เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 สัมมสสูตรที่ ๑ เมื่ออุปธิมี ชราและมรณะจึงมี เมื่ออุปธิไม่มี ชราและมรณะก็ไม่มี 701
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

มื่อเธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า ชราและมรณะนี้ อันใดแล ย่อมบังเกิดขึ้นในโลก เป็นทุกข์หลาย อย่างต่างๆกัน ชราและมรณะที่เป็นทุกข์นี้แล มีอุปธิเป็นเหตุ มีอุปธิเป็นกำเนิด มีอุปธิเป็นแดนเกิด

เมื่ออุปธิมี ชราและมรณะจึงมี
เมื่ออุปธิไม่มี ชราและมรณะก็ไม่มี

เธอย่อมทราบชัดซึ่งชราและมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่งความเกิดแห่งชรา และมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่ง ความดับแห่งชรา และมรณะ และย่อมทราบชัดซึ่งปฏิปทา อันสมควรเครื่องให้ถึงความดับแห่ง ชราและ มรณะ และเธอย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อความดับไปแห่งชราและ มรณะ โดยชอบทุกประการ

เมื่ออะไรมี อุปธิจึงมี เมื่ออะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี
เมื่อเธอพิจารณาอยู่ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า
อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น
มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด

เมื่อตัณหามี อุปธิจึงมี
เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี

เธอย่อมทราบชัดซึ่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งความดับแห่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งปฏิปทา อันสมควรเครื่องให้ถึงความดับแห่งอุปธิ และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อความดับแห่งอุปธิ โดยชอบทุกประการ
............................................................................
[๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาลได้เห็นอารมณ์ อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก นั้น โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุขโดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของเกษม
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำตัณหาให้เจริญขึ้น
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำตัณหาให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่า ทำอุปธิให้เจริญขึ้น
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด มาทำอุปธิให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำทุกข์ให้เจริญขึ้น
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำทุกข์ให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า ไม่พ้นจากชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า เขาไม่พ้นแล้วจากทุกข์ได้เลย

 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้า ๙๓


๖. สัมมสสูตร

[๒๕๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กัมมาสทัมมนิคม ของชาวกุรุ ณ กุรุชนบท ณที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลาย เมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาปัจจัยภายในบ้างหรือไม่

เมื่อพระองค์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว มีภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลเนื้อความนี้ขึ้นแด่ พระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาปัจจัยภายใน พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสถามว่า เธอเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาปัจจัยภายในอย่างไร ทันใดนั้นแล ภิกษุรูปนั้นก็ทูลเล่าถวายให้ทรงทราบ แต่ก็ไม่ถูกพระหฤทัย ของพระผู้มีพระภาค ฯ

[๒๕๕] เมื่อพระภิกษุรูปนั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว ท่านพระอานนท์ จึงได้กราบทูลเนื้อความนี้ กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถึงเวลาที่จะทรงแสดงเรื่องนี้แล้ว ข้าแต่พระสุคต ถึงเวลาที่จะทรงแสดงเรื่องนี้แล้ว พระองค์ตรัสการพิจารณาปัจจัยภายในข้อใด

ภิกษุทั้งหลาย ฟังการพิจารณาปัจจัยภายในข้อนั้นจากพระองค์แล้ว จักทรงจำไว้ดังนี้ พระองค์จึงตรัสว่าอานนท์ ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ฯ

[๒๕๖] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณา ซึ่งปัจจัยภายในว่า ชราและมรณะนี้อันใดแล ย่อมบังเกิดในโลก เป็นทุกข์หลายอย่างต่างๆ กัน

ชราและมรณะที่เป็นทุกข์นี้แล มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดเมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี

เมื่อเธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า ชราและมรณะนี้ อันใดแล ย่อมบังเกิดขึ้นในโลก เป็นทุกข์หลายอย่างต่างๆ กัน

ชราและมรณะที่เป็นทุกข์นี้แล มีอุปธิเป็นเหตุ มีอุปธิเป็นกำเนิด มีอุปธิเป็นแดนเกิด

เมื่ออุปธิมี ชราและมรณะจึงมี

เมื่ออุปธิไม่มี ชราและมรณะก็ไม่มี


เธอย่อมทราบชัดซึ่งชราและมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่งความเกิดแห่งชรา และมรณะ ย่อมทราบชัดซึ่งความดับแห่งชรา และมรณะ และย่อมทราบชัดซึ่งปฏิปทา อันสมควรเครื่องให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ และเธอย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อความดับไปแห่งชราและมรณะ โดยชอบทุกประการ ฯ

[๒๕๗] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาซึ่งปัจจัยภายในว่า

ก็อุปธิอันนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น
มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด

เมื่ออะไรมี อุปธิจึงมี เมื่ออะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี
เมื่อเธอพิจารณาอยู่ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า
อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น
มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด

เมื่อตัณหามี อุปธิจึงมี
เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี


เธอย่อมทราบชัดซึ่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งความดับแห่งอุปธิ ย่อมทราบชัดซึ่งปฏิปทา อันสมควรเครื่องให้ถึงความดับแห่งอุปธิ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติตามนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามธรรม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุรูปนี้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ เพื่อความดับแห่งอุปธิ โดยชอบทุกประการ ฯ

[๒๕๘] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาซึ่งปัจจัยภายในว่า ก็ตัณหานี้เมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในที่ไหน เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน
เมื่อเธอพิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ที่ใดแล เป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก
ตัณหาเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น เมื่อตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น

ก็อะไรเล่าเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก
ตาเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก ... หูเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ...
จมูกเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก ... ลิ้นเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก ...
กายเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก ... ใจเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้นเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ใจนั้น เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ที่ใจนั้น ฯ

[๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาลได้เห็นอารมณ์ อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น
โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุขโดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของเกษม
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำตัณหาให้เจริญขึ้น

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำตัณหาให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่า ทำอุปธิให้เจริญขึ้น

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด มาทำอุปธิให้เจริญขึ้นแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าทำทุกข์ให้เจริญขึ้น

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำทุกข์ให้เจริญขึ้นแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า ไม่พ้นจากชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า เขาไม่พ้นแล้วจากทุกข์ได้เลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล จักเห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของ เกษม สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าจักทำตัณหาให้เจริญขึ้น

สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใด จักทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าจักทำอุปธิให้เจริญขึ้น

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด จักทำอุปธิให้เจริญขึ้นสมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า จักทำทุกข์ให้เจริญขึ้น

สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดจักทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าจักไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า เขาจักไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย

ดูกรภิกษุทั้งหลายสมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในปัจจุบัน นี้ เห็นอารมณ์ อันเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจ ในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยงโดย ความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค  โดยความเป็นของเกษม สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะ หรือพราหมณ์ เหล่าใด ทำตัณหาให้เจริญขึ้น

สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำอุปธิให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใด ทำอุปธิให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำทุกข์ ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นไปจากชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า เขาย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย ดังนี้ ฯ


[๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขันสำริดที่ใส่น้ำ ที่ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่นและรส แต่ว่า เจือด้วยยาพิษ ทันใดนั้น มีบุรุษเดินฝ่าความร้อนอบอ้าว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามา ระหายน้ำ คนทั้งหลายจึงได้พูดกะบุรุษผู้นั้น อย่างนี้ว่า

นายขันสำริดที่ใส่น้ำนี้ ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น และรสแต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ถ้าท่านประสงค์ ก็จงดื่มเถิด เพราะว่าเมื่อดื่มน้ำนั้น ก็จักซาบซ่านด้วยสีบ้าง กลิ่นบ้างรสบ้าง ก็แหละ ครั้นดื่มเข้าไปแล้ว ตัวท่านจะถึงความตาย หรือถึงทุกข์แทบตายเพราะการดื่มนั้นเป็นเหตุ ดังนี้

บุรุษนั้นผลุนผลัน ไม่ทันพิจารณา ดื่มน้ำนั้นเข้าไปไม่บ้วนทิ้งเลย เขาก็พึงถึงความตาย หรือถึงทุกข์แทบตาย เพราะการดื่มน้ำนั้นเป็นเหตุทันที แม้ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาล ได้เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ฯลฯ ในอนาคตกาล ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบันนี้ เห็นอารมณ์เป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่มีโรค โดยความเป็นของเกษม สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า ย่อมทำตัณหาให้เจริญขึ้น

สมณะ หรือพราหมณ์ เหล่าใด ทำตัณหาให้เจริญขึ้นสมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำอุปธิ ให้เจริญขึ้น

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ทำอุปธิให้เจริญขึ้นสมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมทำทุกข์ให้เจริญขึ้น

สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดทำทุกข์ให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสเรากล่าวว่า เขาย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ

[๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาล ได้เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดยความเป็นโรค โดยความเป็นภัยแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าละตัณหาได้แล้ว

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ละตัณหาได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า ละอุปธิเสียได้

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดละอุปธิได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้น ชื่อว่าละทุกข์เสียได้

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ละทุกข์ได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าพ้นแล้วจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส ได้เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น พ้นแล้วจากทุกข์ได้

อนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล จักเห็นอารมณ์ อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความ เป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดยความเป็นโรค โดยความเป็นภัยสมณะ หรือพราหมณ์ เหล่านั้น จักละตัณหาได้ ฯลฯ เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น จักพ้นจากทุกข์ ดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในปัจจุบันกาล ย่อมเห็นอารมณ์ อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ ในโลกนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดยความเป็นโรค โดยความเป็นภัย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมละตัณหาได้

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ย่อมละตัณหาได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละอุปธิได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ย่อมละอุปธิได้ สมณะ หรือ พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละทุกข์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ย่อมละทุกข์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสเรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมพ้นจากทุกข์ได้ดังนี้ ฯ

[๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แก้วเหล้าที่ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น และรส  แต่ว่าเจือด้วย ยาพิษ ทันใดนั้น มีบุรุษเดินฝ่าความร้อนอบอ้าว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามา ระหายน้ำ คนทั้งหลายจึงได้พูดกะบุรุษผู้นั้น อย่างนี้ว่านายแก้วเหล้าที่ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ถ้าท่านประสงค์ ก็จงดื่มเถิดเพราะว่าเมื่อดื่มเหล้านั้น ก็จักซาบซ่านด้วยสีบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง ก็แหละครั้นดื่มเข้าไปแล้ว ตัวท่านจักถึง ความตาย หรือถึงทุกข์แทบตาย เพราะการดื่มนั้นเป็นเหตุดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษนั้นพึงคิดอย่างนี้ว่า เหล้านี้เราดื่มแล้ว เราอาจจะบรรเทาได้ ด้วยน้ำเย็น ด้วยเนยใส ด้วยน้ำข้าวสัตตุเค็ม หรือด้วยน้ำ ชื่อโลณโสจิรกะ แต่เราจะไม่ดื่มเหล้านั้นเลย เพราะไม่เป็นประโยชน์ มีแต่ทุกข์แก่เราช้านาน เขาพิจารณาดูแก้วเหล้านั้นแล้วไม่พึงดื่ม เขาทิ้งเสีย เขาก็ไม่เข้าถึงความตาย หรือความทุกข์แทบตาย เพราะการดื่มนั้นเป็นเหตุแม้ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาล เห็นอารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ ในโลกนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดยความเป็นโรค โดยความเป็นภัยแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าละตัณหาได้แล้ว

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ละตัณหาเสียได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าละอุปธิได้แล้ว สมณะ หรือ พราหมณ์เหล่าใด ละอุปธิเสียได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าละทุกข์ได้แล้ว

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ละทุกข์เสียได้ สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้น ชื่อว่าพ้นแล้วจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น พ้นแล้วจากทุกข์ ดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล ฯลฯ ในปัจจุบันกาล ย่อมเห็นอารมณ์ อันเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน โดยความเป็นโรค โดยความเป็นภัย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละตัณหาได้

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ย่อมละตัณหาได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละอุปธิได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ย่อมละอุปธิได้ สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมละทุกข์ได้

สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ย่อมละทุกข์ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ




 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์