ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้า หน้าที่ ๒๖๕
พระสูตร ๑
ภัทเทกรัตตสูตร ( ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ สูตร ๑)
[๕๒๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ผ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มี พระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอุเทศ และวิภังค์ ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังอุเทศและวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๕๒๗] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่
มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่
ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน
ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึง
เจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียใน
วันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความ
ผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียร
ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่ง
เจริญ ฯ
[๕๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคล ย่อมคำนึง ถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า เรา
ได้มี รูปอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี เวทนาอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี สัญญาอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี สังขารอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี วิญญาณอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ
[๕๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลจะ ไม่คำนึง ถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร คือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้น ว่า เรา
ได้มี รูปอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี เวทนาอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี สัญญาอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี สังขารอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มี วิญญาณอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ
[๕๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคล ย่อมมุ่งหวัง สิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆว่า ขอเรา
พึงมี รูปอย่างนี้ ในกาลอนาคต
พึงมี เวทนาอย่างนี้ ในกาลอนาคต
พึงมี สัญญาอย่างนี้ ในกาลอนาคต
พึงมี สังขารอย่างนี้ ในกาลอนาคต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่ามุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ฯ
[๕๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลจะ ไม่มุ่งหวัง สิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร คือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆว่า ขอเรา
พึงมี รูปอย่างนี้ ในกาลอนาคต
พึงมี เวทนาอย่างนี้ ในกาลอนาคต
พึงมี สัญญาอย่างนี้ ในกาลอนาคต
พึงมี สังขารอย่างนี้ ในกาลอนาคต
พึงมี วิญญาณอย่างนี้ ในกาลอนาคต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
[๕๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคล ย่อมง่อนแง่นในธรรม ปัจจุบัน อย่างไร คือ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ เป็นผู้
ไม่ได้เห็น พระอริยะ
ไม่ฉลาดในธรรม ของพระอริยะ
ไม่ได้ฝึกในธรรม ของพระอริยะ
ไม่ได้เห็น สัตบุรุษ
ไม่ฉลาดในธรรม ของสัตบุรุษ
ไม่ได้ฝึกในธรรม ของสัตบุรุษ
ย่อมเล็งเห็น รูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตา ว่ามีรูปบ้าง
เล็งเห็นรูป ในอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตา ในรูปบ้าง
ย่อมเล็งเห็น เวทนา โดยความเป็นอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง
เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง
ย่อมเล็งเห็นสัญญา โดยความเป็นอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตา ว่ามีสัญญาบ้าง
เล็งเห็นสัญญา ในอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตา ในสัญญา บ้าง
ย่อมเล็งเห็น สังขาร โดยความเป็นอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตา ว่ามีสังขาร บ้าง
เล็งเห็นสังขาร ในอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตา ในสังขารบ้าง
ย่อมเล็งเห็น วิญญาณ โดยความเป็นอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตาว่า มีวิญญาณบ้าง
เล็งเห็นวิญญาณ ในอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตา ในวิญญาณบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ
[๕๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อม ไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร คือ อริยสาวกผู้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ฝึกดีแล้วใน ธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัตบุรุษ
ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมไม่เล็งเห็น รูป โดยความเป็น อัตตา บ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ว่ามีรูปบ้าง
ไม่เล็งเห็นรูป ในอัตตาบ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ในรูปบ้าง
ย่อมไม่เล็งเห็น เวทนา โดยความเป็น อัตตา บ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ว่ามีเวทนาบ้าง
ไม่เล็งเห็นเวทนา ในอัตตาบ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ในเวทนาบ้าง
ย่อมไม่เล็งเห็น สัญญา โดยความเป็น อัตตา บ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ว่ามีสัญญาบ้าง
ไม่เล็งเห็นสัญญา ในอัตตาบ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ในสัญญาบ้าง
ย่อมไม่เล็งเห็น สังขาร โดยความเป็น อัตตา บ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ว่ามีสังขารบ้าง
ไม่เล็งเห็นสังขาร ในอัตตาบ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ในสังขารบ้าง
ย่อมไม่เล็งเห็น วิญญาณ โดยความเป็น อัตตา บ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ว่ามีวิญญาณบ้าง
ไม่เล็งเห็นวิญญาณ ในอัตตาบ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตา ในวิญญาณบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ
[๕๓๔] บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่
ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไป
แล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคล
ใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน
ในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ
ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียร เสียในวันนี้แหละ
ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยน
กับมัจจุราช ผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
พระมุนีผู้สงบ ย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติ อยู่อย่างนี้ มีความ
เพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า
ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวไว้ว่า เราจักแสดงอุเทศ และวิภังค์ของบุคคล ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ แก่เธอทั้งหลายนั้น เราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
จบ ภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๑ |