(เนื้อหาพอสังเขป)
เมื่อเธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า ชราและมรณะนี้ อันใดแล
ย่อมบังเกิดขึ้นในโลก เป็นทุกข์หลาย อย่างต่างๆกัน ชราและมรณะที่เป็นทุกข์นี้แล มีอุปธิเป็นเหตุ มีอุปธิเป็นกำเนิด มีอุปธิเป็นแดนเกิด
เมื่ออุปธิมี ชราและมรณะจึงมี
เมื่ออุปธิไม่มี ชราและมรณะก็ไม่มี
เธอย่อมทราบชัดซึ่งชราและมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่งความเกิดแห่งชรา และมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่ง ความดับแห่งชรา และมรณะ และย่อมทราบชัดซึ่งปฏิปทา อันสมควรเครื่องให้ถึงความดับแห่ง ชราและ มรณะ และเธอย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อความดับไปแห่งชราและ มรณะ โดยชอบทุกประการ
เมื่ออะไรมี อุปธิจึงมี เมื่ออะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี
เมื่อเธอพิจารณาอยู่ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า
อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น
มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด
เมื่อตัณหามี อุปธิจึงมี
เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี
เธอย่อมทราบชัดซึ่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งความดับแห่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งปฏิปทา อันสมควรเครื่องให้ถึงความดับแห่งอุปธิ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อความดับแห่งอุปธิ โดยชอบทุกประการ
............................................................................
[๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาลได้เห็นอารมณ์ อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก นั้น โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุขโดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของเกษม
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำตัณหาให้เจริญขึ้น
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำตัณหาให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่า ทำอุปธิให้เจริญขึ้น
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด มาทำอุปธิให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำทุกข์ให้เจริญขึ้น
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำทุกข์ให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า ไม่พ้นจากชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า เขาไม่พ้นแล้วจากทุกข์ได้เลย |