พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ หน้า ๑๑๔-๑๒๒
๓. มหาทุกขักขันธสูตร
ว่าด้วยกองทุกข์ใหญ่ เรื่องอัญญเดียรถีย์
[๑๙๕] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถี กลับจากบิณฑบาต ในเวลาปัจฉาภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระ ผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส เช้าวันนี้ พวกข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี พวกข้าพระองค์ต่างมีความคิดร่วมกันว่า ยังเช้าอยู่นัก อย่าเพิ่งเข้าไปบิณฑบาต ใน พระนครสาวัตถีเลย ทางที่ดี พวกเราควรเข้าไปยังอารามของพวก ปริพาชกอัญญ เดียรถีย์เถิด พวกข้าพระองค์ต่างก็มุ่งตรงไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์
ครั้นแล้วได้สนทนาปราศรัยกับพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ครั้นผ่านการ ปราศรัยพอให้ระลึก ถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พวกปริพาชกอัญญ เดียรถีย์นั้นเหล่า ได้กล่าวกะพวกข้าพระองค์ ผู้นั่ง ณที่ควร ส่วนข้างหนึ่งดังนี้ว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
พระสมณโคดมบัญญัติ ข้อควรกำหนดรู้กามได้
แม้พวกข้าพเจ้า ก็บัญญัติ ข้อควรกำหนดรู้กามได้
พระสมณโคดมบัญญัติ ข้อควรกำหนดรู้รูปได้
แม้พวก ข้าพเจ้าก็บัญญัติ ข้อควรกำหนดรู้รูปได้
พระสมณโคดมบัญญัติ ข้อควรกำหนดรู้เวทนา ได้
แม้พวกข้าพเจ้าก็บัญญัติ ข้อควรกำหนดรู้เวทนาได้
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ในเรื่องนี้ อะไรเล่าเป็นข้อแปลกกัน อะไรเป็นผล ที่มุ่งหมาย หรือกระทำให้ ต่างกัน ระหว่างพระสมณโคดมกับพวกข้าพเจ้า เช่นการ แสดงธรรม กับการแสดงธรรม หรืออนุสาสนี กับอนุสาสนี พวกข้าพระองค์ ไม่ยินดี ไม่คัดค้าน คำที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น กล่าวแล้ว ครั้นแล้ว ลุกจากที่นั่ง หลีกไป ด้วยคิดว่า เราจักทราบข้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนัก ของพระผู้มีพระภาค.
คุณ และ โทษ ของกาม
[๑๙๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญ เดียรถีย์ผู้มีวาทะอย่างนี้ พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็
อะไรเล่า เป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นการถ่ายถอน ของกามทั้งหลาย คือ
อะไร เป็นคุณ อะไรเป็นโทษอะไรเป็นการถ่ายถอน ของรูปทั้งหลาย
อะไร เป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นการถ่ายถอน ของเวทนาทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ถูกพวกเธอถามอย่างนี้ จักไม่พอใจเลย และจักต้อง คับแค้นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะข้อนั้น มิใช่วิสัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นผู้ที่จะ พึงยังจิตให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหา เหล่านี้ ในโลกเป็นไปกับด้วยเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ เป็นไปกับด้วย สมณะ และพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เว้นไว้แต่ตถาคต หรือสาวกของ ตถาคต หรือมิฉะนั้นก็ฟังจากนี้.
คุณของกาม
[๑๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นคุณของกามทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน? คือ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส)
รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความ กำหนัด เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วย กาม เป็นที่ตั้งแห่ง ความกำหนัด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการเหล่านี้แล ความสุข ความโสมนัสใด เล่า อาศัยกามคุณ ๕ เหล่านี้เกิดขึ้น นี้เป็นคุณของกาม ทั้งหลาย.
...............................................................................................................................
โทษของกาม
(1)
[๑๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของกามทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตร ในโลกนี้ เลี้ยงชีวิตด้วยความขยันประกอบศิลปใด คือ ด้วยการนับคะแนนก็ดี ด้วยการคำนวณก็ดี ด้วยการนับจำนวนก็ดี ด้วยการไถก็ดี ด้วยการค้าขายก็ดี ด้วยการเลี้ยงโคก็ดี ด้วยการยิงธนูก็ดี ด้วยการเป็นราชบุรุษก็ดี ด้วยศิลปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ต้องตรากตรำต่อความหนาวต้องตรากตรำ ต่อ ความร้อน งุ่นง่านอยู่ด้วยสัมผัสแต่เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานต้องตาย ด้วยความหิว ระหาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะเหตุแห่งกาม ทั้งหลาย ทั้งนั้น
(2)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อกุลบุตรนั้นขยัน สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนี้ โภคะ เหล่านั้นก็ไม่สำเร็จผล เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก รำพัน ตีอก คร่ำครวญ ถึง ความหลงเลือนว่าความขยันของเราเป็นโมฆะหนอ ความพยายาม ของเราไม่มีผล หนอ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย ... เกิดเพราะเหตุ แห่งกาม ทั้งหลายทั้งนั้น.
(3)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อกุลบุตรนั้นขยัน สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนี้ โภคะเหล่านั้น สำเร็จผล เขากลับเสวยทุกข์โทมนัสที่มีการคอย รักษาโภคะเหล่านั้นเป็นตัว บังคับว่า ทำอย่างไรพระราชา ทั้งหลาย ไม่พึงริบโภคะ เหล่านั้นไปได้ พวกโจรพึง ปล้นไม่ได้ ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดทายาท อัปรีย์ พึงนำไปไม่ได้ เมื่อกุลบุตรนั้น คอย รักษาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชาทั้งหลายริบโภคะเหล่านั้น ไปเสียก็ดี พวกโจร ปล้นเอาไปเสียก็ดี ไฟไหม้เสียก็ดี น้ำพัดไปเสียก็ดี ทายาทอัปรีย์นำไปเสียก็ดี เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก รำพัน ตีอก คร่ำครวญ ถึงความหลงเลือนว่าสิ่งใดเคยเป็น ของเรา แม้สิ่งนั้นก็ไม่เป็นของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย ... เกิดเพราะเหตุแห่งกาม ทั้งหลาย ทั้งนั้น.
(4)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัว บังคับ เพราะเหตุ แห่งกามทั้งหลายนั้นแล แม้พระราชาทั้งหลายก็วิวาทกัน กับพวกพระราชา แม้พวกกษัตริย์ก็วิวาทกัน กับพวกกษัตริย์ แม้พวกพราหมณ์ก็วิวาท กันกับพวกพราหมณ์ แม้คฤหบดีก็วิวาทกันกับพวกคฤหบดี แม้มารดาก็วิวาทกับบุตร แม้บุตรก็วิวาท กับมารดา แม้บิดาก็วิวาทกับบุตร แม้บุตรก็วิวาทกับบิดา แม้พี่ชาย น้องชายก็วิวาทกัน กับพี่ชายน้องชาย แม้พี่ชายก็วิวาทกับน้องสาว แม้น้องสาวก็วิวาท กับพี่ชาย แม้สหาย ก็วิวาทกับสหาย ชนเหล่านั้นต่างถึงการทะเลาะแก่งแย่ง วิวาทกัน ในที่นั้นๆ ทำร้ายซึ่งกัน และกัน ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง ถึงความตาย ไปตรงนั้นบ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย ... เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายทั้งนั้น.
(5)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็น ตัวบังคับ เพราะเหตุ แห่งกามทั้งหลาย นั้นแล ฝูงชนต่างถือดาบและโล่ห์ สอดแล่งธนู วิ่งเข้าสู่ สงคราม ปะทะกันทั้ง ๒ ข้าง เมื่อลูกศรทั้งหลายถูกยิงไปบ้าง เมื่อหอกทั้งหลาย ถูกพุ่ง ไปบ้าง เมื่อดาบทั้งหลาย ถูกกวัดแกว่ง อยู่บ้าง ฝูงชน เหล่านั้น ต่างก็ถูกลูกศร แทง เอาบ้าง ถูกหอกแทงเอาบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะเสียบ้าง ในที่นั้น พากันถึงตายไป ตรงนั้น บ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นโทษของกาม ทั้งหลาย ... เกิดเพราะเหตุแห่งกาม ทั้งหลายทั้งนั้น.
(6)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกาม เป็น ตัวบังคับ เพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายนั้นแล ฝูงชนถือดาบและโล่ห์ สอดแล่งธนู ตรูกันเข้าไป สู่เชิงกำแพงที่ฉาบด้วยเปือกตมร้อน เมื่อลูกศรถูกยิงไปบ้าง เมื่อหอก ถูกพุ่งไปบ้าง เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งบ้าง ชนเหล่านั้น ต่างถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอก แทงบ้าง ถูกรดด้วยโคมัยร้อนบ้าง ถูกสับด้วยคราดบ้าง ถูกตัดศีรษะ ด้วยดาบบ้าง ในที่นั้น พากันถึงตายไปตรงนั้นบ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย ... เกิดเพราะเหตุแห่งกาม ทั้งหลายทั้งนั้น.
(7)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกาม เป็นตัว บังคับ เพราะเหตุ แห่ง กามทั้งหลายนั้นแล ฝูงชนตัดที่ต่อบ้าง ปล้นอย่าง กวาดล้างบ้าง กระทำการปล้นเรือน หลังเดียวบ้าง ดักปล้นในหนทางบ้าง สมสู่ภรรยา คนอื่นบ้าง
(8)
พระราชาทั้งหลาย จับคนนั้นๆได้แล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์ต่างๆ
เฆี่ยนด้วยแซ่บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ตีด้วยไม้ค้อนบ้างตัดมือเสียบ้าง
ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดทั้งมือทั้งเท้าเสียบ้าง ตัดหูเสียบ้าง ตัดจมูกเสียบ้าง
ตัดทั้งหูทั้งจมูกเสียบ้าง
กระทำกรรมกรณ์
ชื่อพิลังคถาลิก [หม้อเคี่ยวน้ำส้ม] บ้าง
ชื่อสังขมุณฑกะ [ขอดสังข์] บ้าง
ชื่อราหูมุข [ปากราหู] บ้าง
ชื่อโชติมาลิก [พุ่มเพลิง] บ้าง
ชื่อหัตถปัชโชติก[มือไฟ] บ้าง
ชื่อเอรกวัตติก [นุ่งหนังช้าง] บ้าง
ชื่อจีรกวาสิก [นุ่งสร่าย] บ้าง
ชื่อเอเณยยกะ [ยืนกวาง] บ้าง
ชื่อพลิสมังสิก [กระชากเนื้อด้วยเบ็ด]บ้าง
ชื่อกหาปณกะ [ควักเนื้อทีละกหาปณะ] บ้าง
ชื่อขาราปฏิจฉก [แปรงแสบ] บ้าง
ชื่อปลิฆปริวัตติก [วนลิ่ม] บ้าง
ชื่อปลาลปีฐก[ตั่งฝาง] บ้าง
รดด้วยน้ำมันที่ร้อนบ้าง ให้สุนัขกัดกินบ้าง
เสียบที่หลาว ทั้งเป็นบ้าง ใช้ดาบตัดศีรษะเสียบ้าง
คนเหล่านั้นถึงตายไปตรงนั้นบ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้ามีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะเหตุแห่งกาม ทั้งหลาย ทั้งนั้น.
(9)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกาม เป็นตัวบังคับ เพราะเหตุ แห่งกามทั้งหลายนั้นแล ฝูงชนต่างประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ชนเหล่านั้น ครั้นประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ในสัมปรายภพ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลาย ทั้งนั้น.
...............................................................................................................................
การถ่ายถอนกาม
[๑๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นการถ่ายถอนของกามทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกำจัดฉันทราคะในกามทั้งหลาย การละฉันทราคะในกาม ทั้งหลายใด นี้เป็นการถ่ายถอนของกาม ทั้งหลาย.
[๒๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่รู้ชัดคุณ ของกาม ทั้งหลาย โดยเป็นคุณ โทษของกามทั้งหลาย โดยความเป็นโทษ และการ ถ่ายถอน ของกามทั้งหลาย โดยความเป็นการถ่ายถอน อย่างที่กล่าวนี้ ตามความ เป็นจริง พวกนั้นน่ะหรือ จักรอบรู้กามทั้งหลาย ด้วยตนเอง หรือว่าจักชักจูงผู้อื่น เพื่อความเป็น อย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้วจักรอบรู้กามทั้งหลายได้ ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งรู้ชัด คุณของ กามทั้งหลาย โดยเป็นคุณ โทษของกามทั้งหลาย โดยความเป็นโทษ และการถ่าย ถอน กามทั้งหลาย โดยความเป็นการถ่ายถอน อย่างที่กล่าวนี้ ตามความเป็นจริง พวกนั้น แหละหนอจักรอบรู้กามทั้งหลายด้วยตนเองได้ หรือจัก ชักจูงผู้อื่น เพื่อความ เป็นอย่าง ที่ผู้ปฏิบัติแล้วจักรอบรู้กามทั้งหลายได้ ข้อนี้เป็นฐานะ ที่จะมีได้.
[๒๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นคุณของรูปทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า นางสาวเผ่ากษัตริย์ เผ่าพราหมณ์ หรือเผ่าคฤหบดี มีอายุระบุได้ว่า ๑๕ ปี หรือ๑๖ ปี ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่อ้วน เกินไป ไม่ดำเกินไป ไม่ขาวเกินไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นนางคนนั้น งดงามเปล่งปลั่งเป็นอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่เล่า?
พวกภิกษุพากันกราบทูลว่าเป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสุขความโสมนัสอันใดแล ที่บังเกิดขึ้นเพราะอาศัย ความงาม เปล่งปลั่ง นี้เป็นคุณของรูปทั้งหลาย.
[๒๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของรูปทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลพึงเห็น นางสาวคนนั้นแหละในโลกนี้ โดยสมัยอื่น มีอายุ ๘๐-๙๐ หรือ ๑๐๐ ปี โดยกำเนิดเป็นยายแก่ มีซี่โครงคดดังกลอนเรือนร่างขดงอ ถือไม้เท้ากระงกกระเงิ่น เดินสั่นระทวยกระสับกระส่าย ผ่านวัยเยาว์ไปแล้วมีฟันหลุด ผมหงอก ผมโกร๋น ศีรษะล้าน เนื้อเหี่ยว มีตัวตกกระ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในครั้งก่อนนั้น หายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?
ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละ มีอาพาธ มีทุกข์ เจ็บหนัก นอนจมมูตรคูถของตน ต้องให้คนอื่นพยุงลุก ต้องให้คนอื่น คอยประคอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่ง ปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไป แล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?
ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็น ซากศพ ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ตายได้ ๑ วันก็ดี ตายได้ ๒ วันก็ดี ตายได้ ๓ วันก็ดี เป็น ซากศพ ขึ้นพองก็ดี มีสีเขียวก็ดี เกิดหนอน ชอนไชก็ดี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไรความงดงาม ความเปล่ง ปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?
ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็น ซากศพ ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ฝูงการุมกันจิกกินบ้าง ฝูงแร้งรุมกันจิกกินบ้าง ฝูงนกเค้ารุม กันจิกกิน บ้าง ฝูงสุนัขรุมกันกัดกินบ้าง ฝูงสุนัขจิ้งจอกรุมกันกัดกินบ้าง ฝูงปาณกชาติ ต่างๆ รุมกันกัดกินบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความ เปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้น หายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?
ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละ เป็นซากศพ ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า มีแต่โครงกระดูก มีเนื้อและเลือดติดอยู่ มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูก ปราศจากเนื้อเปื้อนเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูก ปราศจากเนื้อ และเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ
เป็นแต่กระดูกปราศจาก เอ็นยึด กระจัด กระจายไปในทิศน้อยทิศใหญ่
คือ กระดูกมือทางหนึ่งกระดูกเท้าทางหนึ่ง กระดูกแข้ง ทางหนึ่ง กระดูกขาทางหนึ่ง กระดูกสะเอวทางหนึ่ง กระดูกสันหลังทางหนึ่ง กระดูก ซี่โครงทางหนึ่ง กระดูกหน้าอก ทางหนึ่ง กระดูกแขนทางหนึ่ง กระดูกไหล่ทางหนึ่ง กระดูกคอทางหนึ่ง กระดูกคาง ทางหนึ่ง กระดูกฟันทางหนึ่ง หัวกะโหลกทางหนึ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความ เปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้น หายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?
ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวนั้นแหละ เป็นซากศพถูกทิ้ง ไว้ในป่าช้า เหลือแต่กระดูกสีขาว เปรียบเทียบได้กับสีสังข์ ฯลฯ เหลือแต่กระดูก ตกค้างแรมปีเรียงราย เป็นหย่อมๆ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกผุแหลกยุ่ย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนหาย ไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?
ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.
[๒๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นการถ่ายถอนของรูปทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกำจัดฉันทราคะในรูปทั้งหลาย การละฉันทราคะในรูปทั้งหลาย นั้นใด นี้เป็นการถ่ายถอนของรูปทั้งหลาย.
...............................................................................................................................................
กำหนดรู้รูป
[๒๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่รู้ชัด คุณของรูปทั้งหลาย โดยเป็นคุณโทษของรูปทั้งหลาย โดยความเป็น โทษ และการถ่ายถอนของรูปทั้งหลาย โดยความ เป็นการถ่ายถอน อย่างที่ กล่าวนี้ ตามความ เป็นจริง พวกนั้นน่ะหรือ จักรอบรู้รูปทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่า จักชักจูงผู้อื่น เพื่อความเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้วจักรอบรู้รูปทั้งหลายได้ ข้อนี้ไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าหนึ่ง รู้ชัดคุณของรูป ทั้งหลาย โดยเป็นคุณโทษ ของรูปทั้งหลาย โดยความเป็นโทษ และการถ่ายถอน ของรูป ทั้งหลาย โดยความเป็นการ ถ่ายถอน อย่างที่กล่าวนี้ ตามความเป็นจริง พวกนั้น แหละหนอ จักรอบรู้รูปทั้งหลายด้วยตนเองได้ หรือ จักชักจูง ผู้อื่นเพื่อความ เป็นอย่าง ที่ผู้ปฏิบัติแล้วจักรอบรู้รูปทั้งหลายได้ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๒๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นคุณของเวทนาทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล ธรรม บรรลปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยใด ภิกษุสงัด จากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายผู้อื่น ย่อมไม่คิด เพื่อจะทำลาย ทั้งสองฝ่าย ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนา อันไม่มีความเบียดเบียน เลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวคุณของเวทนาทั้งหลายว่า มีความไม่ เบียดเบียน เป็นอย่างยิ่ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งจิต ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ในสมัยใด ภิกษุ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งจิต ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลาย ตน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนา อันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคุณของเวทนา ทั้งหลายว่ามีความไม่เบียดเบียนเป็น อย่างยิ่ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ในสมัยใด ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะและเสวยสุข ด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนาอันไม่มี ความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคุณแห่งเวทนาทั้งหลายว่า มีความไม่เบียดเบียนเป็น อย่างยิ่ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะ ละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุ ให้สติ บริสุทธิ์อยู่
ในสมัยใด ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อ จะทำลายตน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมเสวย
เวทนาอันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคุณแห่งเวทนา ทั้งหลายว่า มีความไม่เบียดเบียนเป็น อย่างยิ่ง
[๒๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของเวทนาทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดานี้เป็น โทษของเวทนาทั้งหลาย.
[๒๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นการถ่ายถอนของเวทนา ทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกำจัด การละฉันทราคะ ของเวทนาทั้งหลายเสียได้ นี้เป็นการ ถ่ายถอนของเวทนาทั้งหลาย.
...............................................................................................................................................
กำหนดรู้เวทนา
[๒๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่รู้ชัด คุณของเวทนา ทั้งหลาย โดยเป็นคุณ โทษของเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นโทษ และการถ่ายถอน ของเวทนา ทั้งหลาย โดยความเป็นการถ่ายถอน อย่างที่กล่าวมานี้ ตามความเป็นจริง พวกนั้นน่ะหรือจักรอบรู้ เวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักจูง ผู้อื่นเพื่อเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จักรอบรู้เวทนา ทั้งหลายได้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ชัดคุณ ของเวทนา ทั้งหลาย โดยความเป็นคุณ โทษของเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นโทษ และการ ถ่ายถอนของเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นการถ่ายถอน อย่างที่กล่าวมานี้ ตามความเป็นจริง พวกนั้นแหละหนอ จักรอบรู้เวทนาทั้งหลาย ด้วยตนเองได้หรือ จักชักจูงผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จักรอบรู้เวทนาทั้งหลายก็ได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิต ของพระผู้มี พระภาคแล้วแล.
จบ มหาทุกขักขันธสูตร ที่ ๓ |