เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 ติตถสูตร มิจฉาทิฏฐิ 3 อย่างในเรื่องกรรม ของลัทธิเดียรถีย์ 717
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

อกิริยทิฐิ ๓ อย่าง ของลัทธิเดียรถีย์

มีทิฐิอย่างนีว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น

1. ล้วนแต่มีกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ ... ถ้าเช่นนั้นความพยายามในกิจที่ควรทำ หรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื่อไม่ได้ กรณียกิจ และอกรณียกิจ ที่ชอบธรรมเฉพาะตัว ย่อมจะสำเร็จไม่ได้

2.ล้วนแต่มีการสร้างสรรของอิสรชนเป็นเหตุ ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด ถ้าเช่นนั้นความพยายามในกิจที่ควรทำ หรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื่อไม่ได้ กรณียกิจ และอกรณียกิจ ที่ชอบธรรมเฉพาะตัว ย่อมจะสำเร็จไม่ได้

3.ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้ ถ้าเช่นนั้นท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด ก็เมื่อบุคคลยึดถือความไม่มีเหตุไว้ โดยความเป็นแก่นสาร ความพยายามว่า กิจนี้ควรทำหรือว่ากิจนี้ ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื่อไม่ได้กรณียกิจ และอกรณียกิจ โดยจริงจังมั่นคงดังนี้ สมณวาทะที่ชอบ ธรรม เฉพาะตน ย่อมจะสำเร็จไม่ได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราแสดงไว้คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้าน คือ ผัสสายตนะ ๖ ... มโนปวิจาร ๑๘ ... อริยสัจ ๔ ...ธาตุ ๖

 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต หน้าที่ ๑๖๗ – ๑๗๐

มหาวรรคที่ ๒

ติตถสูตร

[๕๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลัทธิของเดียรถีย์ ๓ อย่างนี้ ถูกบัณฑิตไต่ถาม ซักไซ้ ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างลัทธิสืบๆมา ตั้งอยู่ใน อกิริยทิฐิ ๓ อย่าง

ทิฐิ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ

๑. มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ

๒. สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรรของอิสรชนเป็นเหตุ

๓. มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้
........................................................

(1)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ทั้ง ๓ พวกนั้น พวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิ อย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนมี แต่กรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์พวกนั้น แล้วถาม อย่างนี้ว่า ได้ยินว่าท่านทั้งหลายมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรือ อทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีกรรม ที่ได้ทำไว้แต่ก่อน เป็นเหตุ จริงหรือ

ถ้าสมณพราหมณ์พวกนั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าว กะเขาว่า ถ้าเช่นนั้นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ ท่านทั้งหลาย จักต้องฆ่าสัตว์ จักต้องลักทรัพย์ จักต้องประพฤติกรรม เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ จักต้องพูดเท็จ จัก---ต้องพูดคำส่อเสียด จักต้องพูดคำหยาบ จักต้องพูดคำเพ้อเจ้อ จักต้องมากไปด้วย อภิชฌา จักต้องมีจิตพยาบาท จักต้องมีความเห็นผิด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนโดยความเป็น แก่นสาร ความพอใจ หรือความพยายามว่า กิจนี้ควรทำหรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื่อไม่ได้กรณียกิจ และอกรณียกิจโดยจริงจังมั่นคงดังนี้ สมณวาทะที่ชอบธรรม เฉพาะตัว ย่อมจะสำเร็จไม่ได้ แก่ผู้มีสติฟั่นเฟือน ไร้เครื่องป้องกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีวาทะสำหรับข่มขี่ที่ชอบธรรม ในสมณพราหมณ์พวกนั้น ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้อย่างนี้แลเป็นข้อแรก
........................................................
(2)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ทั้ง ๓ พวกนั้นพวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิ อย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีการ สร้างสรรของอิสรชนเป็นเหตุ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์ พวกนั้นแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า ท่านทั้งหลาย มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์หรืออทุกขมสุข อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคล เสวยนั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรร ของอิสรชนเป็นเหตุ จริงหรือ ถ้าสมณพราหมณ์นั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขา ว่า ถ้าเช่นนั้นเพราะการสร้าง สรรของอิสรชนเป็นเหตุ ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือการสร้างสรรของอิสรชนไว้ โดยความเป็น แก่นสาร ความพอใจ หรือความพยายามว่า กิจนี้ควรทำ หรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื่อไม่ได้กรณียกิจ และอกรณียกิจ โดยจริงจังมั่นคงดังนี้ สมณวาทะ ที่ชอบธรรมเฉพาะตน ย่อมจะสำเร็จไม่ได้ แก่ผู้มีสติฟั่นเฟือน ไร้เครื่องป้องกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีวาทะสำหรับข่มขี่ที่ชอบธรรม ในสมณพราหมณ์ พวกนั้น ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ อย่างนี้แลเป็นข้อที่ ๒
........................................................

(3)
ดูกรภิกษุทั้งหลายบรรดาสมณพราหมณ์ทั้ง ๓ พวกนั้น พวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิ อย่างนี้ว่า สุขทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่หาเหตุ หาปัจจัยมิได้ เราเข้าไปหา สมณพราหมณ์พวกนั้น แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุข อย่างใด อย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้ จริงหรือ ถ้าสมณพราหมณ์ พวกนั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนั้น เพราะหาเหตุหาปัจจัยมิได้ ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือความไม่มีเหตุไว้ โดยความเป็นแก่นสาร ความพอใจ หรือ ความพยายามว่า กิจนี้ควรทำหรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้ ก็เมื่อไม่ได้กรณียกิจ และอกรณียกิจ โดยจริงจังมั่นคงดังนี้ สมณวาทะที่ชอบธรรม เฉพาะตน ย่อมจะสำเร็จไม่ได้ แก่ผู้ที่มีสติฟั่นเฟือน ไร้เครื่องป้องกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีวาทะสำหรับข่มขี่ที่ชอบธรรม ในสมณพราหมณ์พวกนั้น ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ อย่างนี้แลเป็นข้อที่ ๓
........................................................


ดูกรภิกษุทั้งหลายลัทธิเดียรถีย์ ๓ อย่างนี้แล ถูกบัณฑิตไต่ถามซักไซ้ไล่เรียงเข้า ย่อมอ้างถึงลัทธิ สืบๆมา ตั้งอยู่ในอกิริยทิฐิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนธรรม ที่เราแสดง ไว้นี้ แลคนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้าน โดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ ก็ธรรมที่เราแสดงไว้แล้ว คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้าน โดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ เป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า ธาตุหก คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้าน โดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ธรรมที่เราแสดงว่า ผัสสายตนะ ๖ ... มโนปวิจาร ๑๘ ... อริยสัจ ๔ ...ธาตุ ๖ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ นี้เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนี้แล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ดังนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธาตุ ๖ เหล่านี้คือ ปถวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราแสดงไว้ว่าธาตุ ๖ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมองไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้าน ---โดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ ฉะนั้น เราจึงได้กล่าวไว้ ดังนั้น ก็คำว่าธรรมที่เราแสดงไว้ว่า ผัสสายตนะ ๖ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้าน โดยสมณพราหมณ์ผู้รู้นี้ เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนี้แล เพราะอาศัยอะไรจึงได้กล่าวไว้ ดังนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผัสสายตนะ ๖ เหล่านี้ คือ อายตนะเป็นเหตุแห่งผัสสะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เรา แสดงไว้ว่า ผัสสายตนะ ๖ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้าน โดยสมณพราหมณ์ผู้รู้

ฉะนั้น เราจึงได้กล่าวไว้ดังนั้น ก็คำว่า ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า มโนปวิจาร ๑๘ คนอื่น ข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ นี้เรากล่าวไว้แล้ว เช่นนี้แล เพราะอาศัยอะไร จึงได้กล่าวไว้ดังนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมเข้าไปไตร่ตรองรูป อันเป็นที่ตั้ง แห่งโสมนัส เข้าไปไตร่ตรองรูป อันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส เข้าไปไตร่ตรองรูป อันเป็น ที่ตั้งแห่งอุเบกขา ฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลิ่นด้วยจมูก ... ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้อง โผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมเข้าไปไตร่ตรองธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส เข้าไปไตร่ตรองธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส   เพราะอาศัย คำ ที่เราได้กล่าวไว้ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า มโนปวิจาร ๑๘คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ ฉะนั้น เราจึงได้กล่าวไว้ดังนี้ ก็คำว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า อริยสัจ ๔ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ นี้เราได้กล่าวไว้แล้วเช่นนี้แล เพราะอาศัยอะไร จึงได้กล่าวไว้ดังนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเพราะถือมั่นธาตุ ๖ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนาเราบัญญัติ  ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือ แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็ เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์  โทมนัส และอุปายาส เป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ แม้ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สมหวังก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุกขอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการอย่างนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุกขสมุทัยอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน เพราะอวิชชาดับโดยสำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับเพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับเพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ  อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ กองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมดับ ด้วยอาการอย่างนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยถ้อยคำที่เราได้กล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า อริยสัจ ๔ คนอื่นข่มขี่ไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกติ ไม่ถูกคัดค้านโดยสมณพราหมณ์ผู้รู้ ฉะนั้นเราจึงได้กล่าวไว้ดังนั้น ฯ




 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์