(เนื้อหาพอสังเขป)
ภิกษุของตถาคค ปราศัยกับ อัญญเดียรถีย์ปริพาชก เรื่องการเจริญด้วยเมตตา ด้วยกรุณา ด้วยมุทิตา ด้วยอุเบกขา(พรหมวิหาร ๔) แผ่ไปในทิศ ภิกษุของตถาคต ไม่พึ่งรับรอง ไม่พึงคัดค้าน และนำคำกล่าว ของปริพาชกมาทูลถามพระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าจะถามปริพาชก ต้องถามว่า
เมตตาเจโตวิมุติ.. กรุณาเจโตวิมุตติ.. มุทิตาเจโตวิมุตติ. อุเบกขาเจโตวิมุตติ
อันบุคคลเจริญแล้ว
มีอะไร เป็นคติ (ทางไป)
มีอะไร เป็นอย่างยิ่ง
มีอะไร เป็นผล
มีอะไร เป็นที่สุด
พวก อัญญเดียรถีย์ปริพาชก ถูกเธอทั้งหลายถามอย่างนี้แล้ว จักแก้ไม่ได้เลย และจักถึงความอึดอัด อย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเป็นปัญหา ที่ถามในฐานะ มิใช่วิสัย (ที่ปริพาชกพึงรู้ได้)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่แลเห็นบุคคลในโลก ในเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ที่จะยังจิตให้ยินดี ด้วยการแก้ปัญหาเหล่านี้ เว้นเสียจากตถาคต สาวกของตถาคต หรือผู้ที่ฟังจากตถาคต หรือจากสาวกของตถาคต
เมตตาเจโตวิมุติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร มีอะไรเป็นคติ มีอะไรเป็นอย่างยิ่ง มีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นที่สุด ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันสหรคต (ไปด้วยกัน-ร่วมกัน) ด้วยเมตตาฯลฯ ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันสหรคต ด้วยเมตตา อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ …กรุณาเจโตวิมุติ มุทิตาเจโตวิมุติ อุเบกขาเจโตวิมุติ ก็เช่นเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าว เมตตาเจโตวิมุติ ว่า มีสุภวิโมกข์ เป็นอย่างยิ่ง
เรากล่าว กรุณาเจโตวิมุติ ว่ามี อากาสานัญจายตนะ เป็นอย่างยิ่ง
เรากล่าว มุทิตาเจโตวิมุติ ว่ามี วิญญาณัญจายตนะ เป็นอย่างยิ่ง
เรากล่าว อุเบกขาเจโตวิมุติ ว่า มี อากิญจัญญายตนะ เป็นอย่างยิ่ง
|