๑. สูตรที่ ๖ อานันทวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๘๗/๕๑๖, ตรัสแก่พระอานนท์.
ธาตุ ๓ อย่าง
เป็นที่ตั้งแห่งความเป็นไปได้ของ ปฏิจจสมุปบาท๑
(นัยยะ 1 กรรมเปรียบเหมือนผืนนา)
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! คำที่กล่าว ๆ กันว่า ‘ภพ-ภพ’ ดังนี้นั้น ภพย่อมมีได้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรแล พระเจ้าข้า ?”
ดูก่อนอานนท์ !
ถ้ากรรมอันมี กามธาตุ (ธาตุอันทราม) เป็นวิบาก (วิบาก=ผลแห่งการกระทำ) จักไม่ได้มี แล้วไซร้ กามภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ? (“ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”)
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังนี้แล กรรม จึงชื่อว่าเนื้อนา วิญญาณ ชื่อว่าพืช ตัณหา ชื่อว่ายางในพืช. เมื่อวิญญาณ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็น เครื่องผูก ตั้งอยู่ด้วยธาตุอันทราม (กามธาตุ) อย่างนี้แล้ว การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ ต่อไปย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนอานนท์ ! ถ้า กรรมอันมี รูปธาตุ เป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ รูปภพ จะพึง ปรากฏ ได้แลหรือ ? (“ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”)
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังนี้แล กรรม จึงชื่อว่าเนื้อหา วิญญาณ ชื่อว่าพืช ตัณหา ชื่อว่ายางในพืช.
เมื่อวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่อง ผูก ตั้งอยู่ด้วยธาตุปานกลาง (รูปธาตุ) อย่างนี้แล้ว การบังเกิดขึ้น ในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนอานนท์ ! ถ้า กรรมอันมี อรูปธาตุ เป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ อรูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ? (“ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”)
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังนี้แล กรรม จึงชื่อว่าเนื้อนา วิญญาณ ชื่อว่าพืช ตัณหา ชื่อว่ายางในพืช. เมื่อวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่ด้วยธาตุอันประณีต (อรูปธาตุ) อย่างนี้แล้ว การบังเกิดขึ้น ในภพใหม่ต่อไป ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนอานนท์ ! ภพ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
(ต่อไปนี้ เป็นข้อความในสูตรอีกสูตรหนึ่ง๑ ซึ่งมีหลักธรรมทำนองเดียวกัน:-)
สูตรที่ ๗ อานันทวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๘๘/๕๑๗, ตรัสแก่พระอานนท์.
(นัยยะ 2 กรรมเปรียบเหมือน เจตนา)
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ? คำที่กล่าว ๆ กันว่า ‘ภพ-ภพ’ ดังนี้นั้น ภพย่อมมีได้ ด้วยเหตุ ที่ประมาณเท่าไรแล พระเจ้าข้า ?”
ดูก่อนอานนท์ ! ถ้ากรรมอันมี กามธาตุ เป็นวิบาก (วิบาก = ผลแห่งการ กระทำ) จักไม่ได้มี แล้วไซร้ กามภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ? (“ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”)
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังนี้แล กรรม จึงชื่อว่าเนื้อนา วิญญาณ ชื่อว่าพืช ตัณหา ชื่อว่ายางในพืช.
เมื่อเจตนา ก็ดี ความปรารถนา ก็ดี ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่ด้วยธาตุอันทราม (กามธาตุ) อย่างนี้แล้ว การบังเกิดใน ภพใหม่ต่อไป ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนอานนท์ ! ถ้ากรรมอันมีรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ รูปภพจะพึง ปรากฏได้แลหรือ ? (“ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”)
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังนี้แล กรรม จึงชื่อว่าเนื้อนา วิญญาณ ชื่อว่าพืช ตัณหา ชื่อว่ายางในพืช. เมื่อเจตนา ก็ดี ความปรารภนา ก็ดี ของสัตว์ทั้งหลายผู้มี อวิชชาเป็น เครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่ด้วยธาตุปานกลาง (รูปธาตุ) อย่างนี้แล้ว การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนอานนท์ ! ถ้ากรรมอันมีอรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ อรูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?
(“ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !”)
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังนี้แล กรรม จึงชื่อว่าเนื้อนา วิญญาณ ชื่อว่าพืช ตัณหา ชื่อว่ายางในพืช. เมื่อเจตนา ก็ดี ความปรารถนา ก็ดี ของสัตว์ทั้งหลายผู้มี อวิชชาเป็น เครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่ด้วยธาตุอันประณีต (อรูปธาตุ) อย่างนี้แล้ว การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนอานนท์ ! ภพ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
หมายเหตุผู้รวบรวม : ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า การเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ต่อไป ในที่นี้ หมายถึงการเกิดแห่งภพ เพราะอำนาจแห่งอุปาทาน ของสัตว์ผู้ประกอบด้วย อวิชชาและ ตัณหา ในขณะแห่งปฏิจจสมุปบาทสายหนึ่ง ๆ ทุกสาย ต่างกันไปตาม อารมณ์ ของตัณหา ซึ่งเป็นกามธาตุบ้าง รูปธาตุบ้าง อรูปธาตุบ้าง; ดังนั้น ถ้าธาตุทั้ง ๓ นี้ ยังมีอยู่ แม้เพียง อย่างใดอย่างหนึ่ง การเกิดในภพใหม่ ในกระแสแห่ง ปฏิจจสมุปบาทนั้น ก็พึงมีต่อไป.
|