ท. ! อีกข้อหนึ่ง พราหมณ์ได้พูดกันอย่างนี้ว่า
“ภพทุกภพ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอันแปรปรวนเป็นธรรมดา”
พราหมณ์ที่กล่าวอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าพูดคำสัจจ์ ไม่ใช่กล่าวมุสา
และพราหมณ์นั้น ไม่ถือเอาการที่พูดคำสัจจ์นั้นขึ้นเป็นเหตุสำคัญตัว ว่า “เราเป็นสมณะ เราเป็นพราหมณ์ เราดีกว่าเขา เราเสมอกับเขา เราเลวกว่าเขา” เป็นแต่ว่าความจริงอันใด มีอยู่ในข้อนั้น ครั้นรู้ความจริงนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหน่ายภพ เพื่อคลายกำหนัดในภพ เพื่อดับภพเสีย เท่านั้นเอง.
------------------------------------------------------------------------------
(4) ปริพพาชก ท. ! อีกข้อหนึ่ง พราหมณ์ได้พูดกันอย่างนี้ว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา ความกังวลต่อสิ่งใดหรือในอะไรๆ ก็ไม่มีว่าเป็นตัวเรา และไม่มีอะไรที่เป็นของเรา
ความกังวลในสิ่งใด ๆ ก็ไม่มีว่าเป็นของเรา”
พราหมณ์ที่พูดอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าพูดคำสัจจ์ ไม่ใช่กล่าวมุสา.
และพราหมณ์นั้น ก็ไม่ถือเอาการที่พูดคำสัจจ์นั้น ขึ้นเป็นเหตุสำคัญตัวว่า
“เราเป็นสมณะ เราเป็นพราหมณ์ เราดีกว่าเขา เราเสมอกับเขา เราเลวกว่าเขา”
เป็นแต่ว่าความจริงอันใดมีอยู่ในข้อนั้น ครั้นรู้ความจริงนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ก็เป็นผู้ปฏิบัติให้เข้าแนวทางที่ไม่มีกังวลใด ๆ เท่านั้นเอง.
ปริพพาชก ท. ! นี้แล พรหมณสัจจ์ ๔ ประการ ที่เราทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง เอง แล้วประกาศให้รู้ทั่วกัน.
|