พระยโสชะ พร้อมภิกษุอีก 500 รูป เดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาที่ วิหารเชตวันนครสาวิตถี เมื่อมาถึง ก็ได้ปูลาดอาสนะ เก็บบาตร เก็บจีวร และทักทายสนทนากับภิกษุเจ้าถิ่น ส่งเสียงอื้ออึง พระผู้มีพระภาค ถามอานนท์ ว่าใครนั่นมีเสียงอื้ออึง เหมือนชาวประมงแย่งปลากัน พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไป เราประณามเธอทั้งหลาย พวกเธอไม่ควรอยู่ในสำนัก ของเราฯ (ทรงไล่) ภิกษุเหล่านั้นจึงลุกจากอาสนะ กระทำประทักษิณ แล้วหลีกจาริกไปทาง วัชชีชนบท เที่ยวจาริกไป ในนบท ถึงแม่น้ำ วัคคุมุทานที กระทำกุฎี มุงบังด้วยใบไม้ เข้าจำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ท่านพระยโสชะ เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ ประณาม เราทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคพึงทรงใคร่ประโยชน์แก่เราทั้งหลาย ขอเราทั้งหลาย จงสำเร็จ การอยู่ด้วยประการ นั้นเถิด (พระยโสชะ มองในแง่ดีว่าพระศาสดาปราณีและหวังดี จึงทรงขับไล่) ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นหลีกออก จากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ทุกๆ รูปได้ ทำให้แจ้งซึ่ง วิชชา ๓ ภายในพรรษานั้นเอง (ทุกรุปเร่งกระทำความเพียรจนแจ้งในวิชชา ๓ มีญาณหยังรู้ (วิชชา ๓) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (รู้..ชาติในอดีต) จุตุปปาตญาณ (รู้..การจุติของขันธ์ในภพต่างๆ) อาสวขยักญาณ (รู้...การสิ้นกิเลสด้วยอริยสัจสี่) ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการ (กระทำในใจ) กำหนดใจของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ด้วยพระทัย ของพระองค์ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที เหมือนมีแสงสว่าง แก่เรา เหมือนมีโอภาสแก่เรา จึงให้พระอานนท์ส่งภิกษุไปพบกับภิกษุเหล่า ให้มาพบพระศาสดา ภิกษุที่เป็นทูต เปรียบเหมือนผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น (หายตัวไปปรากฏ) ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร หายจากที่ฝั่ง แม่น้ำวัคคุมุทานที ไปปรากฏเฉพาะ พระพักตร์พระผู้มีพระภาค ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวันเปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียด แขนที่คู้ หรือคู้แขน ที่เหยียด ฉะนั้น ฯ (ภิกษุทั้ง 500 หายตัวไปพบพระศาสดา) ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ด้วยสมาธิอันไม่หวั่นไหว ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นมีความดำริ ว่า เวลานี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยวิหารธรรมไหนหนอ (เข้าสมาธิระดับไหน) ภิกษุเหล่านั้น มีความดำริอีกว่า พระผู้มี พระภาคประทับอยู่ด้วย อาเนญชวิหารธรรม เมื่อทราบดังนั้น ภิกษุทั้งหมด จึงเข้าสมาธิ ด้วย อาเนญชสมาธิฯ พระอานนท์เมื่อเห็นภิกษุทั้ง 500 รูปมาขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ตามที่พระองค์ ต้องการพบ แม้ครั้งที่ 1 แม้ครั้งที่ 2 จนปฐมยามผ่านไป แม้ครั้งที่ 3 จนราตรีผ่านไป พระองค์ก็ยังไม่มาสนทนา จนกระทั่งถึงรุ่งอรุณ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น แล้วตรัสกะท่าน พระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ถ้าว่าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้ง แม้มีประมาณเท่านี้ก็ไม่พึงปรากฏแก่เธอ (อานนท์ยังไม่แจ้ง จึงไม่ทราบความมีประมาณของพระองค์และภิกษุ500 รูป ที่กำลังอยู่ใน อาเนญชสมาธิฯ) ดูกรอานนท์ เราและภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมด นั่งแล้วด้วย อาเนญชสมาธิ ฯ (คุยกันด้วยจิตใน สมาธิเรียบร้อยแล้ว) หมายเหตุ - อาเนญชสมาธิ หรือการสนทนากันในสมาธิ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับภิกษุ 500 รูปนี้ น่าจะเป็นสมาธิ ระดับ 8 เช่นเดียวกับ ฤาษีอุทกดาบส (เนวสัญญานาสัญญา-) ที่แสดงธรรมให้กับ เจ้าชายสิทธถัตถะก่อนตรัสรู้ ซึ่งเป็นญาณหยั่งรู้ใน วิชชา ๓
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๗ ๓. ยโสชสูตร [๗๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระยโสชะเป็นประมุข เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้า พระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นปราศรัยอยู่กับภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ ได้ส่งเสียงอื้ออึง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ใครนั่นมีเสียงอื้ออึง เหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ท่านพระอานนท์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภิกษุประมาณ ๕๐๐รูป มี พระยโสชะ เป็นประมุข เหล่านี้ เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้า พระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุผู้อาคันตุกะเหล่านั้น ปราศรัยอยู่กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็น เจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ส่งเสียงอื้ออึง พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมาตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น รับคำท่านพระอานนท์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้น ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไรหนอ เธอทั้งหลายจึงส่งเสียงอื้ออึง เหมือนชาวประมงแย่งปลากัน [๗๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว ท่านพระยโสชะ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เดินทาง มาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ภิกษุผู้อาคันตุกะเหล่านี้ ปราศรัยกับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ ส่งเสียง อื้ออึง พระเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไป เราประณามเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มี พระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร หลีกจาริกไปทาง วัชชีชนบท เที่ยวจาริกไปในวัชชีชนบทโดยลำดับ ถึงแม่น้ำ วัคคุมุทานที กระทำกุฎี มุงบังด้วยใบไม้ เข้าจำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที [๗๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระยโสชะเข้าจำพรรษาแล้ว เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงใคร่ประโยชน์ ทรงแสวงหา ประโยชน์ ทรงอนุเคราะห์ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ ประณามเราทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคพึงทรงใคร่ประโยชน์แก่เราทั้งหลาย ผู้อยู่ด้วยประการใด ขอเราทั้งหลายจงสำเร็จการอยู่ด้วยประการนั้นเถิด ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระยโสชะแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นหลีกออก จากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ทุกๆ รูปได้ทำให้แจ้งซึ่ง วิชชา ๓* ภายในพรรษานั้นเอง *วิชชา ๓ คือ ๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ได้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ๓. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น [๗๔] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ตามพระอัธยาศัย แล้วเสด็จจาริกไปทางพระนครเวสาลี เสด็จเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้เสด็จถึงพระนครเวสาลี ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคาร ศาลาป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลีนั้น ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการ (กระทำในใจ) กำหนดใจของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ด้วยพระทัยของพระองค์ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอยู่ในทิศใด ทิศนี้ เหมือนมีแสงสว่างแก่เรา เหมือนมีโอภาสแก่เรา เธอเป็นผู้ไม่รังเกียจที่จะไป เพื่อความสนใจแห่งเรา เธอพึงส่งภิกษุผู้เป็นทูตไปในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีด้วยสั่งว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาใคร่จะเห็นท่านทั้งหลาย ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า ดูกรกรอาวุโสท่านจงเข้าไปหา ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่ง แม่น้ำวัคคุมุทานที ครั้นแล้ว จงกล่าวกะภิกษุทั้งหลายผู้ที่ อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอย่างนี้ว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดา ทรงประสงค์ จะเห็นท่านทั้งหลาย ภิกษุนั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว หายจากกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ไปปรากฏข้างหน้าภิกษุเหล่านั้น ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที เปรียบเหมือนบุรุษ ผู้มีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น (หายตัวไปปรากฏ) ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาทรงประสงค์เห็นท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร หายจากที่ฝั่ง แม่น้ำวัคคุมุทานที ไปปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวันเปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียด แขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น (ภิกษุทั้ง500 หายตัวไปพบพระศาสดา) [๗๕] ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ด้วยสมาธิอันไม่หวั่นไหว ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นมีความดำริว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยวิหารธรรม ไหนหนอ ภิกษุเหล่านั้นมีความดำริอีกว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วย อาเนญชวิหารธรรม ภิกษุทั้งหมดนั้นแลนั่งอยู่ด้วยอาเนญชสมาธิ ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีล่วงไป เมื่อปฐมยามผ่านไป ท่านพระอานนท์ ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มี พระภาคประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัย กับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ แม้ครั้งที่ ๒ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว เมื่อมัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มี พระภาคประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาค ทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ แม้ครั้งที่ ๓ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้นแล้ว เมื่อราตรีรุ่งอรุณ ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่า ข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้วอรุณขึ้นแล้ว ราตรีรุ่งอรุณ ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัย กับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น แล้วตรัสกะท่าน พระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ถ้าว่าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้ง แม้มีประมาณเท่านี้ ก็ไม่พึงปรากฏแก่เธอ ดูกรอานนท์ เราและภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมด นั่งแล้วด้วย อาเนญชสมาธิ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ภิกษุใดชนะหนาม คือ กาม ชนะการด่า การฆ่า และการจองจำได้ แล้ว ภิกษุนั้นมั่นคงไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ภิกษุนั้นย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะสุขและทุกข์ ฯ จบสูตรที่ ๓