พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
ภูมกสูตร
[๕๙๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมืองนาฬันทา ครั้งนั้นแล นายบ้านนามว่า อสิพันธกบุตร เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มี คณโฑน้ำ ติดตัว ประดับ พวงมาลัยสาหร่าย อาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า ยังสัตว์ ที่ตายทำกาละ แล้วให้เป็นขึ้นให้รู้ชอบ ชวนให้เข้าสวรรค์
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถ กระทำให้สัตว์โลกทั้งหมด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ได้หรือ พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
ดูกรนายคามณี ถ้าอย่างนั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ปัญหาควรแก่ท่าน ด้วย ประการใด ท่านพึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นด้วยประการนั้น ท่านจะสำคัญความ ข้อนั้น เป็นไฉน บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อมากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชน มาประชุมกัน แล้วพึงสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือ เดินเวียนรอบผู้นั้นว่า ขอบุรุษนี้ เมื่อตายไปจง เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ท่านจะสำคัญ ความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้น เมื่อตายไปพึงเข้า ถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุ การสวดวิงวอน เพราะเหตุการ สรรเสริญ หรือเพราะเหตุ การประนมมือ เดินเวียนรอบดังนี้หรือ
คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
[๕๙๙] พ. ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่ ลงในห้วง น้ำลึก หมู่มหาชนพึงมา ประชุมกันแล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ ประนมมือเดิน เวียนรอบหินนั้นว่า ขอจง โผล่ขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิด ท่านก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือ พึง ขึ้นบก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญประนมมือเดินเวียนรอบ ของหมู่ มหาชน บ้างหรือ
คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
พ. ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติ ผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดิน เวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไปจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็จริง แต่บุรุษนั้น เมื่อตาย พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
[๖๐๐] ดูกรนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษในโลกนี้เ ว้นจาก ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจาผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบหมู่มหาชน พึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้ เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ท่านจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก เพราะเหตุการ สวดวิงวอน สรรเสริญ หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้าง หรือ
คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
[๖๐๑] พ. ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษลงยังห้วงน้ำลึกแล้ว พึงทุบหม้อ เนยใส หรือหม้อน้ำมัน ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่ในหม้อนั้น พึงจมลง เนยใสหรือน้ำมัน ที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงลอยขึ้น หมู่มหาชนพึงมาประชุม กันแล้ว สวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบเนยใสหรือ น้ำมันนั้นว่าขอจง จมลง เถิดท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงดำลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงลง ภายใต้เถิด ท่านเนยใสและน้ำมัน ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เนยใสและ น้ำมันนั้น พึงจม ลง พึงดำลง พึงลง ภายใต้ เพราะเหตุการสวดวิงวอนสรรเสริญ หรือเพราะเหตุการ ประนมมือ เดินเวียนรอบ ของหมู่มหาชนบ้างหรือ
ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
พ. ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษใดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ หมู่มหาชนจะพากันมา ประชุมแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้ เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็จริง แต่บุรุษนั้นเมื่อตายไปพึง เข้าถึง สุคติโลกสวรรค์
[๖๐๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คน หลงทาง หรือส่องไฟในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับ ทั้งพระธรรม และภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
|