ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้าที่ ๑๖
มหาปทานสูตร
พระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จอุทยาน และออกผนวช
[๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี พระวิปัสสีราชกุมาร ได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถี ผู้สหาย เธอจงเทียมยานที่ดีๆ เราจะไปสวนเพื่อชมพื้นที่อันสวยสด ภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับ รับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้วเทียมยานที่ดีๆ เสร็จแล้ว จึงกราบทูล แด่ พระวิปัสสี ราชกุมารว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ได้เทียมยานที่ดีๆ เสร็จแล้ว บัดนี้ พระองค์ ทรงกำหนดเวลาอันสมควรเถิด
เสด็จอุทยานครั้งที่ ๑ (ทรงเห็นคนชราในอุทยาน)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานอันดี เสด็จ ประพาส พระอุทยาน พร้อมกับยานที่ดีๆ ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสี ราชกุมาร ขณะเมื่อ เสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรชายชรา มีซี่โครงคด เหมือน กลอน หลังงอ ถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถี ผู้สหาย ก็ชายผู้นี้ถูกใคร ทำอะไรให้ แม้ผมของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ร่างกาย ของเขาก็ไม่ เหมือนของ คนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนชรา ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา บัดนี้เขาจัก พึงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน นายสารถี ถึงตัวเราก็จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้หรือ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้ ฯ
นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับ ภายในบุรีจากสวนนี้เถิด
นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปยัง ภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิด มาแล้ว
(พระเจ้าพันธุมา ตรัสถามนายสารถีครั้งที่ ๑)
[๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา รับสั่งหานายสารถี มาตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี ผู้สหายราชกุมารพอพระทัย ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ดังนี้ ตรัสถาม ต่อไปว่า ดูกรนายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวน ได้ทอดพระเนตร อะไรเข้า
นายสารถีได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรชายชรา มีซี่โครงคด เหมือนกลอน หลังงอ ถือไม้เท้า เดินงกๆ เงิ่นๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น
ครั้นได้ทอดพระเนตรแล้ว ได้มีรับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายผู้นี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ผมของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ร่างกายของเขา ก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ
เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา พระองค์ ได้ตรัสถามย้ำว่านายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนชรา เมื่อข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนชรา บัดนี้เขาจักพึงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
พระราชกุมารได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหายถึงตัวเราก็จะต้องมีความแก่ เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้หรือ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ ไปได้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้ว สำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปภายในบุรีจากสวนนี้
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า รับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วได้นำเสด็จกลับ ไปภายในบุรี จากพระอุทยานนั้นขอเดชะ พระราชกุมารนั้นแลเสด็จถึงภายในบุรี แล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่าผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่าขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่ จักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา ทรงพระดำริว่า วิปัสสีราชกุมาร อย่าไม่เสวยราชย์เสียเลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำของ เนมิตตพราหมณ์ อย่าพึงเป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งให้บำรุงบำเรอ พระวิปัสสี ราชกุมาร ด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสี ราชกุมาร เสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับ การบำรุงบำเรออยู่
...............................................................................................................................................
เสด็จอุทยานครั้งที่ ๒ (ทรงเห็นคนเจ็บ ในอุทยาน)
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี พระวิปัสสี ราชกุมาร ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรคนเจ็บถึงความลำบากเป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในมูตรและกรีส ของตน คนอื่นๆต้องช่วยพยุงให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้กิน
ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายนี้ถูกใคร ทำอะไรให้ แม้ตาทั้งสองของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ศีรษะของเขาก็ไม่ เหมือนของคนอื่นๆ
นายสารถี กราบทูลว่า
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนเจ็บ ขอเดชะนี้แลเรียกว่าคนเจ็บ
ไฉนเล่าเขาจะพึงหายจากความเจ็บนั้นได้ นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมี ความเจ็บเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้น ความเจ็บไปได้หรือ ขอเดชะ พระองค์และ ข้าพระพุทธเจ้า ล้วนจะต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความเจ็บไปได้ นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้นวันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไป ยังภายในบุรีจากสวนนี้เถิด
นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปยัง ภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บ จักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
(พระเจ้าพันธุมา ตรัสถามนายสารถีครั้งที่ ๒)
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งหานายสารถี มาตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถีผู้สหายราชกุมารพอพระทัยในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยานดังนี้ ตรัสถาม ต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวนได้ทอดพระเนตร อะไรเข้า
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรคนเจ็บ ถึงความลำบาก เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ ในมูตร และ กรีส ของตน บุคคลอื่นๆ ต้องช่วยพยุงให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้กิน ครั้นทอดพระเนตรแล้ว ได้รับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย ชายคนนี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ตาทั้งสองของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ศีรษะ ของเขาก็ไม่เหมือนของ คนอื่นๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ขอเดชะ นี้แล เรียกว่า คนเจ็บ พระองค์ได้ตรัสถามย้ำว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือ เรียกว่า คนเจ็บ เมื่อ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ ไฉน เล่าเขาจะพึงหาย จากความเจ็บนั้นได้ พระราชกุมารได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย แม้ถึงตัวเราก็จะต้องมีความเจ็บเป็น ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้หรือ แต่พอข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่จะต้องมี ความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปยังภายในบุรีจากสวนนี้
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับรับสั่งของพระวิปัสสี ราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไป ภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารนั้นแล เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์ เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บป่วยจักปรากฏแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาทรงพระดำริว่า วิปัสสี ราชกุมาร อย่าไม่เสวยราชเสียเลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิต เลย ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์อย่าพึงเป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งให้บำรุงบำเรอ พระวิปัสสีราชกุมาร ด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสีราชกุมารเสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต โดยอาการ ที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมาร เพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับ การบำรุงบำเรออยู่ ฯลฯ
...............................................................................................................................................
เสด็จอุทยานครั้งที่ ๓ (ทรงเห็นคนตาย ในอุทยาน)
[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยานได้ทอดพระเนตรหมู่มหาชนประชุมกัน และวอที่ทำด้วยผ้าสีต่างๆ ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย หมู่มหาชน เขาประชุมกันทำไม และเขาทำวอด้วยผ้าสีต่างๆ กันทำไม นายสารถีได้กราบทูลว่า
ขอเดชะ
นี้แลเรียกว่า คนตาย พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสสั่งว่า นายสารถี ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทางคนตายนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้ ขับรถ ไปทางคนตายนั้น ภิกษุทั้งหลายพระวิปัสสีราชกุมารได้ทอดพระเนตรคนตายไปแล้ว ได้ตรัสเรียกนายสารถีมารับสั่งถามว่า
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือ เรียกว่า คนตาย
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย บัดนี้ มารดาบิดา หรือญาติ สาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขาก็จักไม่เห็นมารดาบิดา หรือญาติ สาโลหิตอื่นๆ
นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความตาย ไปได้ หรือ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเราหรือ แม้เราก็จักไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติ สาโลหิตอื่นๆ หรือ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติ สาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นพระองค์ แม้พระองค์ก็จะไม่เห็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติ สาโลหิตอื่นๆ นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับ ภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปภายในบุรีจากสวนนี้เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่ง ของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บ จักปรากฏ ความตายจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
(พระเจ้าพันธุมา ตรัสถามนายสารถีครั้งที่ ๓)
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา รับสั่งหา นายสารถี มาตรัสถามว่านายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งสวน แลหรือ นายสารถีผู้สหายราชกุมารพอพระทัยในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยานดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวนได้ทอดพระเนตรอะไรเข้า
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรหมู่มหาชนประชุมกัน และวอที่ทำด้วยผ้าสีต่างๆแล้ว ได้ตรัสถาม ข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย หมู่มหาชนประชุมกันทำไม เขา กระทำวอด้วยผ้า สีต่างๆ กันทำไม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า นี้แลเรียกว่า คนตาย พระองค์ได้ตรัส สั่งว่า นายสารถี ผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทางคนตายนั้น ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับรับสั่ง ของพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วได้ขับรถไปทาง คนตายนั้น
ขอเดชะ พระราชกุมารได้ทอดพระเนตรคนตายเข้าแล้วได้ตรัสถาม ข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนตาย เมื่อข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย บัดนี้ มารดาบิดาและญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขาก็จัก ไม่เห็นมารดาบิดาหรือญาติสาโลหิตอื่นๆ ดังนี้
พระองค์ได้ตรัสถามว่า นายสารถี ผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้หรือ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็น เราหรือ แม้เราก็จัก ไม่เห็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือ พระญาติสาโลหิต อื่นๆ หรือ
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้อง มีความตาย เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือ พระญาติสาโลหิต อื่นๆ จักไม่เห็นพระองค์ แม้พระองค์ก็จักไม่เห็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ ดังนี้
พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหายถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไป ในบุรีจากสวนนี้ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับรับสั่งของ พระวิปัสสี ราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จ กลับไปภายในบุรีจากพระอุทยานนั้น
ขอเดชะ พระราชกุมารนั้น เสด็จถึงภายในบุรี แล้วทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะเมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บ จักปรากฏ ความตายจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาทรงพระดำริว่า วิปัสสี ราชกุมาร อย่าไม่พึงเสวยราชย์เลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำ ของเนมิตตพราหมณ์ทั้งหลายอย่าเป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาได้รับสั่งให้บำรุงบำเรอ พระวิปัสสีราชกุมาร ด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสีราชกุมารเสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด
ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับการบำรุงบำเรออยู่
...............................................................................................................................................
(ทรงเห็นบรรพชิต ในอุทยาน)
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถี ผู้สหาย เธอจงเทียมยานที่ดีๆเราจะไปในสวน เพื่อชมพื้นที่ อันสวยสด ภิกษุทั้งหลาย นายสารถี รับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วเทียมยานที่ดีๆเสร็จแล้ว ได้กราบทูล แด่ พระวิปัสสี ราชกุมารว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเทียมยานที่ดีๆเสร็จแล้ว บัดนี้พระองค์ ทรงกำหนดเวลาอันสมควรเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานที่ดีเสด็จประพาส พระอุทยาน พร้อมกับยานที่ดีๆทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อ เสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรบุรุษบรรพชิตศีรษะโล้น นุ่งห่ม ผ้ากาสาวพัสตร์ ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถี ผู้สหาย บุรุษนี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ศีรษะของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ แม้ผ้าทั้งหลายของเขา ก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า บรรพชิต
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า บรรพชิต
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า บรรพชิต
(๑) การประพฤติธรรมเป็นความดี
(๒) การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี
(๓) การประพฤติกุศลเป็นความดี
(๔) การกระทำบุญเป็นความดี
(๕)การไม่เบียดเบียนเป็นความดี
(๖) การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
นายสารถีผู้สหาย ดีละ ที่บุคคลนั้นได้นามว่า บรรพชิต การประพฤติ ธรรมเป็นความดี การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์ เป็นความดี นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทางบรรพชิตนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ขับรถไปทาง บรรพชิตนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสถามบรรพชิต นั้นว่า สหายท่านถูกใครทำอะไรให้ แม้ศีรษะของท่านก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ผ้าทั้งหลายของท่านก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ
บรรพชิตนั้นได้ทูลว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพแลชื่อบรรพชิต
สหาย ก็ท่านหรือชื่อบรรพชิต ฯ ขอถวายพระพร อาตมภาพ ชื่อบรรพชิต
การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี
การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็นความดี
การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
ดีละสหาย ที่ท่านได้นามว่าบรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติ สม่ำเสมอเป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้นเธอจงนำรถกลับไปภายในบุรี จากสวนนี้ ส่วนเราจัก ปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต ณ สวนนี้แหละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้วได้พารถกลับไป ยังภายในบุรี
จากสวนนั้น ส่วนพระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศา และพระมัสสุ (หนวด) ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตแล้ว ณ พระอุทยานนั้นเอง
(ความทราบถึงในวัง
ว่า พระวิปัสสีราชกุมารทรงผนวชแล้ว)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนในพระนครพันธุมดีราชธานีประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้สดับข่าวว่า พระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตเสียแล้ว ดังนี้ ครั้นแล้ว มหาชนเหล่านั้น ได้ดำริดังนี้ว่า ก็พระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศาและ พระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยใด พระธรรมวินัยนั้น คงไม่เลวทรามเป็นแน่ บรรพชานั้นคงไม่เลวทราม เป็นแน่ แต่พระวิปัสสีราชกุมาร ยังทรงปลง พระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์เสด็จออกทรงผนวช เป็นบรรพชิตได้ พวกเราทำไมจึงจักบวชไม่ได้เล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล หมู่มหาชนประมาณ ๘๔,๐๐๐ คนได้พากัน โกนผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวช เป็นบรรพชิตตามเสด็จ พระวิปัสสี โพธิสัตว์ แล้ว ได้ยินว่าพระวิปัสสีโพธิสัตว์อันบริษัทนั้นห้อมล้อม เสด็จเที่ยวจาริกไป ในบ้าน นิคม ชนบท และราชธานี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์เสด็จหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้ทรงพระปริวิตกเช่นนี้ว่า การที่เราเป็นผู้ปะปนอยู่เช่นนี้ ไม่สมควรเลย ไฉนหนอ เราพึงหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว ภิกษุทั้งหลาย ครั้นสมัยต่อมา พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้เสด็จหลีกออกจากหมู่อยู่แต่พระองค์เดียว บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป ได้พากันไปทางหนึ่ง พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้เสด็จไปทางหนึ่ง
|