เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  มหาสมัยสูตร พระสูตรชุมนุมเทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ 884
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

เทวดาจากโลกธาตุทั้ง 10 เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กับพระอรหันต์อีกประมาณ 500 รูป
เพื่อทัศนาพระพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์ ที่ป่ามหาวัน กรุงกบิลพัสดุ์  

เทวดาที่เข้าเฝ้าประกอบด้วย

1. มีเทวดาสุทธาวาส 4 องค์, พวกอมนุษย์

2. มีพวกยักษ์ 16,500 ประกอบด้วย
     ภุมมเทวดา อาศัยในกรุงกบิลพัสดุ์ จำนวน 7000
     พวกยักษ์อยู่ที่เขา เหมวตา 6000
     ยักษ์อยู่ที่เขา สาตาคีรี 3000
     ยักษ์อยู่ที่เขา เวสสามิตตะ 500

3. มีท้าวมหาราชทั้ง 4

      เป็นหัวหน้าของคนธรรพ์
      เป็นหัวหน้าของพวกกุมภัณฑ์
      เป็นหัวหน้าของพวกนาค
      เป็นหัวหน้าของพวกยักษ์
      และ มีบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง 4 อีกจำนวนหนึ่ง

4. มีเทวดาชั้นอื่นๆ เช่น
     เทวดาผู้อาศัยพระจันทร์  เทวดาผู้อาศัย พระอาทิตย์
     เทวดาทั้งหลาย ชื่ออาโป ชื่อปฐวี ชื่อเตโช ชื่อวาโย
     เทวดานักษัตรไว้ , มันทพลาหกเทวดา
     ปชุนนเทวบุตร ซึ่งคำรามให้ฝนตกทั่วทิศ

5. มีนาค 2 พวก
     นาคอาศัยอยู่ในสระ
     นาคอาศัยอยู่ในท่า  

6. มีช้างเอราวันอาศัยในป่า
7. มีปักษีทวิชาติ (นก)
8. มีครุฑ และอสูร

9. มีเทวดาชั้นอื่นๆอีก มีชื่อตางกัน มียศ มีรัศมี มีฤทธิ์ มีอานุภาพ ต่างกัน
10. มีเทวดาชั้นกามภพ ชั้นดุสิต ยามา นิมมานนรดี ชั้นปรนิมมิตะ
11. มีเทวดาชั้นพรหม และมาร

 

 
 

 

ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้าที่ ๑๙๑

เสียงอ่านพระสูตร


มหาสมัยสูตร

 

                [๒๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักก ชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดา จากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์ ฯ

ครั้งนั้น เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แล ประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ไฉนหนอ แม้พวกเรา ก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วพึงกล่าวคาถา เฉพาะองค์ละ คาถา ในสำนักพระผู้มีพระภาค

ลำดับนั้นเทวดาพวกนั้น หายไป ณ เทวโลก ชั้นสุทธาวาส แล้วมาปรากฏเบื้อง พระพักตร์พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษมีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขน ที่เหยียดออกเข้า ฉะนั้น เทวดาพวกนั้นถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เทวดาองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

                [๒๓๖] การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ หมู่เทวดามาประชุมกันแล้วพวกเรา พากันมาสู่ธรรมสมัยนี้ เพื่อได้เห็นหมู่ท่านผู้ชนะมาร ฯ

                [๒๓๗] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มี พระภาคว่า ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้นมั่นคง กระทำจิตของตนๆให้ตรง บัณฑิต ทั้งหลายย่อมรักษาอินทรีย์ เหมือนสารถีถือบังเหียนขับม้า ฉะนั้น ฯ

                [๒๓๘] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนัก พระผู้มี พระภาคว่า ภิกษุเหล่านั้น ตัดกิเลสดุจตะปู ตัดกิเลสดุจลิ่มสลัก ถอนกิเลสดุจเสาเขื่อน ได้แล้ว เป็นผู้ไม่หวั่นไหว หมดจด ปราศจากมลทิน เที่ยวไปท่านเป็นหมู่นาคหนุ่ม อันพระผู้มีพระภาค ผู้มีจักษุทรงฝึกดีแล้ว ฯ

                [๒๓๙] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มี พระภาคว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ เขาจักไม่ไปอบายภูมิ ละกายมนุษย์แล้ว จักยังเทวกายให้บริบูรณ์ ฯ

..................................................................................................................................................

                [๒๔๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาในโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาตถาคต และภิกษุสงฆ์ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละได้ประชุมกัน เพื่อทัศนา พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้มีแล้วในอดีตกาล เหมือนที่ประชุมกัน เพื่อทัศนาเราในบัดนี้ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละจักประชุมกัน เพื่อทัศนา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมีในอนาคตกาล เหมือนที่ประชุมกัน เพื่อทัศนาเรา ในบัดนี้ เราจักบอกนามพวกเทวดา เราจักระบุนามพวกเทวดา เราจักแสดงนาม พวกเทวดา พวกเธอจงฟังเรื่องนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

                [๒๔๑] เราจักร้อยกรองโศลก ภุมมเทวดา อาศัยอยู่ ณ ที่ใด พวกภิกษุ ก็อาศัยที่นั้น ภิกษุพวกใดอาศัยซอกเขา ส่งตนไปแล้วมีจิตตั้งมั่น ภิกษุพวกนั้น เป็นอันมาก เร้นอยู่ เหมือนราชสีห์  ครอบงำความขนพองสยองเกล้าเสียได้ มีใจ ผุดผ่อง เป็นผู้หมดจด ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว พระศาสดาทรงทราบภิกษุประมาณ ๕๐๐ เศษ ที่อยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ แต่นั้นจึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีใน พระศาสนา ตรัสว่า

อมนษย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น ภิกษุเหล่านั้น สดับรับสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียรญาณ เป็นเครื่องเห็น พวก อมนุษย์ ได้ปรากฏแก่ ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวก ได้เห็นอมนุษย์ร้อยหนึ่ง บางพวกได้เห็น อมนุษย์พันหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์เจ็ดหมื่น บางพวกได้เห็น อมนุษย์หนึ่งแสน บางพวกได้เห็นไม่มีที่สุด อมนุษย์ได้แผ่ไปทั่วทิศ พระศาสดาผู้มี พระจักษุ ทรงใคร่ครวญทราบเหตุนั้นสิ้นแล้ว แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีใน พระศาสนา ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่ เทวดานั้น เราจักบอก พวกเธอด้วยวาจา ตามลำดับ

ยักษ์

ยักษ์เจ็ดพัน(7,000) เป็นภุมมเทวดา
อาศัยอยู่ในพระนคร กบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ยักษ์หกพัน(6,000) อยู่ที่เขา เหมวตามี รัศมีต่างๆกัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ยักษ์สามพัน(3,000) อยู่ที่เขา สาตาคีรี มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุยักษ์เหล่านั้น รวมเป็นหนึ่งหมื่นหกพัน มีรัศมี ต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพมีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของ ภิกษุ

ยักษ์ห้าร้อย อยู่ที่เขา เวสสามิตตะ มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์ชื่อกุมภีระ อยู่ในพระนครราชคฤห์ เขาเวปุลละ เป็นที่อยู่ของยักษ์นั้น ยักษ์แสนเศษแวดล้อมยักษ์ชื่อกุมภีระนั้น ยักษ์ชื่อ กุมภีระอยู่ในพระนครราชคฤห์แม้นั้น ก็ได้มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ

...................................................................................

ท้าวมหาราชทั้ง ๔

ท้าวธตรัฏฐ
อยู่ด้านทิศบูรพา ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ท้าววิรุฬหก
อยู่ด้านทิศทักษิณ ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของ พวกกุมภัณฑ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายัง  ป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ท้าววิรูปักษ์
อยู่ด้านทิศปัจจิม ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของ พวกนาค เธอเป็นมหาราช มียศ  แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ท้าวกุเวร อยู่ด้านทิศอุดร ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของ พวกยักษ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรือง ได้ยืนอยู่แล้วในป่าเขตพระ นครกบิลพัสดุ์ ฯ

.....................................................................................................


พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง ๔

พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น มีมายา ล่อลวง โอ้อวด เจ้าเล่ห์ มาด้วยกัน มีชื่อคือ กุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑  วิฏ ๑ วิฏฏะ ๑ จันทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑ กินนุฆัณฑุ ๑  นิฆัณฑุ ๑

และท้าวเทวราชทั้งหลาย ผู้มีนามว่า ปนาทะ ๑ โอปมัญญะ ๑
เทพสารถี มีนามว่า มาตลิ ๑ จิตตเสนะ

ผู้คนธรรพ์ ๑  นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑ ติมพรู ๑ สุริยวัจฉสาเทพธิดา ๑ มาทั้งนั้น

ราชา และคนธรรพ์พวกนั้น และพวกอื่นกับเทวราชทั้งหลายยินดี มุ่งมายังป่าอัน เป็นที่ ประชุมของภิกษุ

.....................................................................................................


นาค ช้างเอราวัณ ปักษี ครุฑ

อนึ่งเหล่านาคที่อยู่ในสระ ชื่อนภสะบ้าง อยู่ในเมืองเวสาลีบ้าง พร้อมด้วยนาคบริษัท เหล่า ตัจฉกะกัมพลนาค  และ อัสสตรนาค ก็มา 

นาคผู้อยู่ในท่า ชื่อปายาคะ กับญาติ ก็มา นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา เกิดในสกุล ธตรัฏฐ ผู้มียศ ก็มา

เอราวัณเทพบุตร(ช้าง) ผู้เป็นช้างใหญ่ แม้นั้นก็มายังป่าอันเป็น ที่ประชุมของภิกษุ ฯ

ปักษีทวิชาติ (นก) ผู้เป็นทิพย์ มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ นำนาคราชไปได้โดยพลันนั้น มาโดยทาง อากาศถึงท่ามกลางป่า ชื่อของปักษีนั้นว่า จิตรสุบรรณ

ในเวลานั้น นาคราชทั้งหลาย ไม่ได้มีความกลัวพระพุทธเจ้า ได้ทรงกระทำให้ ปลอดภัยจากครุฑ นาคกับครุฑเจรจากัน ด้วยวาจาอันไพเราะ กระทำพระพุทธเจ้า ให้เป็นสรณะ

.....................................................................................................


อสูร

พวกอสูร อาศัยสมุทรอยู่ อันท้าววชิรหันถ์รบชนะแล้ว เป็นพี่น้องของ ท้าววาสพ มีฤทธิ์ มียศ เหล่านี้คือพวก กาลกัญชอสูร มีกายใหญ่น่ากลัว ก็มา

พวกทานเวฆสอสูร ก็มา

เวปจิตติอสูร สุจิตติอสูร ปหาราทอสูร และ นมุจีพระยามาร ก็มาด้วยกัน

บุตรของพลิอสูร หนึ่งร้อย มีชื่อว่าไพโรจน์ทั้งหมด ผูกสอดเครื่องเสนา อันมีกำลัง เข้าไปใกล้ อสุรินทราหู แล้วกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เจริญ บัดนี้เป็นสมัยที่จะประชุมกัน ดังนี้แล้ว เข้าไปยังป่าอันเป็นที่ประชุม ของภิกษุ ฯ

....................................................................................................

เทวดาชั้นอื่น

ในเวลานั้น เทวดาทั้งหลาย ชื่ออาโป(ธาตุน้้ำ) ชื่อปฐวี(ธาตุดิน) ชื่อเตโช(ธาตุไฟ) ชื่อวาโย(ธาตุลม) ได้พากันมาแล้ว

เทวดาชื่อวรุณะ ชื่อวารุณะ ชื่อโสมะ ชื่อยสสะ ก็มาด้วยกัน

เทวดาผู้บังเกิดในหมู่เทวดา ด้วยเมตตาและกรุณาฌาน เป็นผู้มียศ ก็มา

หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวกทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆกัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ  มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่า อันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

เทวดา ชื่อเวณฑู ชื่อสหลี  ชื่ออสมา ชื่อยมะ ทั้งสองพวกก็มา

เทวดาผู้อาศัย พระจันทร์  กระทำพระจันทร์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา
เทวดาผู้อาศัย พระอาทิตย์ กระทำพระอาทิตย์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา

เทวดากระทำนักษัตรไว้ ในเบื้องหน้า ก็มา

มันทพลาหกเทวดา ก็มา

แม้ท้าวสักกปุรินททวาสวะ
ซึ่งประเสริฐกว่า สุเทวดา ทั้งหลายก็เสด็จมา

หมู่เทวดา ๑๐เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมี ต่างๆกัน มีฤทธิ์มีอานุภาพ มีรัศมี ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ   

อนึ่งเทวดาชื่อสหภู ผู้รุ่งเรืองดุจเปลวไฟ ก็มา

เทวดาชื่ออริฏฐกะ ชื่อโรชะ มีรัศมีดัง สีดอกผักตบ ก็มา

เทวดาชื่อวรุณะ ชื่อสหธรรม ชื่ออัจจุตะ ชื่ออเนชกะ ชื่อสุเลยยะ ชื่อรุจิระ ก็มา

เทวดาชื่อวาสวเนสี ก็มา

หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวกทั้งหมด ล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมีมียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ ประชุมของภิกษุ

เทวดาชื่อสมานะ ชื่อมหาสมานะ ชื่อมานุสะ ชื่อมานุสุตตมะ ชื่อ ขิฑฑาปทูสิกะ ก็มา
เทวดาชื่อมโนปทูสิกะ ก็มา
อนึ่ง เทวดาชื่อหริ เทวดาชื่อโลหิต วาสี ชื่อปารคะชื่อมหาปารคะ ผู้มียศ ก็มา

หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวกทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ  มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งมายังป่า อันเป็นที่ ประชุมของภิกษุ

เทวดา ชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ชื่ออรุณะ ชื่อเวฆนสะ ก็มาด้วยกัน
เทวดาชื่อโอทาตคัยหะ ผู้เป็นหัวหน้าเทวดาชื่อวิจักขณะ ก็มา 
เทวดาชื่อสทามัตตะ ชื่อหารคชะ และชื่อมิสสกะ ผู้มียศ ก็มา
ปชุนนเทวบุตร ซึ่งคำรามให้ฝนตกทั่วทิศ ก็มา

หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆกัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศยินดี มุ่งมายังป่า อันเป็นที่ ประชุมของภิกษุ

....................................................................................................

เทวดาชั้นกามภพ


เทวดาชื่อเขมิยะ เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นยามะ และเทวดาชื่อ กัฏฐกะมียศ เทวดาชื่อลัมพิตกะ ชื่อลามเสฏฐะ ชื่อโชตินามะ ชื่ออาสา และ เทวดาชั้น นิมมานรดี ก็มา อนึ่งเทวดาชั้นปรนิมมิตะ ก็มา

หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมี ต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพมีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่า อันเป็นที่ ประชุมของภิกษุ

หมู่เทวดา ๖๐เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆกันมาแล้วโดยกำหนดชื่อ และ  เทวดา เหล่าอื่นผู้เช่นกัน มาพร้อมกันด้วยคิดว่า

เราทั้งหลายจักเห็น พระนาค(ผู้บรรลุอรหันต์) ผู้ปราศจากชาติ ไม่มีกิเลสดุจตะปู มีโอฆะ อันข้ามแล้ว ไม่มีอาสวะ ข้ามพ้นโอฆะ ผู้ล่วงความยึดถือได้แล้ว ดุจพระจันทร์ พ้นจากเมฆฉะนั้น. ฯ

....................................................................................................


เทวดาพรหม

สุพรหม และ ปรมัตตพรหม ซึ่งเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าผู้มีฤทธิ์ ก็มาด้วย

สนังกุมารพรหม และ ติสสพรหม แม้นั้น ก็มา ยังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ

ท้าวมหาพรหม ย่อมปกครองพรหมโลกพันหนึ่ง ท้าวมหาพรหมนั้นบังเกิดแล้ว ในพรหมโลก มีอานุภาพ มีกายใหญ่โต มียศ ก็มา

พรหม ๑๐ พวก ผู้เป็นอิสระในพวกพรหมพันหนึ่ง มีอำนาจเป็นไปเฉพาะองค์ละอย่าง ก็มา

มหาพรหม ชื่อหาริตะ อันบริวารแวดล้อมแล้ว มาในท่ามกลางพรหมเหล่านั้น

มารเสนา ได้เห็นพวกเทวดา พร้อมทั้งพระอินทร์ พระพรหม ทั้งหมดนั้น ผู้มุ่งมา ก็มาด้วย แล้วกล่าวว่าท่านจงดูความเขลาของมาร พระยามารกล่าวว่า

พวกท่าน จงมาจับเทวดาเหล่านี้ผูกไว้ความผูกด้วยราคะ จงมีแก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านจง ล้อมไว้โดยรอบ อย่าปล่อยใครๆ ไป

พระยามาร บังคับ เสนามาร ในที่ประชุมนั้น ดังนี้ แล้วเอาฝ่ามือตบแผ่นดิน กระทำเสียงน่ากลัว เหมือนเมฆยังฝนให้ตก คำรามอยู่ พร้อมทั้งฟ้าแลบ ฉะนั้น

เวลานั้น พระยามารนั้น ไม่อาจยังใครให้เป็นไปในอำนาจได้ โกรธจัด กลับไปแล้ว พระศาสดาผู้มีพระจักษุทรงพิจารณาทราบเหตุนั้นทั้งหมด

แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ ยินดีในพระ ศาสนาตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มาร และ เสนา มาแล้ว  พวกเธอจงรู้จักเขา

ภิกษุเหล่านั้นสดับ พระดำรัส สอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร มารและเสนามารหลีกไป จากภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่ ยังแม้ขน ของท่านให้ไหว

พระยามารกล่าวสรรเสริญว่า พวกสาวกของพระองค์ทั้งหมดชนะสงครามแล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มียศปรากฏในหมู่ชนบันเทิง อยู่กับด้วยพระอริยเจ้า ผู้เกิดแล้วในพระศาสนา ดังนี้แล. ฯ

จบมหาสมัยสูตร ที่ ๗

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์