เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  ทรงคิดค้นเรื่องเวทนา /ทรงแสวงเนื่องด้วยเบญจขันธ์/ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ 755
 

(เนื้อหาพอสังเขป)

755-1
ทรงคิดค้นเรื่องเวทนาโดยละเอียด ก่อนตรัสรู้ ๑
เวทนา : ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
๑) อะไรหนอเป็น เวทนา … คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุข
๒) ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา … คือผัสสะ
๓) ปฏิปทา(ทางดำเนิน)ให้ถึงความเกิดขึ้นแห่งเวทนา … คือความดับแห่งผัสสะ
๔) ความดับแห่งเวทนา... คือความดับแห่งผัสสะ
๕) ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา… คือมรรคแปด
๖) รสอร่อยของเวทนา … คือ สุขและ โสมนัส
๗) โทษของเวทนา … คือ เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน
๘) อุบายเครื่องพ้นไปได้จากเวทนา... การนําออกซึ่งความกําหนัด ความพอใจ


755-2
ทรงแสวงเนื่องด้วยเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้
ภิกษุ ท. เราได้เที่ยวแสวงหาแล้วซึ่ง รสอร่อยของรูป เราได้พบรสอร่อยของรูป นั้นแล้ว
ภิกษุ ท. เราได้เที่ยวแสวงหาให้พบ โทษของรูป เราได้พบโทษของรูปนั้น นั้นแล้ว
ภิกษุ ท. เราได้เที่ยวแสวงหาแล้ว ซึ่ง อุบายเป็นเครื่องออกจากรูป เราได้พบอุบายเครื่องออกจากรูป นั้นแล้ว
(พระองค์กล่าวถึง เวทนา สัญญา สังขาร... โดยนัยยะเดียวกัน แต่ไม่บอก โทษและทางออกของ ขันธ์ทั้ง5)


755-3
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้

ก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า "สัตว์โลกนี้หนอ ถึงทั่วแล้ว ซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และบังเกิดอีก ก็เมื่อสัตว์โบกไม่รู้จักอุบาย เครื่อง ออกไปพ้นจากทุกข์ คือ ชรามรณะ แล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้ จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร".
ภิกษุ ท. ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะจึงได้มี ชรามรณะ มีเพราะปัจจัย อะไรหนอ".

ภิกษุ ท. ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญา เพราะการ คิดโดยแยบคาย แก่เรา ว่า
เพราะชาตินี่เองมีอยู่ ชรามรณะจึงได้มี : ชรามรณะมี เพราะชาติเป็นปัจจัย
เพราะภพนี่เองมีอยู่ ชาติจึงได้มี : ชาติมี เพราะภพเป็นปัจจัย
เพราะอุปาทานนี่เอง มีอยู่ ภพจึงได้มี : ภพมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ฯลฯ ดังนี้

ข้อนี้ได้แก่การที่
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ท. เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดสฬายตนะ ฯลฯ

ภิกษุ ท.! ดวงตา เกิดขึ้นแล้ว ญาณ เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชา เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่าง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยฟังมา แต่ก่อนว่า "ความดับไม่เหลือ (นิโรธ) ! ความดับไม่เหลือ(นิโรธ)!" ดังนี้

 
 


พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า83-84

755-1
ทรงคิดค้นเรื่องเวทนาโดยละเอียด ก่อนตรัสรู้

         ภิกษุ ท. ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
๑) อะไรหนอเป็น เวทนา?
๒) อะไรเป็น ความเกิดขึ้นพร้อม แห่งเวทนา?
๓) อะไรเป็น ปฏิปทาให้ถึงความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา?
๔) อะไรเป็น ความดับไม่เหลือแห่งเวทนา?
๕) อะไรเป็น ปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา?
๖) อะไรเป็น รสอร่อยของเวทนา?
๗) อะไรเป็น โทษของเวทนา?
๘) อะไรเป็น อุบายเครื่องพ้นไปได้จากเวทนา?

          ภิกษุ ท. ความรู้ข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เวทนา ๓ อย่าง เหล่านี้คือ

๑)
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เหล่านี้เรียกว่าเวทนา
๒) ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนาย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง ผัสสะ
๓) ตัณหา เป็นปฏิปทาให้ถึงความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา
๔) ความดับไม่เหลือแห่งเวทนาย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ
๕) มรรคอันประเสริฐ ประกอบด้วย องค์แปด ประการนี้เอง เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับ ไม่เหลือแห่งเวทนา ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความดําริที่ถูกต้อง การ พูดจาที่ถูกต้อง การทําการงานที่ถูกต้อง การเลี้ยงชีวิตที่ถูกต้อง ความพากเพียร ที่ถูกต้อง ความรําลึกที่ถูกต้อง ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง
๖) สุขโสมนัสใด ๆ ที่อาศัยเวทนาแล้วเกิดขึ้น สุขและ โสมนัสนั้นแลเป็นรสอร่อย ของเวทนา
๖) เวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ด้วยอาการใด อาการนั้น เป็นโทษของเวทนา
๗) การนําออกเสียได้ซึ่งความกําหนัดด้วย อํานาจความพอใจ การละความ กําหนัด ด้วยอํานาจความพอใจ ในเวทนาเสียได้นั้น เป็นอุบายเครื่องออกไปพ้นจาก เวทนาได้ ดังนี้.

          ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรม ท. ที่ไม่เคยฟังมาแต่ก่อน
ว่า "เหล่านี้ คือ เวทนา ท.":... (๑)
ว่า "นี้ คือ ความเกิดขึ้น พร้อมแห่งเวทนา"...(๒)
ว่า "นี้ คือ ปฏิปทา ให้ถึงความเกิดขึ้น พร้อมแห่งเวทนา"...(๓)
ว่า "นี้ คือ ความดับ ไม่เหลือแห่งเวทนา"...(๔)
ว่า "นี้ คือ ปฏิปทาให้ ถึงความดับ ไม่เหลือแห่ง เวทนา"...(๕)
ว่า "นี้ คือรสอร่อย ของเวทนา"...(๖)
ว่า "นี้ คือ โทษ ของเวทนา"...(๗)
ว่า "นี้ คือ อุบายเครื่องออก ไปพ้นจากเวทนา" (๘)

ดังนี้.


 

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า84-85

755-2
ทรงแสวงเนื่องด้วยเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้

 

         ภิกษุ ท. เราได้เที่ยวแสวงหาแล้วซึ่ง รสอร่อยของรูป เราได้พบรสอร่อย ของรูปนั้นแล้ว รสอร่อยของรูปมีประมาณเท่าใด เราเห็นมันแล้วเป็นอย่างดีด้วย ปัญญาของเรามีประมาณเท่านั้น.

ภิกษุ ท. เราได้เที่ยวแสวงหาให้พบ โทษของรูป ราได้พบโทษของรูปนั้นแล้ว. โทษของรูปมีประมาณเท่าใด เราเห็นมันแล้วเป็นอย่างดีด้วยปัญญาของเราเท่านั้น.

ภิกษุ ท. เราได้เที่ยวแสวงหาแล้ว ซึ่ง อุบายเป็นเครื่องออกจากรูป เราได้พบอุบาย เครื่องออกจากรูปนั้นแล้ว. อุบายเครื่องออกจากรูปมีประมาณ เท่าใดเราเห็นมันแล้ว เป็นอย่างดี ด้วยปัญญาของเราเท่านั้น.

(ในเวทนาและสัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีนัยอย่างเดียวกัน. และตอนท้ายก็มีว่า ยังไม่พบ โทษของรูปเป็นต้นเพียงใด ยังไม่ชื่อว่าได้ตรัสรู้เพียงนั้น. ต่อเมื่อทรงพบ แล้วจึงชื่อว่าตรัสรู้ และมีชาติสิ้นแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป เหมือนกันทุก ๆ สิ่งที่พระองค์ ทรงค้น ซึ่งยังมีอีก ๓ อย่างคือเรื่อง ธาตุ ๔ เรื่อง อายตนะภายใน ๖ และ อายตนะภายนอก ๖ เห็นว่าอาการ เหมือนกันหมด ต่างกันแต่เพียงชื่อจึงไม่นํามาใส่ไว้ในที่นี้ด้วย).


 

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า 86-93

755-3
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้

 

         ภิกษุ ท. ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า "สัตว์โลกนี้หนอ ถึงทั่วแล้วซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และบังเกิดอีก ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือ ชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้ จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร".

ภิกษุ ท. ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะจึงได้มี ชรามรณะ มีเพราะปัจจัยอะไรหนอ".

ภิกษุ ท. ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญา เพราะการ คิดโดยแยบคาย แก่เรา ว่า
เพราะ ชาติ นี่เองมีอยู่ ชรามรณะ จึงได้มี : ชรามรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย
เพราะ ภพ นี่เองมีอยู่ ชาติ จึงได้มี : ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย
เพราะ อุปาทาน นี่เอง มีอยู่ ภพ จึงได้มี : ภพมี เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย
เพราะ ตัณหา นี่เองมีอยู่ อุปาทาน จึงได้มี : อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็น ปัจจัย
เพราะ เวทนา นี่เองมีอยู่ ตัณหา จึงได้มี : ตัณหามีเพราะเวทนาเป็น ปัจจัย
เพราะ ผัสสะ นี่เองมีอยู่ เวทนา จึงได้มี : เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
เพราะ สฬายตนะ นี่เองมีอยู่ ผัสสะ จึงได้มี : ผัสสะมีเพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย
เพราะ นามรูป นี่เองมีอยู่ สฬายตนะ จึงได้มี : สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย
เพราะ วิญญาณ นี่เองมีอยู่ นามรูป จึงได้มี : นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
เพราะ สังขาร นี่เองมีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย
เพราะ อวิชชา นี่เองมีอยู่ สังขาร ท.จึงได้มี : สังขาร ท. มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ดังนี้

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ท.
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดสฬายตนะ
....ฯลฯ
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.

         ภิกษุ ท. ! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟัง มาแต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความเกิดขึ้นพร้อม! ความเกิดขึ้นพร้อม! ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

         ภิกษุ ท. ! ความฉงนได้มีแก่เราอีกว่า"เมื่ออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะ จึงไม่มี : เพราะอะไรดับไปหนอ ชรามรณะจึงดับไป".

         ภิกษุ ท. ! เพราะการคิดโดยแยบคาย ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญาแก่เราว่า

"เพราะชาตินี่เองไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี ชรามรณะดับ เพราะชาติดับ
เพราะภพนี่เองไม่มี ชาติจึงไม่มี ชาติดับเพราะภพดับ ....ฯลฯ
เพราะอวิชชานี่เองไม่มี สังขาร ท.จึงไม่มี: สังขารดับเพราะอวิชชาดับ" ดังนี้ :

เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ; เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ; เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ....ฯลฯ
ความดับไม่เหลือแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.

ภิกษุ ท. ! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟังมา แต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความดับไม่เหลือ! ความดับไม่เหลือ ! ย่อมมีด้วย อาการอย่างนี้.


 

755-4
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ (อีกนัยหนึ่ง)


ภิกษุ ท.! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้เกิดความ รู้สึกอันนี้ขึ้นว่า สัตว์โลกนี้หนอ ถึงแล้วซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบาย เครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะ นี้ จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร

 ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
"เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะ จึงได้มี
เพราะมีอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีชรามรณะ" ดังนี้.

ภิกษุ ท. ! ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญา
เพราะการทําในใจโดยแยบคายแก่เราว่า

เพราะชาติ นั่นแล มีอยู่ ชรามรณะ จึงได้มี
เพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมี ชรามรณะ" ดังนี้.

เพราะ ภพ นั่นแล มีอยู่ ชาติ จึงได้มี
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ" ดังนี้.

เพราะ อุปาทาน นั่นแล มีอยู่ ภพ จึงได้มี
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ"ดังนี้.

เพราะ ตัณหา นั่นแล มีอยู่ อุปาทาน จึงได้มี
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน" ดังนี้.

เพราะ เวทนา นั่นแล มีอยู่ ตัณหา จึงได้มี
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย  จึงมีตัณหา" ดังนี้.

เพราะ ผัสสะ นั่นแล มีอยู่ เวทนา จึงได้มี
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา"ดังนี้.

เพราะ สฬายตนะ นั่นแล มีอยู่ ผัสสะ จึงได้มี
เพราะมีสฬายตนะเป็น ปัจจัย จึงมีผัสสะ ดังนี้.

เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ สฬายตนะ จึงได้มี
เพราะมีนามรูปเป็น ปัจจัย จึงมีสฬายตนะ" ดังนี้.

เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี
เพราะมีวิญญาณเป็น ปัจจัย จึงมีนามรูป ดังนี้.

ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า

"เมื่ออะไรมีอยู่หนอ  วิญญาณ  จึงได้มี
เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท. ! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยป๎ญญา
เพราะการทําในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า


"เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี
เพราะมีนามรูปเป็นป๎จจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า

"วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับ จากนามรูป ย่อมไม่เลยไปอื่น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้างพึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง

ข้อนี้ได้แก่การที่

เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ        
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

         ภิกษุ ท. ! ดวงตา เกิดขึ้นแล้ว ญาณ เกิดขึ้นแล้ว ปัญญา เกิดขึ้นแล้ว วิชชา เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่าง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟัง มาแต่ก่อนว่า "ความเกิดขึ้นพร้อม (สมุทัย) ! ความเกิดขึ้นพร้อม (สมุทัย)!” ดังนี้.

.................................................................................................................

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราต่อไปว่า
"เมื่ออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะจึงไม่มี
เพราะความดับแห่งอะไร จึงมีความดับแห่งชรามรณะ" ดังนี้.

ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา
เพราะการทําในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า

"เพราะ ชาติ นั่นแล ไม่มี ชรามรณะ จึงไม่มี
เพราะความดับ แห่งชาติ จึงมีความดับแห่งชรามรณะ" ดังนี้.

เพราะ ภพ นั่นแล ไม่มี ชาติ จึงไม่มี
เพราะความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ" ดังนี้.

เพราะ อุปาทาน นั่นแล ไม่มี ภพ จึงไม่มี
เพราะความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ" ดังนี้.

เพราะ ตัณหา นั่นแล ไม่มี อุปาทาน จึงไม่มี
เพราะความดับแห่ง ตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน" ดังนี้.

เพราะ เวทนา นั่นแล ไม่มี ตัณหาจึงไม่มี
เพราะความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา" ดังนี้.

เพราะ ผัสสะ นั่นแล ไม่มี เวทนา จึงไม่มี
เพราะความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา" ดังนี้.

เพราะ สฬายตะ นั่นแล ไม่มี ผัสสะ จึงไม่มี
เพราะความดับ แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ" ดังนี้.

เพราะ นามรูป นั่นแลไม่มีสฬายตนะจึงไม่มี
เพราะความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ" ดังนี้.

เพราะ วิญญาณ นั่นแล ไม่มี นามรูป จึงไม่มี
เพราะความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า

"เมื่ออะไรไม่มีหนอวิญญาณ จึงไม่มี
เพราะความดับแห่งอะไร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา
เพราะการทําในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า"

เพราะนามรูป นั่นแล ไม่มี วิญญาณ จึงไม่มี
เพราะความ ดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท. !ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
"หนทางเพื่อการตรัสรู้นี้ อันเราได้ถึงทับแล้วแล
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ

เพราะความดับแห่ง นามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่ง นามรูป

เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
เพราะมีความดับ แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ

เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา
เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา

เพราะมีความ ดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงม ความดับแห่งภพ

เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลง แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้."

ภิกษุ ท.! ดวงตา เกิดขึ้นแล้ว ญาณ เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชา เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่าง เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อนว่า

"ความดับไม่เหลือ (นิโรธ) ! ความดับไม่เหลือ(นิโรธ)!" ดังนี้

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์