(เนื้อหาพอสังเขป)
ผู้ไม่ได้สดับ(คำตถาคต)
บุคคลผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ในร่างกาย เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี
ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ
แต่บุคคล ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น ในจิต ได้เลย เพราะรวบรัดถือไว้ ด้วยตัณหา ยึดถือ ด้วยทิฐิว่า (จิตนั้น) นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ตลอดกาลเวลาช้านาน
(เบื่อกาย แต่ไม่เบื่อจิต)
อุปมาจิต เปรียบเหมือนลิงจับกิ่งไม้
วานรจับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย อันเป็นที่ ประชุม แห่ง มหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน
ผู้สดับคำตถาคต
อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดี ถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ... คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
อริยสาวกผู้ได้สดับ พิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ ในสัญญา ย่อมหน่ายแม้ใน สังขารทั้งหลาย ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ
เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ ความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล
|