เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  มาคัณฑิยสูตร : ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง แต่ตถาคต คือผู้บริโภคกาม (มีกามเป็นโรค) 568
 
 

เนื้อหาในพระสูตรนี้พอสังเขป

ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

นัยยะของคำว่า ความไม่มีโรค คือไม่มีกามคุณ ที่พระองค์ตรัสถึง โทษของกามคุณ คุณของกามคุณ และ อุบาย เครื่องออกไปพ้น

ดูกรมาคัณฑิยะ บุคคลผู้เคยได้รับบำเรอด้วยรูปทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งด้วยนัยน์ตา เสียง... กลิ่น...รส... โผฏฐัพพะ ที่น่า รักใคร่ ชอบใจ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด สมัยต่อมา เขารู้ความเกิด ความดับ คุณโทษ และอุบาย เป็นเครื่อง เป็นผู้ปราศ จาก ความระหาย มีจิต สงบใน ภายในอยู่
.......................................................................................
ดูกรมาคัณฑิยะ เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ อิ่มหนำด้วยกามคุณห้า.. ปราสาทของเรามีถึงสามแห่ง ปราสาทฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน. เราถูกบำเรอด้วยดนตรี ล้วนแต่สตรี ไม่มีบุรุษ สมัยต่อมา เรารู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ อุบาย เครื่องออก ไปแห่งกาม ละตัณหาในกาม บรรเทาความเร่าร้อนที่เกิด เพราะ ปรารภกาม มีจิตสงบในภายในอยู่. เราเห็นหมู่สัตว์อื่น ผู้ยังไม่ ปราศจากความกำหนัด ถูกกามตัณหา เคี้ยวกินอยู่ เราไม่ยินดีในกามนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความยินดีที่เว้นจากกาม เว้นจากอกุศธรรมอยู่ จึงไม่ทะเยอทะยานต่อธรรมอันเลว ไม่ยินดีในธรรมอันเลวนั้น.

เปรียบผู้บริโภคกามเหมือนคนโรคเรื้อน
ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล เกาแผลด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อน ที่หลุมถ่าน เพลิง ญาติ สาโลหิต ให้แพทย์ผ่าตัด บุรุษนั้นจึงหายจากโรคเรื้อน เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข มีเสรีภาพ จะไปไหนได้ตามความ พอใจ

ดูกรมาคัณฑิยะ กามทั้งหลายก็ฉันนั้น แม้ในอดีตกาล ก็มีสัมผัส เป็นทุกข์ มีความเร่าร้อนถึงในอนาคต แม้ใน ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ สัตว์เหล่านี้ เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาม ถูกกามตัณหาเคี้ยวกินอยู่

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทาง ทั้งหลาย อันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม

ดูกรมาคัณฑิยะ ที่ท่านได้ฟังมาจากปริพาชกก่อนๆ กล่าวกันอยู่ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็น สุขอย่างยิ่ง ดังนี้นั้น ความไม่มีโรคนั้นเป็นไฉน นิพพานนั้นเป็นไฉน? เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาคัณฑิย-เอาฝ่ามือลูบตัว กล่าวว่า ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้น คืออันนี้ข้าแต่ท่านพระโคดม เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้า เป็นผู้ไม่มีโรค ความสุขอะไรๆ ก็มิได้เบียดเบียนข้าพเจ้า (เป็นผู้ปราศจากโรค)

เปรียบผู้บริโภคกามเหมือนคนตาบอด
ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดมาแต่กำเนิด คนหนึ่งเอาผ้าเทียมเปื้อนเขม่า มาลวงบุรุษตาบอด แต่กำเนิด ว่า ผ้าผืนนี้ ขาวผ่อง งามสะอาด เขารับเอาผ้านั้นไว้ห่ม แล้วเปล่งวาจาแสดงความดีใจว่าผ้าขาว สะอาด ไม่มีมลทิน

ดูกรมาคัณฑิยะ บุรุษตาบอดแต่กำเนิดนั้น รู้อยู่เห็นอยู่ หรือ ไม่รู้ไม่เห็น ว่าผ้าเปื้อนเขม่า จึงแสดงความดีใจ

ดูกรมาคัณฑิยะ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่มีจักษุ ไม่รู้ความไม่มีโรค ไม่เห็น พระนิพพาน ก็เมื่อเป็น เช่นนั้น ยังกล่าวคาถานี้ได้ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุข อย่างยิ่ง ดังนี้.

ดูกรมาคัณฑิยะ กายนี้แล เป็นดังโรค เป็นดัง หัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้

ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพาน นั้น คืออันนี้
(ความไม่มีโรค และนิพพานคืออันนี้ อันนี้ ก็คืออันของพระโคดม ไม่ใช่อันของของปริชาพชก)

การเห็นว่ากายนี้ เป็นความเจ็บไข้ เป็นโรค เป็นอาพาธ คือจักษุของพระอริยะ (ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น)


 
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๐๙-๒๒๑

๕. มาคัณฑิยสูตร

พระพุทธเจ้าตรัสซักถามมาคัณฑิยะ เรื่องกามคุณ

             [๒๗๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะมาคัณฑิยปริพาชกผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่งว่า ดูกรมาคัณฑิยะ
  นัยน์ตามีรูป เป็นที่มายินดี ...
  หูมีเสียง เป็นที่มายินดี ...
  จมูกมีกลิ่น เป็นที่มายินดี ...
  ลิ้นมีรส เป็นที่มายินดี ...
  กายมีโผฏฐัพพะ เป็นที่มายินดี ...
  ใจมีธรรมารมณ์ เป็นที่มายินดี

ยินดีแล้วในธรรม อันธรรมให้บันเทิงแล้ว ใจนั่นตถาคต ทรมานแล้ว คุ้มครองแล้ว รักษาแล้ว สำรวมแล้ว อนึ่งตถาคตย่อมแสดงธรรมเพื่อสำรวมใจนั่น

ดูกรมาคัณฑิยะ คำที่ท่านกล่าวว่า พระสมณโคดมเป็นผู้กำจัดความเจริญ นั้น ท่านหมายเอาความข้อนี้ละซิหนอ.

มา. ท่านพระโคดม ก็คำที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า พระสมณโคดมเป็นผู้กำจัดความเจริญนี้ ข้าพเจ้าหมายเอาความข้อนี้แหละ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะคำเช่นนี้ ลงกันในสูตร ของข้าพเจ้า.



             [๒๘๐] ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บางคนในโลกนี้ เป็นผู้เคย ได้รับบำเรอด้วยรูปทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งด้วยนัยน์ตา ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด

สมัยต่อมาเขารู้ความเกิด ความดับ คุณโทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไป แห่งรูป ทั้งหลาย ตามความเป็นจริง แล้วละตัณหาในรูป บรรเทาความเร่าร้อน อันเกิด เพราะ ปรารภรูป เป็นผู้ปราศจากความระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่
ดูกรมาคัณฑิยะ ก็ท่าน จะพึงว่า อะไรแก่ท่านผู้นี้เล่า?

ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่พึงว่าอะไร.

ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บางคนในโลกนี้เป็นผู้เคย ได้รับบำเรอด้วยเสียงทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งด้วยโสต ... ด้วยกลิ่นทั้งหลาย อันจะพึงรู้ แจ้งด้วยจมูก ...ด้วยรสทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งด้วย ลิ้น ... ด้วยโผฏฐัพพะ ทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วย กามเป็น ที่ตั้งแห่งความกำหนัด


สมัยต่อมา เขารู้ความเกิด ความดับ คุณโทษ และอุบาย เป็นเครื่องออกไป แห่ง โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย ตามความเป็นจริง แล้วละตัณหาใน โผฏฐัพพะ บรรเทาความ เร่าร้อนที่เกิดขึ้นเพราะ ปรารภโผฏฐัพพะ เป็นผู้ปราศจากความ ระหาย มีจิต สงบใน ภายในอยู่ ดูกรมาคัณฑิยะ ก็ท่านจะพึงว่าอะไรแก่ท่านผู้นี้เล่า?
ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่พึงว่าอะไร.
.........................................................................................................................................

             [๒๘๑] ดูกรมาคัณฑิยะ เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ก็เป็นผู้ อิ่มหนำเพรียบพร้อมด้วยกามคุณห้า บำเรอตนด้วยรูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยนัยน์ตา ที่สัตว์ ปรารถนา รักใคร่ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ด้วยเสียง อันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู ...ด้วยกลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ... ด้วยรสอันจะพึงรู้ แจ้งด้วย ลิ้น ... ด้วยโผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบ ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ดูกรมาคัณฑิย ปราสาทของเรา นั้น ได้มีถึงสามแห่ง คือปราสาทหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน ปราสาทหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว ปราสาทหนึ่ง เป็นที่อยู่ในฤดูร้อน. เรานั้นให้บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรี ไม่มีบุรุษ เจือปนในปราสาท เป็นที่อยู่ในฤดูฝน ตลอดสี่เดือน ไม่ได้ลงภายใต้ปราสาท

สมัยต่อมา เรานั้นรู้ ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องออกไป แห่งกาม ทั้งหลายตามความ เป็นจริง แล้วละตัณหา ในกามบรรเทาความเร่าร้อน ที่เกิดเพราะ ปรารภกาม เป็นผู้ปราศจากความระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่.

เรานั้นเห็นหมู่สัตว์อื่นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ในกามถูกกามตัณหา เคี้ยวกินอยู่ ถูกความเร่าร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะปรารภกามเผาอยู่ เสพกามอยู่ รานั้นย่อมไม่ทะเยอ ทะยานต่อสัตว์เหล่านั้น ไม่ยินดีในกามนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเรายินดีด้วย ความยินดีที่เว้นจากกาม เว้นจากอกุศธรรมอยู่ จึงไม่ทะเยอทะยาน ต่อธรรม อันเลว ไม่ยินดีในธรรมอันเลวนั้น.
.........................................................................................................................................

             [๒๘๒] ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดีเป็นคน มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เอิบอิ่มเพรียบพร้อมด้วยกามคุณห้า บำเรอตน ด้วยรูป อันพึงจะ รู้แจ้งด้วยนัยน์ตา ที่สัตว์ ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก  ประกอบ ด้วยกาม เป็นที่ตั้ง แห่งความกำหนัด ด้วยเสียงอันจะพึงรู้แจ้ง ด้วยหู ... ด้วยกลิ่น อันจะพึงรู้แจ้ง ด้วยจมูก ... ด้วยรสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ... ด้วยโผฏฐัพพะ อันจะ พึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่ง ความกำหนัด.

เขาประพฤติกายสุจริต วจีสุจริตมโนสุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ พึงเข้า ถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์. เทพบุตรนั้นอันหมู่นางอัปสร แวดล้อมใน นันทวัน เอิบอิ่มเพรียบพร้อม ด้วยกามคุณห้า อันเป็นทิพย์บำเรอตนอยู่ ในดาวดึงส์ เทวโลก. เทพบุตรนั้นได้เห็นคฤหบดี หรือบุตร คฤหบดีผู้เอิบอิ่ม เพรียบพร้อมด้วยกามคุณ ห้าบำเรอตนอยู่.

ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เทพบุตรนั้นอันหมู่นาง อัปสร แวดล้อม อยู่ในนันทวัน เอิบอิ่มเพรียบพร้อมด้วยกามคุณห้า อันเป็นทิพย์บำเรอ ตนอยู่ จะพึงทะเยอ ทะยานต่อคฤหบดีต่อบุตร คฤหบดีโน้น หรือต่อกามคุณห้าของ มนุษย์ หรือจะพึงเวียนมา เพราะกามของมนุษย์บ้างหรือหนอ?

ไม่เป็นอย่างนั้น ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกามอันเป็นทิพย์ น่าใคร่ ยิ่งกว่า และประณีตกว่ากว่ากามของมนุษย์.

ดูกรมาคัณฑิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อยังครองเรือนอยู่ในกาลก่อน เอิบอิ่ม เพรียบ พร้อมด้วยกามคุณห้า บำเรอตนด้วยรูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยนัยน์ตาที่สัตว์ ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดด้วยเสียง อันจะพึงรู้แจ้ง ด้วยหู  ...ด้วยกลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ... ด้วยรสอันจะพึงรู้แจ้ง ด้วยลิ้น ... ด้วยโผฏฐัพพะ อันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนารักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง แห่งความกำหนัด.

สมัยต่อมาเรานั้นรู้ ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไป แห่งกาม ทั้งหลายตาม ความเป็นจริง แล้วละตัณหาในกาม ได้บรรเทาความเร่าร้อน ที่เกิดขึ้น เพราะปรารภกามได้แล้วเป็นผู้ ปราศจากความระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่.

เรานั้นเห็นหมู่สัตว์อื่นที่ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาม ถูกกามตัณหา เคี้ยวกินอยู่ ถูกความเร่าร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะปรารภกามเผาอยู่ เสพกามอยู่ ย่อมไม่ ทะเยอทะยาน ต่อสัตว์เหล่านั้น ไม่ยินดีในกามนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเรายินดีอยู่ด้วย ความยินดี ที่เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม ทั้งเป็นความ ยินดีที่ล่วงเลย ความสุข เป็นของทิพย์ตั้งอยู่ จึงไม่ทะเยอทะยานต่อธรรมอันเลว ไม่ยินดีในธรรม อันเลว นั้นเลย.
.........................................................................................................................................

เปรียบผู้บริโภคกามเหมือนคนโรคเรื้อน


             [๒๘๓] ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล มีตัวอัน สุก อันกิมิชาติ บ่อนอยู่ เกาปากแผลอยู่ด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อนที่หลุมถ่านเพลิง มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของเขา พึงตั้งแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัด ให้รักษาแพทย์ ผู้ชำนาญการ ผ่าตัด นั้น พึงทำยารักษาบุรุษนั้น บุรุษนั้นอาศัยยาแล้ว จึงหายจากโรค เรื้อน เป็นผู้ ไม่มีโรค มีความสุข มีเสรีภาพมีอำนาจในตนเอง จะไปไหนได้ตามความ พอใจ. บุรุษนั้นได้เห็นบุรุษโรคเรื้อนคนอื่น มีตัวเป็นแผล มีตัวสุกอันกิมิชาติบ่อนอยู่ เกาปากแผลอยู่ ด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อนที่หลุมถ่านเพลิง.
.........................................................................................................................................
ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นพึงทะเยอทะยาน ต่อบุรุษ โรคเรื้อน คนโน้น ต่อหลุมถ่านเพลิง หรือต่อการกลับเสพยาบ้างหรือหนอ?

ไม่อย่างนั้น ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเมื่อยังมีโรคกิจที่ควร ทำด้วยยา ก็ต้องมี เมื่อไม่มีโรค กิจที่ควรทำด้วยยาก็ไม่ต้องมี.

ดูกรมาคัณฑิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อยังครองเรือนอยู่ในกาลก่อน เอิบอิ่ม เพรียบพร้อมด้วย กามคุณห้า บำเรอตนอยู่ด้วยรูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยนัยน์ตา ที่สัตว์ ปรารถนา รักใคร่ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ด้วยเสียง
อันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู ...ด้วยกลิ่นอันจะพึงรู้แจ้ง ด้วยจมูก ... ด้วยรสอันจะพึงรู้แจ้งด้วย ลิ้น ... ด้วยโผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
สมัยต่อมา เรานั้นรู้ความเกิด ความดับ คุณโทษ และอุบายเครื่องออกไป แห่งกาม ทั้งหลาย ตามความ เป็นจริงแล้ว เป็นผู้ปราศจากความระหาย มีจิตสงบใน ภายในอยู่.

เรานั้นเห็นหมู่สัตว์อื่นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาม ถูกกามตัณหา เคี้ยว กินอยู่ ถูกความเร่าร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะปรารภกามเผาอยู่ เสพกามอยู่ ย่อมไม่ ทะเยอทะยาน ต่อสัตว์เหล่านั้น ไม่ยินดีในกามนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเรายินดี อยู่ด้วยความ ยินดีที่เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม ทั้งเป็นความ ยินดีที่ล่วงเลย ความสุข อันเป็นทิพย์ ตั้งอยู่ จึงไม่ทะเยอทะยานต่อธรรมอันเลว ไม่ยินดีในธรรมอันเลว นั้นเลย.

             [๒๘๔] ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล มีตัวสุก อันกิมิชาติบ่อนอยู่ เกาปากแผลด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อนที่หลุมถ่านเพลิง มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของเขาพึงตั้งแพทย์ ผู้ชำนาญการผ่าตัดให้รักษาแพทย์ ผู้ชำนาญการผ่าตัด ทำยารักษาบุรุษนั้น บุรุษนั้นอาศัยยา แล้วจึงหายจาก โรคเรื้อน เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข มีเสรีภาพ มีอำนาจในตนเอง จะไปไหนได้ตาม ความพอใจ. บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกัน จับบุรุษนั้นที่แขนคนละข้าง ฉุดเข้าไปใน หลุมถ่านเพลิง. ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญ ความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะต้อง ดิ้นรนไปอย่างนี้ๆ บ้างซิหนอ?

เป็นอย่างนั้น ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไฟโน้นมีสัมผัสเป็น ทุกข์ มีความร้อน ยิ่งใหญ่ และมีความเร่าร้อนมาก.
.........................................................................................................................................
ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ไฟนั้นมีสัมผัสเป็นทุกข์ มีความร้อน ยิ่งใหญ่ และมีความเร่าร้อนมาก แต่ในบัดนี้เท่านั้น หรือแม้เมื่อก่อนไฟ นั้นก็มีสัมผัสเป็น ทุกข์มีความร้อนยิ่งใหญ่ และมีความเร่าร้อนมาก?

ท่านพระโคดม ไฟนั้นมีสัมผัสเป็นทุกข์ มีความเร่าร้อนยิ่งใหญ่ และมีความเร่าร้อนมาก ทั้งในบัดนี้ และแม้เมื่อก่อน ไฟนั้นก็มีสัมผัสเป็นทุกข์ มีความยิ่งใหญ่ และมีความ เร่าร้อนมากแต่ว่าบุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล มีตัวสุก ถูกกิมิชาติบ่อน เกาปากแผล อยู่ด้วยเล็บ มีอินทรีย์อันโรคกำจัดเสียแล้วโน้น กลับได้ความสำคัญผิดในไฟนี้อันมี สัมผัสเป็นทุกข์นั้น แลว่าเป็นสุขไป.

ดูกรมาคัณฑิยะ กามทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้ในอดีตกาลก็มีสัมผัส เป็นทุกข์ มีความร้อน ยิ่งใหญ่ และมีความเร่าร้อนมาก ถึงในอนาคตกาลกามทั้งหลาย ก็มีสัมผัส เป็นทุกข์มีความร้อน ยิ่งใหญ่ และมีความเร่าร้อนมาก แม้ในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ กามทั้งหลาย ก็มีสัมผัสเป็นทุกข์มีความร้อนยิ่งใหญ่ และมีความเร่าร้อนมาก สัตว์เหล่านี้ เป็นผู้ยังไม่ ปราศจากความกำหนัดในกาม ถูกกามตัณหาเคี้ยวกินอยู่ ถูกความเร่าร้อนเกิดขึ้นเพราะ ปรารภกามเผาอยู่ มีอินทรีย์อันโทษกำจัดแล้ว กลับได้ ความสำคัญ ผิดในกามอันมีสัมผัส เป็นทุกข์นั้นแลว่า เป็นสุขไป.

             [๒๘๕] ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนโรคบุรุษโรคเรื้อน มีตัวเป็นแผล มีตัวสุก อันกิมิชาติ บ่อนอยู่ เกาปากแผลอยู่ด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อนที่หลุมถ่านเพลิง ดูกรมาคัณฑิยะ บุรุษโรคเรื้อนคนโน้นมีตัวเป็นแผล มีตัวสุกอันกิมิชาติบ่อนอยู่ เกาปากแผล อยู่ด้วยเล็บย่างกายให้ร้อนที่หลุมถ่าน เพลิง ด้วยประการใดๆ ปากแผล เหล่านั้น  ของบุรุษโรคเรื้อน นั้นเองยิ่งเป็นของไม่สะอาดขึ้น มีกลิ่น เหม็นขึ้น และเน่า ขึ้นด้วยประการนั้นๆ และจะมีความเป็นของน่ายินดี น่าพอใจสักหน่อยหนึ่ง ก็คือ ปากแผลทั้งหลาย มีการเกาแผลเป็นเหตุเท่านั้น ฉันใด

ดูกรมาคัณฑิยะ สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้นแล ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาม ถูกกามตัณหา เคี้ยวกิน อยู่ ถูกความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นเพราะปรารภกามเผาอยู่ เสพกามอยู่ ดูกรมาคัณฑิยะสัตว์ทั้งหลายผู้ยังไม่ ปราศจาก ความกำหนัดในกาม อันกามตัณหา เคี้ยวกินอยู่ ถูกความเร่าร้อนที่เกิดขึ้น เพราะกามเผาลน อยู่ เสพกามอยู่ ด้วยประการใดๆ กามตัณหาย่อมเจริญแก่สัตว์เหล่านั้นและสัตว์เหล่านั้น ก็ถูกความเร่า ร้อนที่เกิดเพราะ ปรารภกามเผาอยู่ ด้วยประการนั้นๆ และจะมีความเป็นของน่ายินดี น่าพอใจสักหน่อย หนึ่ง ก็เพราะอาศัยกามคุณทั้งห้าเท่านั้น.
.........................................................................................................................................

             [๒๘๖] ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านได้เห็น หรือได้ฟังบ้างหรือ ว่าพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชา ผู้เอิบอิ่มเพรียบพร้อม บำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณห้า ยังละ กามตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อนที่เกิดขึ้น เพราะปรารภกามไม่ได้แล้ว เป็นผู้ปราศจากความ ระหายมีจิตสงบในภายในอยู่แล้ว หรือกำลังอยู่หรือจักอยู่?

ข้อนี้ ไม่มีเลย ท่านพระโคดม.

ดีละมาคัณฑิยะ ข้อนี้แม้เราไม่ได้เห็นไม่ได้ฟังมาว่า พระราชา หรือมหาอำมาตย์ ของพระราชา ผู้เอิบอิ่ม เพรียบพร้อมบำเรอตนอยู่ ด้วยกามคุณห้า ยังละ ตัณหาไม่ได้ ยังบรรเทาความเร่าร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะปรารภกามไม่ได้แล้ว เป็นผู้ปราศจากความ ระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่แล้ว หรือกำลังอยู่ หรือจักอยู่

ดูกรมาคัณฑิยะ ที่แท้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้ปราศจาก ความ ระหาย มีจิตร สงบในภายในอยู่แล้ว หรือกำลังอยู่ หรือจักอยู่. สมณะหรือ พราหมณ์ เหล่านั้นล้วนรู้ ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไป แห่งกาม นั่นเทียว ตามความเป็นจริง แล้วละกามตัณหา บรรเทาความเร่าร้อนที่เกิดขึ้น เพราะ ปรารภกามแล้ว จึงเป็นผู้ปราศจากความระหาย มีจิตสงบในภายในอยู่แล้ว หรือกำลัง อยู่หรือจักอยู่.

             [๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลาย อันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาคัณฑิยปริพาชกได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม น่าอัศจรรย์นักไม่เคยมีมาแล้ว เพียงข้อที่ท่าน พระโคดมตรัส ดีแล้วนี้ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภ อย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุข อย่างยิ่ง แม้ข้าพเจ้า ก็ได้ฟังข้อนี้มา ต่อปริพาชกทั้งหลาย แต่ก่อนผู้เป็นอาจารย์ และปาจารย์ผู้กล่าวกันอยู่ ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุข อย่างยิ่ง ข้อนี้ย่อมสมกัน.

ดูกรมาคัณฑิยะ ก็ข้อที่ท่านได้ฟังมาต่อปริพาชกทั้งหลาย ก่อนๆ ผู้เป็น อาจารย์และ ปาจารย์ ผู้กล่าวกันอยู่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็น สุขอย่างยิ่ง ดังนี้นั้นความไม่มีโรคนั้น เป็นไฉน นิพพานนั้นเป็นไฉน?

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ทราบว่ามาคัณฑิยปริพาชก เอาฝ่ามือ ลูบตัว ของตัวเอง กล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้น คือ อันนี้

ข้าแต่ท่านพระโคดม
ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุขอะไรๆ มิได้ เบียดเบียนข้าพเจ้า.


เปรียบผู้บริโภคกามเหมือนคนตาบอด


             [๒๘๘] ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้ เห็นรูปดำและขาว ไม่ได้เห็นรูปสีเขียว ไม่ได้เห็นรูปสีเหลือง ไม่ได้เห็น รูปสีแดง ไม่ได้ เห็นรูปสีชมพูไม่ได้เห็นที่อันเสมอ และไม่เสมอไม่ได้เห็นรูปหมู่ดาว  ไม่ได้เห็น ดวงจันทร์ และ ดวงอาทิตย์เขาได้ฟัง ต่อคนผู้มีจักษุ กล่าวว่า ดูกรผู้เจริญ ผ้าขาวผ่องงาม ไม่มีมลทิน สะอาดหนอ ดังนี้.เขาพึงเที่ยวแสวงหาผ้าขาวผ่อง.

บุรุษคนหนึ่งเอาผ้าเทียมเปื้อนเขม่า มาลวงบุรุษตาบอดแต่กำเนิดนั้นว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ผ้าของท่าน ผืนนี้ เป็นผ้าขาวผ่องงามไม่มีมลทิน สะอาด ดังนี้. เขารับเอาผ้านั้นไว้ห่ม แล้วดีใจ เปล่ง วาจาแสดง ความดีใจว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าขาว ผ่องงามไม่มีมลทินสะอาด ดังนี้.

ดูกรมาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษตาบอดแต่กำเนิดนั้น รู้อยู่ เห็นอยู่ รับเอาผ้า เทียมอันเปื้อนเขม่านั้นไว้ห่ม แล้วดีใจ เปล่งวาจาแสดงความดีใจว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าขาว ผ่องงามไม่มี มลทินสะอาดหนอ ดังนี้ หรือว่าเปล่งวาจา แสดงความยินดี ด้วยเชื่อ ต่อบุคคล ผู้มีจักษุเล่า?   

ท่านพระโคดม บุรุษตาบอดแต่กำเนิดนั้น ไม่รู้ไม่เห็นเลย รับเอาผ้าเทียมอัน เปื้อน เขม่า เข้าไว้ห่ม แล้วดีใจ เปล่งวาจาแสดงความดีใจว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าขาว ผ่องไม่มีมลทิน สะอาดหนอดังนี้ ด้วยเชื่อต่อบุคคลผู้มีจักษุเท่านั้น.

ดูกรมาคัณฑิยะ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่มีจักษุ ไม่รู้ความไม่มี โรค ไม่เห็นพระนิพพาน เออก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ยังกล่าวคาถานี้ได้ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้. ดูกรมาคัณฑิยะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้ตรัสพระคาถาไว้ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งบรรดาทางทั้งหลาย อันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางเกษม.

บัดนี้ คาถานั้นเป็นคาถาของปุถุชนไปโดยลำดับ. ดูกรมาคัณฑิยะ กายนี้แล เป็นดังโรค เป็นดัง หัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้ ท่านนั้น กล่าวกายนี้เป็น ดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดัง ลูกศร เป็นความลำบาก เป็นความเจ็บไข้ว่า ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพาน นั้น คือ อันนี้. ก็ท่านไม่มีจักษุของ พระอริยะ อันเป็นเครื่องรู้ความไม่มีโรคอันเป็นเครื่อง เห็นนิพพาน.

 มาคัณฑิยะอาราธนาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม

             [๒๘๙] ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อท่านพระโคดมอย่างนี้แล้ว ท่านพระโคดมย่อม ทรงสามารถ เพื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า โดยประการที่ให้รู้ความไม่มีโรค ให้เห็น นิพพานได้.

ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิด ไม่ได้เห็นรูปดำและขาว ไม่ได้เห็นรูป สีเขียว ไม่ได้เห็นรูปสีเหลือง ไม่ได้เห็นรูปสีแดง ไม่ได้เห็นรูปสีชมพู ไม่ได้ เห็นที่อันเสมอ และไม่เสมอ ไม่ได้ เห็นรูปหมู่ดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์ และ ดวงอาทิตย์. มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของเขา พึงตั้งแพทย์ ผู้ชำนาญการผ่าตัด ให้รักษา แพทย์ผู้ชำนาญการ ผ่าตัดนั้นได้ทำยารักษาเขา เขาอาศัยยานั้นแล้ว ก็เห็น ไม่ได้ ทำจักษุให้ใสไม่ได้

ดูกรมาคัณฑิยะท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน แพทย์ต้องมีส่วนแห่ง ความลำบาก ความคับแค้นสัก เพียงไรมิใช่หรือ?

อย่างนั้น ท่านพระโคดม.

ดูกรมาคัณฑิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน พึงแสดงธรรมแก่ท่านว่า ความไม่มีโรค นั้นคือสิ่งนี้ นิพพาน นั้นคือสิ่งนี้ ดังนี้ ท่านนั้นก็พึงรู้ความไม่มีโรคไม่ได้ พึงเห็น นิพพานไม่ได้อันนั้น พึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย เป็นความลำบากแก่เรา.

             [๒๙๐] ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อท่านพระโคดมด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ท่าน พระโคดมย่อมทรง สามารถเพื่อแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า โดยประการ ที่ให้รู้ความไม่มี โรค ให้เห็นนิพพานได้.

ดูกรมาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้เห็นรูปดำ และขาว ไม่ได้เห็น รูปสีเขียว ไม่ได้เห็นรูปสีเหลือง ไม่ได้เห็นรูปสีแดง ไม่ได้เห็นรูป สีชมพู ไม่ได้เห็นที่อันเสมอ และ ไม่เสมอ ไม่ได้เห็นรูปหมู่ดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์.

แต่เขาได้ฟังต่อคนที่มีจักษุซึ่งกล่าวอยู่ว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าขาวผ่องงาม ไม่มี มลทินสะอาดหนอ บุรุษตาบอดแต่กำเนิดนั้น พึงเที่ยวแสวงหาผ้าขาวผ่อง บุรุษ คนหนึ่ง เอาผ้าเทียมเปื้อนเขม่า มาลวง เขา นั้นว่าบุรุษผู้เจริญ ผ้าของท่านผืนนี้ ขาวผ่องงามไม่มีมลทินสะอาด.

เขารับผ้านั้นมาห่ม มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขา ตั้งแพทย์ผู้ชำนาญ การผ่าตัด ให้รักษา แพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดนั้น ทำยาถอนให้อาเจียร ยาถ่ายให้ลง ยาหยอด ยาหยอดซ้ำ ยานัตถุ์ เขาอาศัยยานั้นแล้วเห็นได้ชำระตาให้ใสได้ เขาย่อม ละความรักด้วย สามารถความพอใจ ในผ้าเทียม เปื้อนเขม่าโน้นได้ พร้อมกับตาเห็น เขาพึงเบียดเบียน บุรุษ ที่ลวงตนนั้นโดยความเป็นศัตรู โดยความ เป็นข้าศึก อนึ่งเขา พึง สำคัญบุรุษ ที่ลวงตนนั้นว่าควรปลงชีวิตเสียด้วยความแค้นว่า บุรุษผู้เจริญ เราถูก บุรุษผู้นี้เอาผ้าเทียม เปื้อนเขม่ามาลวงให้หลงว่า บุรุษผู้เจริญ ผ้าของท่านนี้ขาว ผ่องงาม ไม่มี มลทินสะอาด ดังนี้ มานานหนอ ฉันใด

ดูกรมาคัณฑิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าแสดงธรรมแก่ท่านว่า ความไม่มีโรค นั้นคือข้อนี้ นิพพานนั้นคือข้อนี้. ท่านนั้นพึงรู้ ความไม่มีโรค พึงเห็นนิพพานได้ท่านนั้น ก็จะละความ กำหนัดด้วยสามารถความพอใจในขันธ์ที่มีอุปาทานทั้งห้าได้ พร้อมกับ ความ เห็นเกิดขึ้น อนึ่ง ท่านพึงมีความดำริอย่างนี้ว่า

ดูกรท่านผู้เจริญ เราถูกจิตนี้ล่อลวงให้หลงมานานแล้วหนอ เราเมื่อยึดมั่น ก็ยึดมั่น แต่รูปเท่านั้น เมื่อยึดมั่นก็ยึดมั่นแต่เวทนาเท่านั้น เมื่อยึดมั่นก็ยึดมั่น แต่สัญญา เท่านั้น เมื่อยึดมั่นก็ยึดมั่นแต่สังขาร เท่านั้น เมื่อยึดมั่น ก็ยึดมั่น แต่วิญญาณเท่านั้น เพราะอุปาทานเป็น ปัจจัยภพจึงมีแก่เรานั้น เพราะภพ นั้น เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะ ชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่ง กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้.

             [๒๙๑] ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อพระโคดมอย่างนี้แล้ว ท่านพระโคดมย่อมทรง สามารถ เพื่อแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า โดยประการที่ข้าพเจ้าไม่เป็นคนบอด ลุกขึ้นจาก อาสนะนี้ได้.

ดูกรมาคัณฑิยะ ถ้าเช่นนั้น ท่านควรคบสัตบุรุษ เพราะเมื่อใดท่านคบสัตบุรุษ เมื่อนั้น ท่านจักได้ ฟังธรรมของสัตบุรุษ เมื่อท่านได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ท่านจัก ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม เมื่อท่าน ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจักรู้เอง เห็นเอง ว่า โรค ฝี ลูกศร คืออันนี้โรค ฝี ลูกศร จะดับไป โดยไม่เหลือในที่นี้ เพราะอุปาทาน ของเรานั้นดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสก็ดับความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยประการ ฉะนี้.

มาคัณฑิยะได้บรรพชาและอุปสมบท

             [๒๙๒] พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาคัณฑิยปริพาชกได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่าน พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่ม แจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตาม ประทีป ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด.

ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ขอถึง ท่านพระโคดม พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักท่านพระโคดม.

ดูกรมาคัณฑิยะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบท ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจะต้อง อยู่ปริวาสสี่เดือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบทเพื่อความเป็น ภิกษุได้ ก็แต่ว่า เรารู้ความต่างแห่งบุคคล ในข้อนี้.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าชนทั้งหลายผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบท ในธรรม วินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาสสี่เดือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุทั้งหลาย เต็มใจแล้ว จึงให้ บรรพชาอุปสมบท ได้ไซร้ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาสสี่ปี ต่อเมื่อล่วงสี่ปี ภิกษุทั้งหลายเต็มใจ แล้วจึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุเถิด.

มาคัณฑิยปริพาชกได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว. ก็เมื่อท่าน มาคัณฑิยะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ท่านมาคัณฑิยะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.

จบ มาคัณฑิยสูตรที่ ๕.

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์