เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  การรู้ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักการพยากรณ์อรหัตตผล 482
 
เนื้อหาในพระสูตรนี้พอสังเขป

พระศาสดาทดสอบภูมิปัญญาของพระสารีบุตร เรื่องปฏิจจสมุปบาท
โดยการตั้งคำถาม และให้พระสารีบุตรตอบ



 
 
 

(ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์หน้า71)


การรู้ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักการพยากรณ์อรหัตตผล
ปุจฉา-วิสัชนา พระศาสดา กับพระสารีบุตร เรื่องปฏิจจสมุปบาท


ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธออย่างนี้ว่า
"ข้าแต่ท่านสารีบุตร! ท่านรู้อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงพยากรณ์ อรหัตตผลว่า 'ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว, กิจที่ต้องปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก' ดังนี้" ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเช่นนั้นข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า 'ดูก่อนท่านทั้งหลาย! ชาติมีสิ่งใดเป็นเหตุ เมื่อชาติสิ้นเพราะความสิ้นแห่งเหตุนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าชาติสิ้นแล้ว ดังนี้ จึงรู้ว่า 'ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ให้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มีอีก' ดังนี้' ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อถูกถามอย่างนี้ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาอย่างนี้"

.........................................................................................................................

ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไป)อย่างนี้ว่า
"ข้าแต่ท่านสารีบุตร! ก็ชาติ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด (นิทาน)? มีอะไรเป็นเครื่องก่อ ให้เกิด (สมุทย)? มีอะไรเป็น เครื่องกำเนิด (ชาติก)? มีอะไรเป็นแดนเกิด(ปภว)เล่า?" ดังนี้. ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเช่นนั้นข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า 'ดูก่อนท่านทั้งหลาย! ชาติมีภพเป็นเหตุให้เกิด มีภพเป็น เครื่องก่อให้เกิด มีภพเป็นเครื่องกำเนิด มีภพเป็นแดนเกิด'. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อถูกถามอย่างนี้ข้าพระองค์ จะตอบแก่เขา อย่างนี้".

.........................................................................................................................

ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไปอีก)
อย่างนี้ว่า"ข้าแต่ท่านสารีบุตร! ก็ภพเล่า มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่อง ก่อให้เกิด?มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด? มีอะไรเป็นแดนเกิด?" ดังนี้. ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเข่นนั้นข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า 'ดูก่อนท่านทั้งหลาย! ภพมีอุปาทานเป็นเหตุให้เกิด มีอุปาทานเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอุปาทานเป็นเครื่องกำเนิด มีอุปาทานเป็นแดนเกิด'. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อถูกถามอย่างนี้ ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาอย่างนี้".

.........................................................................................................................

ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไปอีก) ว่า
"ข้าแต่ท่านสารีบุตร! ก็อุปาทานเล่า มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องก่อ ให้เกิด?มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด? มีอะไรเป็นแดนเกิด?" ดังนี้.
ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเช่นนั้นข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า' ดูก่อนท่านทั้งหลาย! อุปาทาน มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อ ให้เกิดมีตัณหา เป็นเครื่องกำเนิดมีตัณหาเป็นแดนเกิด'. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อถูกถามอย่างนี้ ข้าพระองค์ จะตอบแก่เขาอย่างนี้".

.........................................................................................................................

ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไปอีก) อย่างนี้ว่า
"ข้าแต่ท่านสารีบุตร! ก็ตัณหาเล่า มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องก่อ ให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด? มีอะไรเป็นแดนเกิด?" ดังนี้.

ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเเช่นนั้นข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า' ดูก่อนท่านทั้งหลาย! ตัณหา มีเวทนาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อ ให้เกิดมีตัณหา เป็นเครื่องกำเนิดมีตัณหาเป็นแดนเกิด'. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อถูกถามอย่างนี้ ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาอย่างนี้".

.........................................................................................................................

ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไปอีก) อย่างนี้ว่า
"ข้าแต่ท่านสารีบุตร! ก็เวทนาเล่ามีอะไรเป็นเหตุให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด? มีอะไรเป็นแดนเกิด?" ดังนี้. ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเช่นนั้นข้าพระองค์จะตอบ แก่เขาว่า' ดูก่อนท่านทั้งหลาย! เวทนามีผัสสะเป็นเหตุให้เกิดมีผัสสะ เป็นเครื่องก่อให้เกิด มีผัสสะ เป็นเครื่องกำเนิดมีผัสสะเป็นแดนเกิด'. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อถูกถามอย่างนี้ข้าพระองค์ จะตอบแก่เขาอย่างนี้".

.........................................................................................................................

ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไปอีก) อย่างนี้ว่า
"ข้าแต่ท่านสารีบุตร! เมื่อท่านรู้อยู่ อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร นันทิ จึงจะไม่เข้าไป ตั้งอยู่ในเวทนาทั้งหลาย?" ดังนี้. ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเช่นนั้นข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า 'ดูก่อนท่านทั้งหลาย! เวทนาสามอย่างเหล่านี้ มีอยู่ สามอย่าง คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. ดูก่อนท่านทั้งหลาย! เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า 'เวทนาทั้ง ๓ อย่างนั้น เป็นของไม่เที่ยง; สิ่งใดเป็นของไม่เที่ยง สิ่งนั้น ล้วนเป็นทุกข์' ดังนี้; เพราะรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ นันทิจึงไม่เข้าไปตั้งอยู่ในเวทนา ทั้งหลาย'

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อถูกถามอย่างนี้ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาอยางนี้" ถูกแล้ว ถูกแล้ว สารีบุตร! ปริยายที่เธอกล่าวนี้ ก็เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งเนื้อความนั้นแหละ แต่โดยย่อว่า "เวทนาใด ๆ ก็ตาม เวทนานั้นทั้งหมดย่อมถึงการประชุมลงใน ความทุกข์" ดังนี้.

.........................................................................................................................

ดูก่อนสารีบุตร! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไปอีก) อย่างนี้ว่า "ข้าแต่ท่านสารีบุตร! เพราะอาศัย วิโมกข์อย่างไหน ท่านจึงพยากรณ์อรหัตตผล ว่า 'ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้อง ปฏิบัติเพื่อความ หลุดพ้น อย่างนี้ มิได้มีอีก', ดังนี้"
ดูก่อนสารีบุตร! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าเขาถามเช่นนั้นข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า 'ดูก่อนท่านทั้งหลาย! เพราะอาศัย อัชฌัตตวิโมกข์* เพราะความสิ้นไปแห่ง อุปาทานทั้งปวง เราจึงเป็นผู้มีสติอยู่ ในลักษณะที่อาสวะทั้งหลายจะไหลไปตาม ไม่ได้ อนึ่งเราย่อมไม่ดูหมิ่นซึ่งตนเองด้วย' ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ! เมื่อถูกถาม อย่างนี้ ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาอย่างนี้".

ถูกแล้ว ถูกแล้ว สารีบุตร! ปริยายที่เธอกล่าวนี้ ก็เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งเนื้อความ นั้นแหละ แต่โดยย่อว่า "ข้าพเจ้าไม่ข้องใจ ในอาสวะทั้งหลาย ที่พระสมณะกล่าวแล้ว และข้าพเจ้า ไม่ลังเลสงสัยว่าอาสวะ ทั้งหลายเหล่านั้น ข้าพเจ้าละแล้วหรือยัง" ดังนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งตรัสอย่างนี้แล้ว เสด็จลุกจาก อาสนะ เข้าสู่วิหารที่ประทับ ส่วนพระองค์

หมวดที่หนึ่ง จบ

* อัชฌัตตวิโมกข์ คือ ความพ้นวิเศษในภายใน โดยเหตุที่นันทิหรือตัณหา ไม่เข้าไปตั้งอยู่ ในเวทนา จิตจึงพ้นจากความทุกข์อันจะพึงเกิดจากเวทนาในภายใน ในขณะนั้น.
อธิบายว่าเมื่อไม่มีตัณหา หรือนันทิ ก็ย่อมไม่มีอุปาทาน เมื่อไม่มีอุปาทาน ก็ไม่เป็นทุกข์. อาการอย่างนี้ เรียกว่า อัชฌัตตวิโมกข์ ใช้เป็นเครื่องวัดในการพยากรณ์อรหัตตผลว่ามีจริง หรือไม่.




 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์